Browse Tag: ปลาน้ำจืด

15 ชนิดของปลาที่มีโอเมก้า 3 สูง

fish-1
Source: Flickr (click image for link)

สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะพูดถึงชนิดของปลาที่มีโอเมก้า 3 สูง ที่ให้คุณๆ ทั้งหลายได้เป็นแนวทางในการจ่ายตลาดจะมาประกอบอาหารเอง หรือเลือกซื้อมารับประทานแบบสำเร็จก็ได้ทั้งนั้น หลายๆ คนคงทราบถึงประโยชน์ของโอเมก้า 3 ที่มีมากมายและก็จำเป็นต่อสุขภาพร่างกายของเราชนิดที่ไม่ควรจะขาดเลยก็ว่าได้ ถ้าจะพูดถึงโอเมก้า 3 เราก็จะนึกถึงปลาเป็นอย่างแน่นอน แต่ก็ใช่ว่าโอเมก้า 3 จะมีแค่ในปลาเท่านั้นนะคะ เพียงแต่วันนี้เราอยากนำเสนอโอเมก้า 3 ที่มีอยู่ในเนื้อปลาชนิดไหนบ้าง บางชนิดหลายคนอาจจะยังไม่ทราบ เพื่อจะได้เป็นประโยชน์และเราจะได้ทราบว่าโอเมก้า 3 ก็มีอยู่ในปลาชนิดนี้ด้วยนั่นเองค่ะ อยากที่ได้บอกไปว่านอกจากปลาแล้วยังมีอาหารชนิดอื่นอีกด้วยที่มีโอเมก้า 3 และการเลือกรับประทานปลานั้นก็เนื่องจากปลาเป็นโปรตีนคุณภาพดีและมีไขมันต่ำ กรดไขมันที่เราเรียกกันว่า โอเมก้า 3 นั้นคือ ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดหนึ่งที่สามารถพบมากในปลาทะเลน้ำลึก ซี่งเป็นไขมันจำเป็นที่จะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น เนื่องจากร่างกายของเราไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้และมีสารอาหารที่สำคัญ 2 ชนิดก็คือ EPA และ DHA ค่ะ เอาล่ะค่ะ เมื่อทราบความสำคัญและประโยชน์ของโอเมก้า 3 คร่าวๆ แล้วแต่อยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับโอเมก้า 3 เพิ่มเติมมากขึ้น ก็สามารถย้อนกลับไปอ่านที่กระทู้ Omega 3 คืออะไร ได้ค่ะ แต่ตอนนี้เราไปดูกันดีกว่าว่ามีปลาชนิดไหนบ้างที่มีโอเมก้า 3 สูงค่ะ

 

15 ชนิดของปลาที่มีโอเมก้า 3 สูง

fish-2
Source: Flickr (click image for link)

ก่อนอื่นเลยเพื่อให้คุณผู้อ่านเข้าใจง่ายขึ้นนะคะ เนื่องจากโอเมก้า 3 ในปลานั้นไม่ได้แค่มีเฉพาะในปลาทะเลน้ำลึกเท่านั้น แต่ในบ่อปลาน้ำจืดบ้านเรานั้นปลาก็มีโอเมก้า 3 ค่า! เพราะฉะนั้นจะขอแบ่งส่วนปลาทะเลน้ำลึก ปลาทะเลไทย และปลาน้ำจืด ให้เข้าใจกันง่ายๆ ดีกว่าเนอะ แค่เราทราบว่าปลาในบ่อน้ำจืดบ้านเรามีโอเมก้า 3 สูงไม่แพ้ปลาทะเลน้ำลึกที่ต้องไปงมหาไกลแสนไกลและยังต้องอิมพอร์ตเข้ามาในประเทศไทย อีกทั้งยังราคาแสนเจ็บปวดขนาดที่ไม่คิดว่าจะซื้อทานได้บ่อยๆ เป็นแน่แท้ ก็เพราะอย่างนี้เราจึงไปหาข้อมูลมาบอกกันเพื่อให้ยิ้มออกว่าไม่ต้องมองไหนไกลเลย อยู่ใกล้รอบตัวเราแค่นี้! ไปดูกันเลย

