Browse Tag: สารต่อต้านอนุมูลอิสระ

16 ชนิดของอาหารที่ช่วยขับสารพิษจากมลพิษทางอากาศ

bar chart

Image © michael davis-burchat (License CC BY-ND 2.0)

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสภาพอากาศของประเทศไทยที่ปกคลุมไปด้วยมลพิษของฝุ่นที่อยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อสุขภาพเรานั้น ได้มีผลกระทบส่งผลให้เห็นได้อย่างชัดเจนเบื้องต้นเลยคือ อาการเจ็บคอ ไอ จาม และก็มีอาการเจ็บป่วยตามมา ถึงแม้เราจะสัมผัสไม่ได้เลยทำให้ชะล่าใจว่า ‘’คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง’’ หรือ ‘’ไม่เห็นจะมีอะไรเลย’’ ก็ตาม จนกระทั่งรวมไปถึงการไม่ป้องกันตัวเองเอาเสียเลย เดินตัวปลิวท่ามกลางมลพิษ สูดดมเอามลพิษเข้าไปเต็มปอด ไม่ทำการสวมแมสป้องกันแต่อย่างใด กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อเกิดผลกระทบและมีอาการต่างๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้น ทางบล็อกของเรามีความห่วงใยและใส่ใจต่อผู้อ่านอันเป็นที่รักที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเขตที่มีมลพิษปกคลุมอย่างหนักหน่วง จึงได้ทำการค้นหาข้อมูลวิธีการดูแลตัวเองจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้มาฝากค่ะ เราต่างก็คงจะทราบกันดีแล้วนะคะว่ามลพิษทางอากาศนั้นสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราได้ โดยที่พิษชนิดต่างๆ เหล่านั้นเมื่อเข้าสู่ร่างกายของเราก็จะไปทำการสะสม ซึ่งพิษเป็นสารพิษที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตหรือเซลล์ที่มีชีวิต เมื่อสารพิษได้ตกค้างและสะสมอยู่ในร่างกายของเรามันก็จะกลายสภาพเป็นรูปแบบของโรค โดยเป็นการเชื่อมโยงระหว่างร่างกายและจิตใจ ร่างกายของคนเราเป็นส่วนสำคัญในการทำงานของสมองของเรา ซึ่งร่างกายของคนเราเนี่ยจำเป็นต้องล้างพิษเป็นประจำเพื่อการเผาผลาญอาหารได้ดีและเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นการรักษาร่างกายของเราให้ปลอดจากสารพิษและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาคุณภาพของชีวิตเพื่อให้มีสุขภาพดีไม่เจ็บไม่ป่วยนั่นเองค่ะ

ทราบกันหรือไม่คะว่ามลพิษทางอากาศก่อให้เกิดความเจ็บป่วยได้อย่างไร ?

คำตอบก็คือ เมื่อคุณหายใจในอากาศที่ไม่ว่าจะมีมลพิษฝุ่นละอองหรือมลพิษอื่นๆ ซึ่งมลพิษเหล่านั้นก็จะแทรกซึมเข้าไปในร่างกายและทำให้เยื่อบุของหลอดลมและปอดพองตัว ซึ่งสิ่งนี้แหละจะนำไปสู่โรคทางเดินหายใจ เช่น หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจ มะเร็งปอด โรคหอบหืด หายใจดังเสียงฮืดๆ ไอ และหายใจลำบาก หากคุณมีภาวะหัวใจและทางเดินหายใจใดๆ ที่มีอยู่แล้วอาการเหล่านี้ก็จะยิ่งแย่ลงที่มาจากการสัมผัสกับมลพิษทางอากาศนั่นเองค่ะ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะไม่ใช่เรื่องปกติทีจะเกิดขึ้นบ่อยในประเทศไทยเรา จนทำให้บางท่านก็คิดว่ามันคงจะไม่สำคัญอะไรไม่ได้จำเป็นหรืออันตรายใดๆ เพราะว่ามันจับต้องหรือสัมผัสโดยตรงไม่ได้ แต่ยังไงก็อย่าลืมติดตามข่าวสารและเช็คระดับอันตรายของฝุ่นไว้ด้วยก็ดีนะคะการป้องกันไว้ก่อนซึ่งดีกว่าต้องมาตามแก้ทีหลังเมื่อมันเกิดขึ้นหรือลุกลามค่ะ เอาล่ะเราอย่าได้รอช้ากันเลยค่ะในเมื่อเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้และยังจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษนี้อยู่ งั้นเราก็ควรรู้จักการป้องกันและดูแลตัวเองให้มีสุขภาพที่ดีนอกจากป้องกันภายนอกจากการใส่แมสปิดจมูกไว้แล้ว การเลือกรับประทานอาหารเพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพจากมลพิษทางอากาศก็สำคัญยิ่งค่ะ โดยพบว่าอาหารบางชนิดที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและอี สามารถช่วยทำความสะอาดระบบในร่างกาย โดยเฉพาะทางเดินหายใจ เนื่องจากอาหารเหล่านี้อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและมีคุณสมบัติต้านการอักเสบนั่นเองค่ะ

 

16 ชนิดของอาหารที่ช่วยขับสารพิษจากมลพิษทางอากาศ

Street Food

Image © David Guyler (License CC BY 2.0)

1.น้ำเปล่า

น้ำเปล่า หรือน้ำดื่มที่ถือเป็นแหล่งของอาหารที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ค่ะ โดยเฉพาะในเรื่องของการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายของเรา เนื่องจากน้ำจะเป็นส่วนประกอบของร่างกายของเราแล้วน้ำยังเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกอวัยวะส่วนของร่างกายอีกเช่นกันค่ะ โดยที่น้ำจะไปทำการช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและช่วยให้ร่างกายสดชื่นผิวหนังมีความชุ่มชื้น โดยเฉพาะสภาวะอย่างนี้เรายิ่งควรจะดื่มน้ำเปล่าบ่อยๆ ซึ่งควรจะดื่มน้ำอย่างน้อย 3 ลิตรต่อวัน ถ้าใครที่ไม่ชอบดื่มน้ำทุกวันก็อาจจะส่งผลทำให้ไตทำงานหนักเกินไปและก็อาจจะนำไปสู่โรคไตได้อีกด้วยค่ะ

 

2.บรอคโคลี่

พบว่าในบรอคโคลี่สีเขียวเข้มนี้มีสารซัลโฟราเฟนที่เป็นสารประกอบที่ต่อต้านการก่อให้เกิดมะเร็งและจะไปช่วยขับสารพิษที่เกี่ยวข้องกับโอโซนและมลพิษจากฝุ่นละอองออกจากร่างกาย นอกจากการกินบรอคโคลี่แล้วผักตระกูลกะหล่ำอื่นๆ ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคความเสื่อมได้โดยเฉพาะมะเร็งค่ะ

