Browse Tag: fat

10 ชนิดของอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเวลาเครียด

eating-cookie-1
Source: Flickr (click image for link)

เวลาที่เราตกอยู่ในภาวะเครียด จากสิ่งแวดล้อมรอบข้างหรือแม้กระทั่งจากตัวเราเอง คนเราก็จะมีวิธีการหาทางออกที่แตกต่างกันไปค่ะ หลายคนเลยล่ะค่ะคิดว่าความเครียดทางออกที่ดีที่สุดที่จะมาช่วยบรรเทาความเครียดง่ายที่สุดนั้น ก็คงจะหนีไม่พ้นการกิน การได้กินอาหารหรือสิ่งที่เราชอบนั้นจะทำให้เรามีความสุขแต่หารู้ไม่ว่าอาหารบางอย่างและบางประเภทนั้นก็อาจจะไปเพิ่มความเครียดให้เรามากกว่าเดิมค่ะ จริงอยู่ว่าอาหารบางอย่างเมื่อเราได้ลิ้มรสแรกเข้าไปมันช่างเพลิดเพลินเจริญอารมณ์ซะเหลือเกิน แต่หลังจากนั้นนอกจากไม่ได้ช่วยให้ความเครียดคลายลงแต่ดันจะไปเพิ่มความเครียดกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตามมานั่นเอง เอมิลี เอดิสัน นักวิจัยด้านโภชนาการ และนักโภชนาการให้กับนักกีฬาในซีแอตเติล กล่าวว่า อาหารสามารถกำหนดอารมณ์ของเราได้แต่หลายคนมักจะไม่รู้ว่า สิ่งที่พวกเขากินทุกวันส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์ของพวกเขา อาหารบางอย่างนอกจากจะไม่ทำให้หายเครียดแล้วยังสร้างปัญหาให้เครียดมากขึ้นไปอีก วันนี้ทาง HealthGossip ได้หาข้อมูลอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงเวลาที่เครียดมาบอกค่ะ เผื่อเป็นแนวทางในการเลี่ยงอาหารนั้นๆ บางคนก็อาจจะไม่ทราบว่าอาหารบางอย่างทีเราคิดว่าช่วยให้หายเครียดได้ แต่นั่นอาจจะเป็นชนิดของอาหารที่ไปช่วยเพิ่มความเครียดของเราก็เป็นได้ค่ะ ซีโรโทนิน เป็นสารสื่อประสาทต้านเครียด การมีสารสื่อประสาทในสมองที่ชื่อว่า ซีโรโทนิน (serotonin) อย่างเพียงพอจะช่วยให้อารมณ์ดี รู้สึกผ่อนคลายและสงบ แต่ในภาวะเครียดซีโรโทนินจะลดลง ทำให้นอนไม่หลับ หงุดหงิด ขาดสมาธิ และซึมเศร้า สารนี้สังเคราะห์มาจากกรดอะมิโนจำเป็นที่ชื่อว่า ทริปโตแฟน (tryptophan) ที่อยู่ในสมอง ปกติร่างกายจะได้รับกรดอะมิโนรวมทั้งทริปโตแฟนจากอาหารประเภทโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเหลือง ปลา เป็นต้นค่ะ

 

10 ชนิดของอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเวลาเครียด

ice-cream-1
Source: Flickr (click image for link)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1. ข้าวขาว ขนมปังขาว

ข้าวขาวและขนมปังขาวเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านกระบวนการขัดสีมาแล้ว และคงหลีกเลี่ยงยากเนื่องจากเป็นอาหารหลักของคนไทยที่จะต้องนิยมเลือกรับประทานกันทั่วไปอยู่แล้ว แต่ในช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าเครียดก็ขอให้หลีกเลี่ยงไปก่อนนะคะ การที่เรารับประทานข้าวขาวหรือขนมปังขาวพวกนี้ ปริมาณน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น เพราะน้ำตาลที่นอกจากจะเพิ่มปริมาณแคลอรีให้กับร่างกายของเราแล้วยังไปทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเกิดความแปรปรวน ส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนคอร์ติซอล และน้ำตาลเป็นต้นเหตุของการอักเสบเรื้อรัง ดังนั้นอาหารที่มีน้ำตาลสูงสามารถส่งผลต่อการอักเสบทั่วร่างกายทวีความรุนแรงขึ้นได้ และยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าได้มากด้วยค่ะ

 