เริ่มต้นที่ปลาทะเลน้ำลึก

1.ปลาแซลมอล มีโอเมก้า 3 อยู่ที่ 1.9 กรัม

2.ปลาทูน่า มีโอเมก้า 3 อยู่ที่ 1.2 กรัม

3.ปลาแมคเคอเรล มีโอเมก้า 3 อยู่ที่ 2.3 กรัม

4.ปลาซาร์ดีน มีโอเมก้า 3 อยู่ที่ 1.0 กรัม

5.ปลาแอนโชวี่ มีโอเมก้า 3 อยู่ที่ 2.0 กรัม

ปลาทะเลไทย

6.ปลาจะละเม็ดขาว มีโอเมก้า 3 อยู่ที่ 0.84 กรัม

7.ปลาสำลี มีโอเมก้า 3 อยู่ที่ 0.47 กรัม

8.ปลากระพงขาว มีโอเมก้า 3 อยู่ที่ 0.40 กรัม

9.ปลาอินทรี มีโอเมก้า 3 อยู่ที่ 0.33 กรัม

10.ปลาทู มีโอเมก้า 3 อยู่ที่ 0.22 กรัม

ปลาน้ำจืด

11.ปลาดุก มีโอเมก้า 3 อยู่ที่ 0.46 กรัม

12.ปลาสวาย มีโอเมก้า 3 อยู่ที่ 0.45 กรัม

13.ปลาช่อน มีโอเมก้า 3 อยู่ที่ 0.44 กรัม

14.ปลาสลิด มีโอเมก้า 3 อยู่ที่ 0.36 กรัม

15.ปลานิล มีโอเมก้า 3 อยู่ที่ 0.12 กรัม

 

จากข้อมูลทั้งหมด เมื่อลองสังเกตุดูดีๆ แล้วจะเห็นได้ว่าปริมาณไขมันโอเมก้า 3 ที่มีอยู่ในปลาน้ำจืดของไทยเรานั้น ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่แพ้ปลาทะเลน้ำลึกเลยล่ะค่ะเมื่อเทียบกับราคาที่แสนจะแพงกว่าของปลาทะเลน้ำลึกแล้ว อย่างนี้ก็แค่เดินไปตลาดใกล้บ้านแล้วเลือกซื้อปลาไทยบ้านเรามาประกอบอาหารก็ได้คุณค่าทางโภชนาการเต็มเปี่ยม นอกจากได้สุขภาพที่ดีและยังประหยัดเงินแถมคุ้มค่ากับปลาที่เป็นโปรตีนคุณภาพสูงไขมันต่ำ ไม่อ้วนแล้วยังบำรุงสมองเราอีกด้วยค่ะ หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณผู้อ่านเลือกซื้อปลาที่มีโอเมก้า 3 สูงกันได้ไม่มากก็น้อยนะคะ 🙂

 

www.flickr.com/photos/volvob12b/9618414457/

www.flickr.com/photos/erlinaart/5415362484/

Omega 3 คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร

salmon-salad-1
Source: Flickr (click image for link)

“โอเมก้า 3” (Omega 3) คืออะไรกันนะ สาวๆหลายคนรวมไปถึงคนที่รักสุขภาพนั้นต่างก็ให้ความสนอกสนใจเกี่ยวกับอาหารที่มีโอเมก้า 3 กันเยอะพอสมควร แต่เราจะรู้ดีแค่ไหนกันนะว่าเจ้าโอเมก้า 3 มันมีบทบาทและความสำคัญอย่างไร ดีต่อสุขภาพของเราแค่ไหนช่วยอะไรบ้างต่อร่างกายของเรา มีอีกหลายคนเลยล่ะค่ะที่ยังไม่ค่อยรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเจ้าโอเมก้า 3 กันมากนักรู้ก็แค่ว่ามันคือกรดไขมันอย่างหนึ่งและมีประโยชน์ แต่ไม่ใช่แค่มีประโยชน์เท่านั้นนะคะมันยังมีความสำคัญอย่างที่ร่างกายของเรานั้นในขนาดที่ขาดไม่ได้เช่นกัน ถ้าเรารู้จักกับเจ้าโอเมก้า 3 กันสักนิดเราก็จะได้ทั้งความรู้ สุขภาพที่ดีและความสวยเพิ่มขึ้นอีกค่ะ อยากรู้แล้วล่ะสิว่าทำให้สวยขึ้นได้ด้วยหรอแล้วจะได้ยังไงกันนั้น วันนี้ HealthGossip มีคำตอบค่ะและอาจจะทำให้สาวๆมีความเข้าใจกับเจ้าโอเมก้า 3 มากขึ้นอีกด้วยนะคะ และหลังจากนี้เวลาเดินไป supermarket จะได้เลือกชนิดของอาหารที่มีส่วนผสมของโอเมก้า 3 ได้ถูกและสร้างสรรค์เมนูสุขภาพให้แก่ตนเองและคนที่เรารักได้รับประทานกันค่ะ….. งั้นก่อนอื่นเลยเรามารู้จักกับ ไขมัน กันก่อนเลยค่ะ ทราบกันหรือไม่ว่าไขมันที่มีอยู่ในอาหารนั้นมีส่วนประกอบของกรดไขมัน (fatty acid) มีธาตุคาร์บอน ธาตุไฮโดรเจน และธาตุออกซิเจน เรียงจับกันในลักษณะต่างๆ สามารถแบ่งตามโครงสร้างทางเคมี ได้ดังนี้  