 

3.อะโวคาโด
การลดลงของระดับวิตามินอีในร่างกายมนุษย์นั้นจะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยของสภาพปอด เช่นโรคหอบหืด ดังนั้นการบริโภคอาหารจำพวก อะโวคาโดหรือผักโขม ที่มีวิตามินอีสูงจะสามารถช่วยในการรับมือจากผลกระทบของมลพิษที่มากจากฝุ่นได้ค่ะ

 

4.กระเทียม

ใครจะรู้ว่ากระเทียมนี่แหละเป็นแหล่งของกำมะถันที่มีประโยชน์ต่อสภาพผิวอีกทั้งยังทำให้เส้นผมของเราเงางามอีกด้วย นอกจากนั้นกระเทียมยังช่วยขับล้างพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกายของเรา ดังนั้นอย่าลืมนำกระเทียมมาปรุงในอาหารแต่ละมื้อของคุณล่ะ!

 

5.ขมิ้น
ขมิ้นเป็นเครื่องเทศที่นิยมใช้นำมาปรุงอาหารและยาในปัจจุบัน ซึ่งขมิ้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบที่สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งและขับล้างสารพิษจากตับได้เป็นอย่างดีค่ะ

 

6.หัวหอม
โชคดีที่บ้านเรานั้นมีหัวหอมในการประกอบอาหารหลายอย่างค่ะ โดยหัวหอมจะเต็มไปด้วยกรดอะมิโนที่มีกำมะถันซึ่งมีประสิทธิภาพดีต่อการขับสารพิษออกจากตับค่ะ หัวหอมดิบให้ประโยชน์ด้านสุขภาพมากที่สุดและต้นหอมดิบก็อร่อยเมื่อรับประทานเป็นผักแนบเคียงค่ะ

 

7.บีทรูท
บีทรูทสีแดงที่นิยมใส่ในจานสลัดหรือผสมในน้ำผลไม้ปั่นนั้น ใครจะรู้ว่าบีทรูทมีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยในการบำรุงตับได้ดีอีกด้วย นอกจากนี้หัวบีทยังช่วยกำจัดสารพิษ อนุมูลอิสระ และช่วยต่อต้านมะเร็งในร่างกายได้อีกด้วยค่ะ

 

8.ขิง
ที่บ้านเรานำขิงมาประกอบอาหารค่อนข้างหลากหลายค่ะ และขิงก็มีคุณสมบัติที่ช่วยในการสมานแผลและใช้เป็นยา การดื่มน้ำขิงหรือรับประทานอาหารที่มีขิงเป็นส่วนประกอบนั้นจะช่วยในการซ่อมแซมการทำงานของตับให้ดีขึ้นค่ะ

 

9.น้ำมันมะกอก
การรับประทานน้ำมันมะกอกเพื่อให้ได้รับประโยชน์ต่อสุขภาพที่ดีที่สุดนั้น คือการโรยลงไปในสลัดจานโปรดนั่นเอง เพราะถ้าน้ำมันมะกอกผ่านความร้อนนั้นจะทำให้เปลี่ยนองค์ประกอบทางเคมีและสูญเสียคุณสมบัติด้านสุขภาพไปค่ะ ซึ่งสาร Alpha-tocopherol วิตามินอีที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกจะช่วยเพิ่มการทำงานของปอดได้ดี กรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกยังมีประโยชน์ในการลดการอักเสบอีกด้วยค่ะ

 

10.มะเขือเทศ
อย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่าในมะเขือเทศลูกกลมๆ สีแดงสดนี้มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่าไลโคปีนที่สูงมาก ซึ่งสารไลโคปีนที่ว่านี้สามารถช่วยป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจของเราได้เป็นอย่างดีเยี่ยมเลยแหละ

 

11.Flaxseed
เมล็ดแฟลก (Flaxseed) มี phytoestrogens และกรดไขมันโอเมก้า 3 ในระดับสูง ไฟโตเอสโทรเจนมีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดอาการของโรคหอบหืดและอาการแพ้อื่นๆ สามารถเพิ่มลงในสลัดหรือแซนวิสในตอนเช้าก็เป็นอีกทางเลือกค่ะ

 

12.มะนาว
มะนาวเป็นแหล่งที่ดีที่สุดของวิตามินซี ซึ่งสามารถช่วยในการย่อยอาหารและยังเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระช่วยในการขับล้างสารพิษในร่างกาย จะบีบมะนาวผสมน้ำอุ่นๆ แล้วดื่มก่อนนอนก็ไม่เลวนะคะ

 

13.โหระพา
พืชผักอย่างโหระพาที่มีใบสีเขียวมีกลิ่นเฉพาะนั้นจัดเป็นสมุนไพรชั้นดีที่มีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรีย และมีสารต้านอนุมูลอิสระเต็มรูปแบบในการปกป้องตับ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการอีกด้วย แค่เพียงรับประทานวันละสี่หรือห้าใบต่อวันนั้นก็เพียงพอต่อการซ่อมแซมระบบภูมิคุ้มกันเราได้แล้วค่ะ

 

14.แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ลนั้นอุดมไปด้วยไฟเบอร์และวิตามินเอ ซึ่งช่วยในการชำระล้างสารพิษในร่างกายของเรา การเลือกรับประทานแอปเปิ้ลสักผลในตอนเช้ายังทำให้สดชื่นไม่หนักท้องแถมดีต่อสุขภาพอีกด้วย


15.ไวน์ขาว
ไวน์ที่ทำจากผลองุ่นจะมีสารต้านอนุมูลอิสระในระดับสูงมาก พบว่าการดื่มไวนนั้นดีต่อระบบทางเดินหายใจและสุขภาพของหัวใจนั่นเอง

 

16.ผักชี
ผักชีสามารถช่วยในการย่อยอาหารและรักษาระดับคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับที่ปกติ ดังนั้นอาหารมื้อต่อไปอย่าลืมโรยหน้าด้วยผักชีบ้างนะคะ 😉

 

ทุกวันนี้มีปัจจัยหลายอย่างรอบตัวที่รบกวนสภาวะจิตใจและสภาวะร่างกายให้บอบช้ำ สูญเสียจากการสะสมของมลพิษทางสภาวะแวดล้อมต่างๆ ก็ยิ่งทำให้สุขภาพของเราย่ำแย่ลงไปทุกวัน ถ้าไม่มีการบำรุงแก้ไขหรือป้องกันก็อาจจะทำให้แย่ลงได้ การเลือกรับประทานอาหารที่ถูกต้องนั้นก็สามารถช่วยบำรุง ซ่อมแซม ก็สามารถช่วยให้เราไกลจากโรคภัยไข้เจ็บได้ค่ะ ถึงแม้จะเป็นเรื่องไม่ไกลตัวแต่ก็ไม่อยากให้มองข้ามกันนะคะ

 

16 ประโยชน์ต่อสุขภาพจากผักปวยเล้ง (Spinach)

Source: Flickr (click image for link)

“ผักปวยเล้ง (Spinach)” ผักปวยเล้งที่หลายคนมักสับสนว่านั่นคือผักโขมจากการ์ตูนเรื่องป๊อบอายที่เคยดูกันตอนเด็กๆ กันเมื่อตัวป๊อบอายได้กินผักที่ชื่อว่า Spinach เข้าไปจะทำให้ร่างกายแข็งแรงตัวโตขึ้น แต่จริงๆ แล้วผักโขมมีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า ผักโขม (Amaranth) และผักใบเขียวทั้งสองชนิดนี้ก็เป็นพืชที่อยู่ตระกูลเดียวกันมีประโยชน์เหมือนกันค่ะ ผักปวยเล้งที่มีใบสีเขียวเข้มนี้ได้มีต้นกำเนิดมาจากทางตะวันออกกลางและแถบเปอร์เซียในสมัยโบราณนับพันๆ ปีมาแล้วค่ะ อีกทั้งยังเป็นผักที่ชาวอิหร่านนิยมรับประทานกันมากจนได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “Prince of Vegetables” กันเลยทีเดียว โดยจากชื่อที่นิยมเรียกกันว่าผักปวยเล้งออกเสียงเหมือนภาษาจีน ก็คงจะคิดว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน แต่ความจริงแล้วการเพาะปลูกผักโขมได้มีการแพร่กระจายไปยังประเทศเนปาล ซึ่งในศตวรรษที่สิบเจ็ดได้นำไปเผยแพร่ที่ประเทศจีนและในขณะนั้นก็ยังคงเรียกกันว่า “เปอร์เซียกรีน” เหตุผลที่มีชื่อว่าผักปวยเล้ง ซึ่งดูเหมือนว่ามาจากประเทศจีน ก็เนื่องจากว่าผักปวยเล้งได้มีการบันทึกชื่อเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ถังจึงได้มีชื่อเป็นภาษาจีนไปโดยปริยายค่ะ นอกจากประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจจากผักปวยเล้งนี้แล้วประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการจากผักปวยเล้งก็ไม่ธรรมดาเลยค่ะ ดังนั้นวันนี้เราเลยอยากนำข้อมูลของประโยชน์ทางสุขภาพจากผักปวยเล้งมาบอกกัน

 

16 ประโยชน์ต่อสุขภาพจากผักปวยเล้ง (Spinach)

Source: Flickr (click image for link)

1.ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง

การที่ผักปวยเล้งมีปริมาณโพแทสเซียมที่สูงมากอีกทั้งยังมีปริมาณโซเดียมต่ำ จึงส่งผลที่ประโยชน์ต่อผู้ที่ป่วยโรคความดันโลหิตสูง อีกทั้งโฟเลตที่มีอยู่ในผักปวยเล้งยังช่วยลดความดันโลหิตสูงและช่วยผ่อนคลายหลอดเลือดในขณะที่ยังรักษาระดับการไหลเวียนของโลหิตได้ดี จากการลดความดันโลหิตและผ่อนคลายความตึงของหลอดเลือด

2.บำรุงสายตา

เนื่องด้วยผักปวยเล้งมีวิตามินเอและสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่เรียกว่าเบต้าแคโรทีนที่สูง จึงไปช่วยสร้างสารโรดอปซินที่ส่งผลดีต่อการมองเห็นในเวลากลางคืนให้ดีขึ้นค่ะ  อีกทั้งยังเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระโดยไปต่อต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นซึ่งจะทำลายส่วนต่างๆ ของเซลล์ และทำให้เซลล์แบ่งตัวผิดปกติจนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย

 

3.มีประโยชน์ต่อระบบประสาท

ส่วนประกอบของผักปวยเล้ง จำพวก โปแตสเซียม โฟเลต และสารแอนตี้ออกซิแดนท์ต่าง ๆ เป็นประโยชน์ต่อระบบประสาทเมื่อเรารับประทานเป็นประจำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะโฟเลตสามารถช่วยบำรุงสมองเพิ่มความจำลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ อีกทั้งโพแทสเซียมยังเป็นส่วนสำคัญของสมองเช่นกันซึ่งมีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกับการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้เพิ่มขึ้น

 

4.ช่วยลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร

พบว่าผักปวยเล้งและผักบางชนิดมีความสามารถในการป้องกันเยื่อเมือกของกระเพาะอาหารที่จะไปช่วยลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ glycoglycerolipids ที่พบในผักปวยเล้งยังสามารถเพิ่มความแข็งแรงของเยื่อบุทางเดินอาหาร และป้องกันการอักเสบที่ไม่พึงประสงค์ในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายอีกด้วยค่ะ

 

5.รักษาและป้องกันโรคมะเร็ง

ผักป้วยเล้งมีส่วนประกอบที่สำคัญและมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่างมากมาย อีกทั้งยังมีส่วนประกอบที่สำคัญที่พบว่ามีแนวโน้มในการรักษาและป้องกันโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ อีกด้วยค่ะ โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งตับ และปอด ซึ่งส่วนประกอบสำคัญในผักปวยเล้งที่ว่านี้ คือ โฟเลต โทโคฟีรอล และคลอโรฟิลล์ ที่จะไปส่งผลต่อกลไกต่างๆ ในร่างกายและช่วยในการรักษาและป้องกันโรคมะเร็งค่ะ

 

6.ลดการเสื่อมสภาพของจอประสาทตา

Retinitis pigmentosa หรือ โรคอาร์พี (ตัวย่อ RP) เป็นโรคจอตาเสื่อมที่สามารถสืบทอดทางกรรมพันธุ์ที่เป็นเหตุแห่งความเสียหายต่อการเห็นอย่างรุนแรงถึงขั้นตาบอด ซึ่งเป็นผลมาจากการเสื่อมของ lutein และ xanthene ที่เป็นส่วนสำคัญของม่านตา แต่แล้วก็พบว่าการบริโภคผักปวยเล้งอาจส่งผลในการฟื้นฟูของเม็ดสีที่สำคัญสองสีและป้องกัน AMD ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผักปวยเล้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดผลกระทบที่เป็นอันตรายของอนุมูลอิสระซึ่งเป็นที่รู้กันว่าส่งผลเสียต่อวิสัยทัศน์และทำให้เกิดสภาวะที่เกี่ยวข้องกับอายุ เช่น โรคต้อหิน