ไขมันอิ่มตัว (Saturated fatty acid) คือไขมันที่มีโครงสร้างคาร์บอนเรียงจับกันครบไขมันชนิดนี้ร่างกายสามารถสร้างได้เองถ้ารับประทานมากเกินไปจะทำให้เกิดคอเลสเตอรอลในเลือดสูงเกิดการอุดตันของเส้นเลือดเป็นต้นเหตุของโรคหัวใจขาดเลือด

ไขมันไม่อิ่มตัว (Unsatuarated fatty acid) คือไขมันที่ธาตุคาร์บอนยังมี เหลือสามารถจับกับธาตุไฮโดรเจนได้ แบ่งออกเป็น  

  • กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว(Monounsaturated fatty acid) ได้แก่ กรดโอเลอิก (Oleic acid) เป็นกรดไขมันที่ร่างกายสามารถสร้างได้เอง แต่ถ้ารับประทานเข้าไปมากก็ไม่ทำให้เกิดโรคหัวใจและมีแนวโน้มที่จะช่วยลดไขมันในเลือดด้วย
  • กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดหลายตำแหน่ง(Polyunsaturated fatty acid) เป็นกรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เองจำเป็นต้องรับจากอาหาร ไขมันที่สำคัญคือ Omega-3 (Alpha-linolenic acid) และ Omega-6 (linolenic acid)และในหมู่ไขมันในอาหารมีไขมันที่เป็นมิตรต่อสุขภาพนั้นช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจจะเป็นไขมันที่อยู่ในกลุ่มไขมันไม่อิ่มตัวนั่นเองค่ะ

ทำไมถึงเรียกว่าโอเมก้า 3 ล่ะ ? เนื่องจากกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFAs) ที่มีพันธะคู่ (Double Bond) ของอะตอมคาร์บอน (C = C) ที่เริ่มจากอะตอมของคาร์บอนตัวที่สามจากปลายคาร์บอน คือ ปลายของกรดคาร์บอกซิลิก (COOH) ส่วนที่เป็นจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่ และส่วนที่เป็นหางของห่วงโซ่คือ ปลายของ “อัลฟา” และ methyl (-CH3) โดยพันธะคู่แรกจะอยู่ที่ตำแหน่งของคาร์บอนตัวที่ 3 นับจากปลายโมเลกุลด้านที่มีกลุ่มเมธิล (methyl group) เข้าไป ส่วนพันธะคู่ต่อไปจะอยู่ตรงตำแหน่งคาร์บอนถัดไปครั้งละ 3 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตามระบบการตั้งชื่อสารเคมีตามมาตรฐาน (IUPAC) จะเริ่มจากจุดปลายของคาร์บอกซิล

โดยสารสำคัญเด่นๆ ในตัวมีอยู่ 2 ตัว คือ Eicosopentaenoic (EPA) และ Docosahexaenoic (DHA) แต่ความจริงแล้วกรดไขมันโอเมก้า 3 นั้นมีอยู่สามชนิดที่สำคัญ คือ

– กรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก (Alpha linolenic acid : ALA)

– กรดไขมันอีพีเอ (Eicosapentaenic acid : EPA)

– กรดไขมันดีเอชเอ (Docosahexaenoic acid : DHA)

โดย EPA และ DHA ส่วนใหญ่พบในปลาบางชนิด ส่วน ALA (alpha-linolenic acid) จะพบได้ในแหล่งของพืช เช่นถั่วและเมล็ดพืชค่ะ

 

โอเมก้า 3 คืออะไรนะ ? ทำความเข้าใจกันก่อนนะคะว่าร่างกายของเราเนี่ยต้องการสารพัดสารอาหารและสารเคมีเลยล่ะค่ะ เพราะอะไรน่ะหรอก็เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องนั่นเอง และในขณะที่สารเคมีบางอย่างก็เป็นคุณแก่ร่างกายของเราส่วนบางอย่างก็เป็นโทษซึ่งเราก็จะต้องหลีกเลี่ยงที่จะรับเข้ามาสู่ร่างกาย คือกำลังจะบอกว่าไขมันก็เช่นเดียวกันค่ะมีทั้งไขมันชนิดที่ดีและก็ชนิดที่ไม่ดีไม่พอแถมยังสร้างปัญหาให้ร่างกายเราอีกแหน่ะ แล้วรู้ไหมคะว่าร่างกายเราก็ไม่ได้อัศจรรย์พันแปดขนาดที่จะสามารถสร้างสารอาหารที่จำเป็นทั้งหมดได้เองรวมทั้งกรดไขมันที่จำเป็นบางตัวด้วยยังต้องอาศัยการได้รับจากภายนอกอีก ไม่ว่าจะด้วยการทานอาหารหรือการรับประทานในรูปแบบของยาที่สกัดมาแล้ว เพราะงั้นร่างกายของคนเราก็ต้องการกรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acid) 2 ชนิด แล้วกรดไขมันกลุ่ม Omega-3 เป็นหนึ่งในกรดไขมันที่ร่างกายมนุษย์ขาดไม่ได้ สารสำคัญที่อยู่ในกลุ่ม Omega 3 แบ่งเป็น 2 ชนิดที่เด่นๆ เลย  คือ  EPA (Eicosapantaenoic acid) และ DHA (Docosahexanoic acid) ซึ่งร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้เราจึงต้องการจากที่อื่นเพื่อเสริมให้กับร่างกายของเราได้รับเพียงพอนั่นเอง

โอเมก้า 3 มาจากไหน ? ในเมื่อร่างกายไม่สามารถสร้างโอเมก้า 3 ได้เองอย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอเราก็ต้องหาแหล่งของไขมันชนิดนี้ที่ได้จากปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาแม็คเคอเรล ปลาทูน่า หรือปลาน้ำจืดบางชนิดสำหรับคนที่แพ้อาหารทะเลแต่ยังคงต้องการโปรตีนจากเนื้อสัตว์ หรือปลาทะเลนั้นมีราคาที่ค่อนข้างสูงเนื่องจากต้องนำเข้าและบางทีอาจจะไม่สดอีก แล้วรู้ไหมละคะว่าสำหรับประเทศไทยเรานั้นยังมีปลาน้ำจืด ที่มีโอเมก้า 3 สูงและหาทานได้ง่ายทั่วไปอย่างเช่น ปลาสวาย ปลาช่อน ปลาดุก เป็นต้น  นอกจากนั้นก็ยังสามารถพบโอเมก้า 3 ได้ในเมล็ดวอลนัท บรอคโคลี่ ดอกกะหล่ำ เต้าหู้ ผักขม กุ้ง หอยแครง ปลาเฮริง ถั่วเหลือง เป็นต้น ส่วนในจำพวกพืชหรือผ้กที่มีใบสีเขียวเข้มส่วนใหญ่ก็จะมีกรด ALA ซึ่่งในขณะที่อาหารประเภทเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อปลาจะมีกรด EPA และ DHA ที่นำไปใช้ได้โดยตรง

 

โอเมก้า 3 มีประโยชน์ยังไง ?

จุดเด่นของ Omega-3 มีคุณสมบัติป้องกันและรักษา การรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 อย่างเหมาะสมจะทำให้ร่างกายทำงานเป็นปกติและร่างกายของเรานั้นจำเป็นต้องมีระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ดีอย่างเหมาะสม กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันจำเป็นแต่ไม่สามารถสร้างเองได้ภายในร่างกาย ดังนั้นจำเป็นต้องรับจากการบริโภคอาหารเท่านั้น และแทบทุกระบบการทำงานภายในร่างกาย จำเป็นที่จะต้องใช้ประโยชน์จากกรดไขมันจำเป็นทั้งนั้น อาทิเช่น