 

7.ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กทารกในครรภ์

สิ่งที่จำเป็นต่อเด็กทารกในครรภ์ในส่วนของการเจริญเติบโตของระบบประสาทของทารกน้อยนั้นก็คือ โฟเลตค่ะ ซึ่งในผักปวยเล้งมีสารสำคัญนี้อยู่ไม่น้อยเลยค่ะ โดยโฟเลตนี้จะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องจำพวก โรคปากแหว่งเพดานโหว่ หรือ spina bifida ที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดโฟเลต อีกทั้งเมื่อคุณแม่รับประทานผักปวยเล้งเข้าไปนอกจากโฟเลตที่ได้รับยังจะได้รับวิตามินเอที่มีในผักปวยเล้งอีกด้วย ซึ่งวิตามินเอเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาปอดของทารกในครรภ์ได้ดีและสามารถถ่ายทอดทางน้ำนมได้อีกด้วยค่ะ ดังนั้นการบริโภคผักปวยเล้งจึงเหมาะแก่การรับประทานหลังคลอดด้วยเช่นกันค่ะ

 

8.ลดการอักเสบ

เนื่องด้วยในผักปวยเล้งพบว่าสารต้านการอักเสบอยู่มากมายหลายชนิดเลยทีเดียว โดยถูกแบ่งจำแนกเป็น methylenedioxy flavonoid และ glucuronides อีกทั้งผักปวยเล้งยังเป็นผักที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการลดการอักเสบทั่วตามร่างกาย รวมถึงการป้องกันโรคมะเร็งและการการป้องกันหัวใจจากการอักเสบซึ่งก่อให้เกิดอันตราย โดยยังไปลดการอักเสบของอาการปวดที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์อีกด้วยค่ะ

 

9.เสริมสร้างกล้ามเนื้อ

ในผักปวยเล้งมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีหน้าที่สำคัญในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อจากโคเอ็นไซคิวเท็น (Co – Q10) ซึ่งสารสำคัญตัวนี้ยังช่วยป้องกันและรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดหลายชนิดได้จากการที่ไปช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้ทำงานได้แข็งแรงในการสูบฉีดเลือดไปใช้ในทุกส่วนของร่างกายเรา จึงส่งผลในการลดภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันนั่นเองค่ะ

 

10.ช่วยเร่งการเผาผลาญ

ผักปวยเล้งติดอันดับต้นๆ ของอาหารที่ช่วยเร่งการเผาผลาญซึ่งเป็นหัวข้อที่ได้โพสไปไม่นานมานี้ค่ะ ซึ่งก็เหมาะทีเดียวกับคนที่ต้องการคบวคุมน้ำหนักหรือต้องการโปรตีนจากพืชผัก เนื่องจากปริมาณโปรตีนที่พบในผักปวยเล้งช่างน่าสนใจกว่าผักหลายชนิดเลยทีเดียว อีกทั้งยังพบว่าสามารถย่อยสลายได้ง่ายจากเอนไซม์ของกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อมนุษย์และผักปวยเล้งยังสามารถลดความกระหายและความหิวซึ่งสามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้อีกด้วยค่ะ

 

11.ป้องกันภาวะหลอดเลือดแข็ง

โรคภาวะหลอดเลือดแข็งไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็คงเป็นฝันร้ายและคงไม่มีใคอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างแน่นอน ซึ่งภาวะหลอดเลือดแข็งนี้เกิดจากการแข็งตัวของหลอดเลือดแดง เม็ดสีที่สำคัญที่พบในผักปวยเล้ง คือ lutein พบว่าสามารถช่วยลดการเกิดภาวะหลอดเลือด หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดในสมอง อีกทั้งโปรตีนจากผักปวยเล้งยังมีแนวโน้มลดคอเลสเตอรอลและไขมันในเส้นเลือดอื่น ๆ ในร่างกายอีกด้วยค่ะ

 

12.ช่วยเสริมสร้างกระดูก ฟัน และเล็บ

ถ้ามองหาอาหารเพื่อรับประทานในการเสริมสร้างกระดูกและฟันอยู่แล้วล่ะก็ ลองเดินออกไปที่ซุปเปอร์มาเก็ตแล้วอย่ารีรอที่จะหยิบผักปวยเล้งมาประกอบอาหารหรือจะรับประทานแบบสดๆ ก็ไม่ว่ากัน เนื่องจากผักปวยเล้งเป็นแหล่งสุดยอดของวิตามินเค โดยวิตามินเคจะไปทำหน้าที่ในการรักษาแคลเซียมไว้ในเมทริกซ์กระดูก ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดแร่ธาตุกระดูก นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุอื่น ๆ อย่างเช่นแมงกานีส ทองแดง แมกนีเซียม สังกะสี และฟอสฟอรัสที่จะไปช่วยในการสร้างกระดูกให้แข็งแรงอีกด้วย อีกทั้งยังสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนด้วยเช่นกันค่ะ

 

13.ปกป้องผิวพรรณ

สารต่อต้านอนุมูลอิสระจาก phytonutrients ในผักปวยเล้งได้ส่งผลต่อสุขภาพผิวของเราโดยการทำให้ผิวเราแข็งแรงขึ้น ปกป้องผิวของเราจากรังสีที่เป็นอันตรายจากแสงอาทิตย์รวมทั้งรังสียูวี นอกจากปกป้องผิวเราให้แข็งแรงแล้วยังช่วยซ่อมยีนส์ที่เกิดจากความเสียหายด้วยค่ะ เพราะอย่างนี้จึงส่งผลที่สำคัญต่อการป้องกันมะเร็งผิวหนังในระยะยาว

 

14.มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของเด็กทารก

จากการ์ตูนเรื่องป๊อบอายที่เมื่อรับประทานผักปวยเล้งแล้วจะทำให้ร่างกายโตขึ้นและแข็งแรงเพื่อการต่อสู้ปกป้องคนที่เขารักได้นั้นก็เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้เด็กๆ ที่ไม่ชอบทานผักได้หันมาทานผักกัน โดยเฉพาะผักปวยเล้งที่มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุมากมายที่ดีต่อการการพัฒนาตามวัยของการเจริญเติบโตที่สำคัญของเด็ก จึงมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของเด็กนั่นเองค่ะ

 

15.ลดความเสี่ยงต่อโรคต้อกระจก

พบว่าสารที่อยู่ในผักปวยเล้งอย่าง lutein และ zeaxanthin ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพสายตา โดยสามารถช่วยในการป้องกันดวงตาจากผลกระทบที่รุนแรงของรังสียูวีที่สามารถนำไปสู่ต้อกระจก นอกจากนี้ยังลดผลกระทบของอนุมูลอิสระซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญของต้อกระจกและภาวะสายตาอื่น ๆ อีกด้วยค่ะ

 

16.ดีต่อการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง

ดีอย่างไรน่ะหรอ? พบว่าผักปวยเล้งมีประสิทธิภาพในการต่อต้านการรุกลามของมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยเกี่ยวข้องกับสาร Epoxyxanthophylls (อีพ็อกซี่แซนโทฟิล) ที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มของคาโรทีนอยด์ เช่นเดียวกับสาร neoxanthin และ violaxanthin ซึ่งสารสำคัญนี้จะไปช่วยยับยั้งและต่อต้านการเจริญเติบโตของเนื้องอกที่ทำการแพร่กระจายของมะเร็งตามทั่วร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

 

จะเห็นได้ว่าผักปวยเล้งมีคุณค่าทางโภชนาการมากมายและดีต่อสุขภาพหลายอย่างจนอยากจะซื้อมารับประทานให้ได้ทุกวันยิ่งดี แต่อย่างไรก็ดีการเลือกรับประทานแบบพอดีพอเหมาะจะเป็นทางเลือกที่ดีเสมอ เนื่องจากข้อควรระวังของการเลือกรับประทานผักปวยเล้งคือ เมื่อได้รับประทานมากเกินไปกรดออกซาลิกที่อยู่ในผักปวยเล้งอาจจะไปรวมตัวกับแคลเซียมแล้วเกิดการตกตะกอนจนก่อให้เกิดโรคนิ่วเอาได้ โดยเฉพาะอาจจะต้องพึงระวังกันเป็นพิเศษสำหรับคนที่เป็นโรคนิ่วหรือโรคเกาต์ค่ะ

 

 

www.flickr.com/photos/smiteme/8256262560/

www.flickr.com/photos/joeyz51/39014341550/

ผักเคล (Kale) คืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร

Source: Flickr (click image for link)

“ผักเคล” (Kale) อีกหนึ่งชนิดของผักใบสีเขียวเข้มที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดของอาหารหรือ Super Food นั่นเองค่ะ ถ้าได้ถูกยกให้ไปอยู่ในลำดับของสุดยอดของอาหารแล้วถือว่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเชื่อว่ามีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้จักกับผักใบเขียวเข้มชนิดนี้กันมากนัก จึงอยากจะนำข้อมูลรายละเอียดทั้งผักเคลมีความเป็นมาและมีประโยชน์อย่างไรบ้างมานำเสนอกันในวันนี้ค่ะ ด้วยคำที่เราเคยได้ยินมาแต่เด็กๆ ว่า “กินผักแล้วจะได้แข็งแรง” วันนร้เราจะมารู้กันว่ากินผักแล้วจะแข็งแรงยังไง บางคนจะทานผักทีแสนยากเย็นโดยเฉพาะผักที่มีสีเขียวเข้ม ไหนจะบอกว่าเหม็นเขียวบ้าง ขมบ้าง ไม่อร่อยเอาซะเลย แต่ถ้าคุณได้มารู้จักและเห็นคุณค่ากับประโยชน์ที่ได้รับแล้ว ต้องบอกได้เลยว่าคุณค่าทางโภชนาการที่คุณจะได้รับจะต้องทำให้เปลี่ยนใจอย่างแน่นอน ลักษณะของผักเคลจะมีใบที่หยิกสีเขียวเข้มหลายคนเรียก ผักคะน้าใบหยิก ด้วยรสชาติที่คล้ายคลึงกับผักคะน้าแต่ก็ไม่แปลกใจเลยเนื่องจากผักเคลเป็นพืชผักที่อยู่สายพันธุ์เดียวกับผักคะน้า โดยผักเคลเป็นผักที่อยู่ในตระกูลเดียวกันกับกะหล่ำปลีเช่นเดียวกับบล็อคโคลี่ จะเห็นได้ว่าผักที่อยู่ในตระกูลนี้จะมีคุณค่าทางอาหารจะไม่แตกต่างกันมาก

ความเป็นมาของผักเคล เมื่อถึงสิ้นยุคกลางได้มีการถูกค้นพบของผักเคลและผักเคลก็เป็นพืชผักสีเขียวเข้มที่เห็นได้ทั่วไปในทวีปยุโรป จริงๆ แล้วพืชผักใบหยิกสายพันธุ์ของกะหล่ำปลีกับผักสายพันธุ์ใบเรียบแบนได้มีอยู่แล้วตั้งแต่ศตวรรษที่สี่ในกรีซ อีกทั้งยังถูกใช้เป็นยารักษาในรูปแบบของอาหารซึ่งใช้เพื่อรักษาโรคลำใส้ ถึงขนาดที่ชาวโรมันได้ขนานนามว่า “Sabellian Kale” โดยผักเคลได้ถูกยกให้เป็นบรรพบุรุษสมัยใหม่ ต่อมาผักเคลได้เข้าไปยังทวีปอเมริกาเหนือโดยอาณานิคมในศตวรรษที่ 16 หลังจากนั้นผักเคลของรัสเซียได้ถูกนำเข้าสู่ประเทศแคนาดาจนเข้าสู่สหรัฐอเมริกาโดยพ่อค้าชาวรัสเซียในศตวรรษที่ 19 และคงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามาสมัยนี้คนรักสุขภาพหันมานิยมรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะจาก Super Food อย่างผักเคลที่ส่วนใหญ่จะนำมาปั่นเป็นสมูทตี้แบบ Green Smoothies ดื่มน้ำผักกันให้เห็นทั่วไป ด้วยความเบื่อหน่ายของสุขภาพที่ย่ำแย่ ขับถ่ายไม่ปกติ รู้สึกสุขภาพที่แย่ หลายคนยอมเปลี่ยนการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพนั่นเป็นสิ่งที่ดีและควรเป็นอย่างยิ่ง สมัยนี้มีอาหารมากมายหลายร้อยชนิดให้เลือกรับประทานแต่ถ้าคุณเลือกรับประทานที่ถูกและเหมาะสมต่อร่างกาย รับรองสุขภาพที่ดีไม่ไกลเกินเอื้อมค่ะ

 

ผักเคล (Kale) คืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร

Source: Flickr (click image for link)