  • ระบบหลอดเลือดหัวใจ(ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดไขมันคอเลสเตอรอล ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดฉับพลัน และ โรคอัมพาต)
  • ระบบประสาท(ช่วยเพิ่มความจำ)
  • สายตา(ช่วยในการมองเห็น)
  • ระบบภูมิคุ้มกัน(ลดอาการภูมิแพ้)
  • ระบบไหลเวียนโลหิต
  • ระบบสืบพันธุ์
  • ระบบข้อกระดูก

นอกจากนี้แล้วกรดไขมัน Omega-3 ยังมีคุณสมบัติ ต่อต้านการอักเสบ(ช่วยบรรเทาอาการข้ออักเสบ) และที่สำคัญที่สุด กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยให้ผิวเปล่งประกายและสุขภาพดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าไปสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ช่วยคงความชุ่มชื้นและแข็งแรง ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสติน จึงส่งผลให้ผิวพรรณแลดูอ่อนเยาว์และสดใส ทั้งนี้หากมีการรัปทานร่วมกับ วิตามินเอ ดี และอี จะยิ่งช่วยปกป้องการเกิดสิว ไม่ว่าจะเป็น สิวหัวขาวและหัวดำ

โอเมก้า 3 มีประโยชน์ต่อสตรีมีครรภ์ กรดไขมันโอเมก้า-3 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง DHA มีความสำคัญในการพัฒนาและการทำหน้าที่ของระบบประสาท ระบบสายตา และระบบสมอง ของทารกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด และในช่วง 6 เดือนแรกหลังจากคลอดแล้ว ดังนั้น มารดาของทารกที่เสริมกรดไขมันโอเมก้า 3 จะเป็นทางเดียวที่จะทำให้ ทารกในครรภ์ได้รับกรดไขมันจำเป็นไปด้วย (ทั้งนี้ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ โดยควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนทุกครั้ง)

โอเมก้า 3 มีประโยชน์สำหรับเด็ก น้ำมันปลาโอเมก้า 3 มีประโยชน์อย่างมากมายในการช่วยการเจริญเติบโตของเด็ก เช่น ช่วยพัฒนาการทำงานของสมองและจิตใจ เพิ่มสมาธิ ความจำระยะสั้นและ ทักษะในการอ่าน นอกเหนือจากนี้ ยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยปกป้องกระดูก ข้อ และกล้ามเนื้อ ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่เด็กๆ ควรจะได้รับปริมาณโอเมก้า 3 ในระดับสมดุลกับอาหารของพวกเขา

โอเมก้า 3 กับความสวยความงาม ผิวสวยหน้าใส สมองสดใส หัวใจแข็งแรง อย่างที่เราทราบกันดีนะคะว่าโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ไม่สามารถสร้างเองได้ภายในร่างกายต้องรับจากอาหารเท่านั้น แทบทุกระบบภายในร่างกายของเราจำเป็นจะต้องใช้ประโยชน์จากกรดไขมันจำเป็นเหล่านี้ ในส่วนของความสวยความงามนั้นกรดไขมันโอเมก้า 3 ยังช่วยให้ผิวเปล่งประกายและสุขภาพดีขึ้น โดยเป็นส่วนหนึ่งในการใช้สร้างเยื่อหุ้มเซลล์ช่วยคงความชุ่มชื้นและแข็งแรง ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสติน จึงส่งผลให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสดใสรวมไปถึงเส้นผมที่แห้งแตกปลาย ในขณะที่ EPA ที่อยู่ในปลานั้นจะช่วยปกป้องการเกิดสิว ไม่ว่าจะเป็นสิวหัวขาวและหัวดำค่ะ เห็นอย่างนี้แล้วสาวๆไม่ควรมองข้ามอาหารที่มีโอเมก้า 3 กันนะคะ

 

จะเห็นได้ว่า โอเมก้า 3 มีความสำคัญต่อสุขภาพของเรามากมายเลยนะคะ หลายคนพอได้ยินว่าเป็น ไขมัน ก็กลัวแทบไม่อยากแตะ แต่อย่าลืมนะคะว่าไขมันมีทั้งตัวที่ดีและตัวที่ไม่ดีและไขมันก็ยังคงมีความจำเป็นต่อร่างกายเราอยู่ดีค่ะ และหว้งว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพกันได้มากขี้นและเมื่อสุขภาพภายในของเรานัันดีแล้วนั้นมันก็ส่งผลให้สุขภาพภายนอกของเราสวยสดใสตามมาอีกด้วยค่ะ 

www.flickr.com/photos/jeffchristiansen/4822568694/