ได้กล่าวถึงความเป็นมาและประโยชน์ของผักเคลไปบ้างแล้ว การที่จะได้ถูกยกให้เป็น Super Food แน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ผักเคลได้ถูกเรียกว่าเป็น “The new beef” และยังได้รับการยอมรับว่าเป็น “The queen of green” หรือราชินีแห่งผักใบเขียว รวมถึงเป็น “A nutritional housepower” การที่จะได้รับฉายาต่างๆ มาได้ย่อมมีที่มาที่ไปค่ะ เพราะฉะนั้นอันดับแรกเรามาดูสารอาหารที่พบในผักเคลก่อนเลยดีกว่าค่ะ

คุณค่าทางโภชนาการของ ผักเคล

ผักเคลปริมาณ 100 กรัม มีพลังงาน 49 กิโลแคลอรี่

 

                                                                                           ค่าเปอร์เซ็นต์ต่อวัน

ไขมันทั้งหมด 0.9 กรัม                                                                    1%

ไขมันอิ่มตัว 0.1 กรัม                                                                         0%

ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 0.3 กรัม

ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 0.1 กรัม

โคเลสเตอรอล 0 มิลลิกรัม                                                              0%

โซเดียม 38 มิลลิกรัม                                                                       1%

โพแทสเซียม 491 มิลลิกรัม                                                           14%

คาร์โบไฮเดรตทั้งหมด 10 กรัม                                                      2%

                  ใยอาหาร 2 กรัม                                                              8%

โปรตีน 4.3 กรัม                                                                                8%

วิตามินเอ                                                                                       199%

วิตามินซี                                                                                        200%

วิตามินเค                                                                                       881%

แคลเซียม                                                                                        15%

เหล็ก                                                                                                8%

วิตามินดี                                                                                           0%

วิตามินบี 6                                                                                       15%

วิตามินบี 12                                                                                       0%

แมกนีเซียม                                                                                      11%

 

จะเห็นได้ว่าผักเคลปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงานที่ต่ำมากเพียง 49 กิโลแคลอรี่ เท่านั้น จากค่าสารอาหารต่างๆ ในผักเคลเรามาดูรายละเอียดของคำขนานนามขึ้นชื่อของผักเคลกันค่ะ

“The new beef” ถ้าเรามองค่าโปรตีนที่มีในผักเคลจะอยู่ที่ 4.3 กรัม ซึ่งในพืชผักจะถือว่าอยู่ในค่าที่สูงไม่น้อยเลยล่ะค่ะ ซึ่งไม่เพียงแต่โปรตีนที่เราจะได้รับในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ โดยความสามารถในการต้านการอักเสบของผักเคลเป็นผักไม่มีใครเทียบได้ในผักใบเขียวที่ปราศจากไขมันแล้วแต่กลับมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่เป็นกรดไขมันชนิดที่ดีต่อร่างกายอย่างโอเมก้า 3 อยู่ซึ่งจะไปช่วยต่อสู้กับโรคข้ออักเสบ โรคหอบหืดและความผิดปกติของภูมิต้านทานเนื้อเยื่อ โรคหัวใจและโรคภูมิต้านตนเอง ทั้งยังเทียบเคียงมากับปริมาณแคลเซียมในผักเคลที่สูงมากกว่านมวัวถึงสามเท่าอีกด้วยค่ะ เห็นอย่างนี้แล้วไม่แปลกใจเลยทำไมผักเคลถึงได้ถูกเรียกว่าเป็น “The new beef”

“The queen of green” หรือราชินีแห่งผักใบเขียว ผักใบเขียวมีมากมายหลายชนิดเต็มไปหมด ฉะนั้นการได้รับตำแหน่งนี้มาไม่ง่ายอย่างแน่นอนจริงไหมคะ ด้วยความกรีนความเขียวของผักเคลก็ต้องย้อนกลับไปดูค่าของเส้นใยอาหารก่อนเลยค่ะ และแล้วก็เห็นได้ว่าค่าเส้นใยนั้นสูงลิ่วเลย ด้วยกากใยอาหารที่สูงจะช่วยในการดีท๊อกซ์ลำใส้ช่วยลดปัญหาของโรคลำใส้ให้หมดไป ดังนั้นไม่ต้องสงสัยว่าเดินออกจากบ้านไปเห็นหลายคนนำมาทำเป็นสมูทตี้ใส่แก้วถือดื่มแบบชิคๆ ทุกเช้านี่ไม่ใช่แค่เพียงโชว์ความคูลแต่มันคือความเฮลทตี้แบบวินวินนั่นเองค่ะ

“A nutritional house power” แหล่งสะสมของพลังงานสารอาหารรวมอยู่ในผักเคลหนึ่งเดียวนี้เท่านั้น ไม่ต้องไปหาหลายชนิดหลายอย่างมีแค่ผักเคลก็ได้รับสารอาหารที่เปี่ยมล้น ไม่ว่าจะเป็น โปรตีน กรดไขมันโอเมก้า 3 เส้นใยอาหาร แร่ธาตุอาหารอย่าง แมกนีเซียม แคลเซียม เหล็ก โซเดียม และโพแทสเซียม เท่านั้นยังไม่พอ ยังเป็นแหล่งของวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินเค และวิตามินบี 6 โดยเฉพาะค่าวิตามินเอ วิตามินเค และวิตามินซี ที่มีอยู่สูงมาก นอกจากนี้ยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงอีกด้วยค่ะ เยอะแยะมากมายในหนึ่งเดียวขนาดนี้คงต้องยอมรับกับฉายานี้แล้วล่ะ

“Super Food” จากข้อมูลข้างต้นคงปฎิเสธกับการถูกยกให้เป็นหนึ่งในสุดยอดของอาหารไม่ได้เลยใช่ไหมล่ะ ด้วยคุณค่าสารอาหารทางโภชนาการที่มีในผักเคลได้ส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างไม่น่าเชื่อว่าผักใบสีเขียวอย่างนี้จะมีได้เยอะถึงขนาดนั้น นอกจากวิตามินที่มีมากมายในผักเคลแล้วสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในผักเคลอย่าง ฟลาโวนอยด์ แคโรทีนอยด์ โดยผักเคลมีจำนวน flavonoids ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายรวมทั้งสารประกอบฟีนอลิกและกรด hydroxycinnamic สามชนิดซึ่งสามารถช่วยรักษาระดับคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับปกติและช่วยขจัดอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายในร่างกาย ซึ่งผักเคลมี flavonoids ที่สำคัญที่สุด 2 ชนิด ได้แก่ kaempferol และ quercetin อีกทั้งสารต่อต้านอนุมูลอิสระในผักเคลนั้นยังช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ดีเอ็นเอในขณะเดียวกันก็ชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งที่รวมไปถึงอาหารที่มีวิตามินเคสูงอย่างผักเคลอีกด้วย นอกจากนี้ยังจำเป็นสำหรับการทำงานทางร่างกายต่างๆ อีกมากมายรวมถึงสุขภาพของกระดูกและการแข็งตัวของเลือด ทั้งนี้การมีวิตามินเคที่เพิ่มขึ้นจะสามารถช่วยทุเลาความทรมานจากโรคอัลไซเมอร์ วิตามินเอที่สูง ของผักเคลจะช่วยในเรื่องของสุขภาพของผิวพรรณและสายตา ป้องกันมะเร็งปอดและมะเร็งในช่องปาก วิตามินซีสูง ของผักเคลจะช่วยในระบบเผาผลาญของเราให้ดีขึ้นและช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทั้งยังสร้างความสดชื่นให้กับร่างกายด้วนค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นยังพบว่าประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินหลากหลายชนิดในผักเคลจะลดลงเมื่อผ่านความร้อน ดังนั้นการนำมารับประทานแบบสดๆ เป็นทางเลือกที่ดีค่ะ

 

www.flickr.com/photos/27129991@N03/10628307945/

www.flickr.com/photos/gvhetzel/5349803117/

19 ชนิดของผลไม้ที่เหมาะกับคนเป็นโรคเบาหวาน

Source: Flickr (click image for link)

“การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสิรฐ” หลายคนคงคุ้นหูกันเป็นอย่างดีกับสำนวนดังกล่าว ไม่ว่ามนุษย์เราจะยาก ดี มี จน ก็อยากให้ตนเองมีสุขภาพที่ดีปราศจากโรคภัยไข้เจ็บกันทั้งนั้น แต่อย่าลืมว่าคนเราก็ล้วนแต่ต้องมาเผชิญกับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอโดยที่ใครก็ไม่สามารถกำหนดหรือหลีกเลี่ยงกันไปได้ ถ้ามันเกิดขึ้นแล้วสิ่งที่เราทำได้ก็มีแค่รู้จักที่จะอยู่กับมันและประคับประคองให้ดีที่สุดค่ะ ใครๆ ก็คงไม่อยากเจ็บป่วยกายกันหรอกจริงไหมคะ นอกจากป่วยกายแล้วยังส่งผลต่อสุขภาพจิตใจจนทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่มีความสุข ส่วนใหญ่การดูแลสุขภาพที่ดีที่สุดนอกจากออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอแล้ว การเลือกรับประทานอาหารก็สำคัญยิ่งอีกทั้งเป็นตัวส่งผลทั้งโดยตรงและทางอ้อมค่ะ การเลือกรับประทานอาหารที่ดีและเหมาะสมนอกจากจะช่วยไม่ให้ก่อโรคต่างๆ แล้วยังช่วยชะลอหรือรักษาบางโรคได้เลยทีเดียวค่ะ วันนี้เลยจะมาพูดถึงหัวข้อที่ว่า จะเลือกรับประทานผลไม้ชนิดไหนถึงจะเหมาะสมกับคนที่เป็นโรคเบาหวาน ขึ้นชื่อว่ามีโรคประจำตัวไม่ว่าจะโรคอะไรก็จะถูกจำกัดการรับประทานอาหารอยู่เสมอ บางคนอาจจะยังไม่ทราบหรือทราบมาบ้างแล้วว่าควรรับประทานอาหารชนิดไหนได้บ้าง ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจะชอบรับประทานอาหารที่ถูกห้ามเสมอด้วยข้อจำกัดของประเภทของอาหารที่ต้องควบคุมมากมาย แต่ในวันนี้เราจะพูดถึงผลไม้ชนิดไหนอะไรบ้างที่คนเป็นโรคเบาหวานสามารถรับประทานได้บ้างค่ะ ซึ่งอย่างไรก็ตามการเลือกรับประทานผลไม้สดๆ แทนการเลือกรับประทานแบบเป็นน้ำผลไม้สำเร็จรูปหรือในรูปแบบน้ำผลไม้ปั่น เนื่องจากการเลือกรับประทานผลไม้แบบสดๆ นอกจากจะได้รับเส้นใยอาหาร สารสำคัญต่างๆ รวมถึงวิตามินในผลไม้อย่างธรรมชาติโดยตรง โดยการดื่มน้ำผลไม้สำเร็จรูปหรือแบบน้ำผลไม้ปั่นนอกจากสารสำคัญรวมถึงวิตามินคุณค่าทางโภชนาการจะหายไปกับกระบวนการผลิตแล้ว เรากลับได้รับน้ำตาลจากน้ำเชื่อมที่ถูกเติมลงไปอีก ด้วยการถูกจำกัดการเลือกรับประทานอาหารก็ยากพอแล้ว แต่เชื่อเถอะค่ะว่าผลไม้ที่จะกล่าวต่อไปนี้จะเป็นตัวช่วยได้ดีเลยทีเดียว นอกจากรสชาติที่อร่อยแล้วยังได้รับวิตามินและสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่น้อยเลยล่ะ

ถึงแม้ว่าในผลไม้จะมีน้ำตาลอยู่แต่จะเห็นได้ว่าก็จะไม่ถูกให้งดทานเลยซะทีเดียว ซึ่งก็ควรเลือกรับประทานในปริมาณที่จำกัดนั่นเองค่ะ โดยในแต่ละวันอาจจะทานได้ 2 ถึง 3 มื้อ และเป็นมื้อละ 7- 8 ชิ้นคำค่ะ

 

19 ขนิดของผลไม้ที่เหมาะกับคนเป็นโรคเบาหวาน

Source: Flickr (click image for link)

1.แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลไม่ว่าจะเป็นแอปเปิ้ลแดง ชมพู เหลือง เขียว ถือเป็นผลไม้ชนิดแรกที่จะแนะนำให้มีติดบ้านไว้เลยก็ว่าได้ค่ะ ถือเป็นผลไม้ที่เป็นอาหารว่างอันดับแรกที่เลือกนำมารับประทาน นอกจากน้ำตาลต่ำ มีเส้นใยอาหารและวิตามินซีสูงแล้วยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วยค่ะ

 

2.ฝรั่ง

การเลือกรับประทานฝรั่งเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อยเลยค่ะ เห็นผลสีเขียวๆอย่างนี้มีน้ำตาลต่ำแต่วิตามินซีสูงปรี๊ดนะเออ แถมมาด้วยเส้นใยอาหารที่มีมากไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่นๆ เลยทีเดียว จะว่าไปฝรั่งที่บ้านเราราคาก็แสนจะถูกแถมหาง่ายอีกด้วย

 

3.บลูเบอร์รี่

บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่ขึ้นชื่อของเรื่องที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และมีส่วนช่วยการต้านการอักเสบ บูเบอร์รี่มีค่าดัชนีน้ำตาลในเลือดต่ำซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรมีผลไม้เหล่านี้ติดบ้านไว้ค่ะ

 

4.แตงโม

หลายคนคงคิดว่าผลไม้อย่างแตงโมที่มีรสชาติหวาน สดชื่น นี้จะเหมาะกับคนเป็นเบาหวานหรอ ? แต่รู้มั้ยคะว่าน้ำตาลในแตงโมไม่เยอะอย่างที่คิดเลย นอกจากนี้แตงโมยังมีแร่ธาตุ ใยอาหารและน้ำปริมาณมาก ที่จะไปช่วยลดความอยากอาหารค่ะ

 

5.องุ่น

องุ่นโดยเฉพาะองุ่นแดงมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอย่าง Resveratrol ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีที่พบได้ในองุ่น ที่จะไปช่วยปรับการตอบสนองของน้ำตาลในเลือดโดยทำให้ร่างกายหลั่งและใช้อินซูลินค่ะ

 

6.แคนตาลูป

แคนตาลูปสามารถรสชาติหวานฉ่ำช่วยเติมความสดชื่นด้วยเนื้อนุ่ม ๆ แคนตาลูปเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่มีปริมาณน้ำมาก และมีสารอาหารต่างๆ สูง

 

7.ชมพู่

ชมพู่เป็นผลไม้ที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลในพื้นที่เขตร้อนอย่างบ้านเรา นอกจากมีพลังงานต่ำและน้ำเยอะแล้วยังมีเส้นใยอาหาร วิตามินซีที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ

 

8.สตรอเบอร์รี่

สตรอเบอร์รี่เป็นอีกชนิดของผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มีค่าดัชนีน้ำตาลในเลือดต่ำ นอกจากนี้ยังสามารถปรับภูมิคุ้มกันให้สามารถต่อสู้กับโรคมะเร็งและเพิ่มการเผาผลาญอาหารซึ่งจะช่วยคุณในขณะลดน้ำหนักได้อีกด้วยค่ะ

 

9.ราสเบอร์รี่

ราสเบอร์รี่ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มีเส้นใยสูงที่เป็นผลดีต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน อีกทั้งยังเป็นแหล่งที่ดีของสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามิน

 

10.ส้ม

สารฟลาโวนอยด์และกรดฟีนอลเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่พบในส้ม อีกทั้งยังมีวิตามินซีและเส้นใยอาหารสูง เมื่อกล่าวถึงการเผาผลาญน้ำตาลกลูโคสไม่เพียงแต่ช่วยชะลอระดับกลูโคส แต่ยังยับยั้งการเคลื่อนไหวหรือการขนส่งของน้ำตาลกลูโคสผ่านลำไส้และตับด้วย

 

11.กีวี่

กีวี่ลูกกลมๆ รีๆ มีเปลือกขนสีน้ำตาลแต่มืเนื้อข้างในสีเขียวสดใส ด้วยรสชาติที่หวานอมเปรี้ยวกัดทีให้ความชุ่มฉ่ำไม่น้อย มีวิตามินซีและเส้นใยอยู่สูงไม่น้อยดเลยค่ะ นึกอะไรไม่ออกก็จับกีวี่มาสักลูกรับรองหลังจากรับประทานจะไม่รู้สีกผิดเลยแม้แต่น้อย

 

12.ลูกแพร์

ผลไม้อีกชนิดอย่างลูกแพร์ไม่ว่าคุณจะกินมันเท่าไรคุณก็จะได้ลิ้มรสที่แสนอร่อยและเต็มเปี่ยมไปด้วยเส้นใยอาหารและสารอาหารที่ดี ลูกแพร์เป็นผลไม้ที่มีน้ำเยอะยังไปช่วยในการควบคุมความหิวได้ด้วยเช่นกัน

 

13.เลมอล

นอกจากเลเมอลแล้วยังรวมถึงมะนาวที่นอกจากมีวิตามินต่างๆ เช่นวิตามิน A, B, แมกนีเซียมโซเดีย เส้นใย และอื่นๆ นอกจากนี้เลมอลและมะนาวยังมีระดับที่ดีของเส้นใยที่ละลายน้ำได้ซึ่งจะไปช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เส้นใยที่ละลายน้ำช่วยยับยั้งปริมาณน้ำตาลที่นำเข้าจากเลือด นอกจากนี้เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำก็จะทำให้ระดับกลูโคสของเราคงที่ค่ะ

 

14.แครนเบอร์รี่

แครนเบอร์รี่เป็นแหล่งที่มีปริมาณเส้นใยและสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี นอกจากนี้ยังช่วยในการควบคุมระดับกลูโคสของร่างกายเนื่องจากมีน้ำตาลน้อยมาก น้ำแครนเบอร์รี่หากดื่มเป็นประจำสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการ UTIs ที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคเบาหวานค่ะ

 

15.เสาวรส

ผลไม้รสเปรี้ยวอบหวานนิดๆ อย่างเสาวรสอุดมไปด้วยวิตามินซี อีกทั้งยังพบว่าเสาวรสและเปลือกของมันมีเส้นใยที่ละลายน้ำได้เรียกว่าเพคตินซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยเพคตินทำให้ความสามารถในการดูดซึมน้ำตาลลดลงค่ะ

 

16.ทับทิม

ผลทับทิมเม็ดสีแดงสดใสอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องคุณจากอนุมูลอิสระและโรคเรื้อรัง อีกทั้งทับทิมยังเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ยอดเยี่ยมอีกด้วยค่ะ

 

17.เชอร์รี่

เชอร์รี่ผลสดๆ มีสารสำคัญเหมือนกับบลูเบอร์รี่คือ มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสำคัญอย่างแอนโธไซยานินที่ช่วยให้เซลล์ผลิตอินซูลินได้ถึง 50% เลยค่ะ

 

18.ลูกพีช

นอกจากรสชาติที่อร่อยของลูกพีชทั้งยังสามารถเติมความสดชื่นให้กับเครื่องดื่มในช่วงอากาศร้อนๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหาวิตามิน A และ C หรือกำลังต้องการใยอาหาร ลูกพีชเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ไม่ควรมองข้ามค่ะ

 

19.ส้มโอ

ผลไม้ไทยที่รสชาติอร่อยติดปากคนไทยอีกชนิดอย่างส้มโอ นอกจากมีวิตามินซีและเส้นใยอาหารที่สูงไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่นๆ แล้ว ยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอย่าง flavonoid ที่ไปช่วยในการสร้างความสมดุลให้แก่ฮอร์โมนอินซูลินและระดับน้ำตาลในเลือดค่ะ

 

 

www.flickr.com/photos/ktpupp/684941010/

www.flickr.com/photos/lori_greig/5334058050/

  • 1
  • 2