2. ไอศกรีม

โอ้โห ข้อนี้หลายคนทำประจำ เครียดทีไรเป็นอันต้องออกไปหาไอศกรีมมารับประทานกัน ทานไอศกรีมสิถึงจะหายเครียดทั้งเย็นทั้งหวานมีความสุขจะตายจริงไหมคะ แต่ไอศกรีมที่รสชาติหวานอร่อยถูกใจใครหลายๆคนเนี่ย เป็นตัวนำพาซึ่งความเครียดดีๆนี่เอง ยังไงหน่ะหรอก็เนื่องด้วยระดับน้ำตาลและปริมาณแลคโตสที่จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานอย่างหนักจนเกิดความตึงเครียดในระบบย่อยอาหาร แทนที่จะอารมณ์ดีก็อาจจะทำให้หน้าบึ้งยิ่งกว่าเดิมนั่นเองค่ะ

 

3. เบเกอร์รี่

เบเกอร์รี่ที่วานี้ ไม่ว่าจะเป็นพวกขนมเค้ก คุ๊กกี้ ขนมปังอบทั้งหลายหลากนี้ บางคนชอบที่จะเลือกรับประทานเวลาที่เกิดความเครียด ก็เนื่องจากคิดว่าเป็นขนมหวานที่ช่วยเบาเทาอาการเศร้าและความเครียดได้น่ะสิ แต่ที่ไหนได้ซ้ำร้ายมันจะยิ่งทำให้เครียดยิ่งกว่าเดิมซะอีกแน่ะ ก็เพราะว่าอาหารเหล่านี้ไม่มีแม้แต่ไฟเบอร์ที่จะช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังมีน้ำตาลอยู่ในปริมาณสูงซึ่งทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดแปรปรวน และนั่นล่ะเป็นสาเหตุที่จะทำให้ฮอร์โมนคอร์ติซอลหรือฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้นไงล่ะคะ

 

4. มันฝรั่งทอดกรุบกรอบ

ขนมมันฝรั่งทอดกรุบกรอบที่เรามักจะซื้อติดตู้เย็นเอาไว้ รู้สึกเครียดหรือรู้สึกเบื่อเมื่อไหร่ก็จะเลือกหยิบมาทานทุกครั้ง นอกจากอร่อยกรุบกรอบทานไปก็ชวนให้เพลินไม่สามารถหยุดได้ง่ายๆ แต่ทราบหรือเปล่าคะยังไงก็ยังเป็นคาร์โบไฮเดรตอยู่ดี ไหนจะมีตัวไขมันทรานส์ ศัตรูตัวร้ายกาจของร่างกายอีก ซึ่งพบว่าอาหารที่มีไขมันทรานส์สูงเป็นสาเหตุทำให้น้ำหนักขึ้นและรอบเอวที่จะทำให้คุณเครียดยิ่งกว่าเดิม และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้า นอกจากนี้ไขมันเทียมยังไปกระตุ้นให้เกิดภาวะสมองเสื่อมและริ้วรอยก่อนวัยที่ควรจะเป็น  สำหรับในคุณผู้ชายสิ่งที่ต้องตระหนกก็คือฮอร์โมนเพศชายลดลงส่งผลต่อการผลิตสเปิร์มที่ด้อยคุณภาพด้วย

 

5. กาแฟ

ถึงแม้จะมีผลการิสูจน์ออกมาว่ากาแฟนั้นช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้ และช่วยจำลองการทำงานของโดปามีนในสมอง ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้า แต่กาแฟที่มีรสชาติหวานมาก ๆ อย่างเช่นกาแฟปั่นชนิดต่าง ๆ หรือ กาแฟที่มีเติมไซรัปมากเกินไปก็สามารถทำให้เครียดได้ยิ่งกว่าเดิมค่ะ เพราะน้ำตาลที่อยู่ในกาแฟนอกจากจะเพิ่มปริมาณแคลอรี่อย่างมหาศาลให้ร่างกายแล้วก็ยังไปทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเกินความแปรปรวน และส่งผลให้ระดับคอร์ติซอลเพิ่มขึ้นอีกด้วยค่ะ

 

6. ซีเรียลบาร์

ถึงแม้ว่าซีเรียลบาร์จะทำมาจากธัญพืชก็จริง แต่กว่ามันจะมาเป็นแท่งได้ ก็ต้องใช้น้ำตาลจำนวนมากเช่นเดียวกันและเช่นเดียวกับอาหารขนิดอื่น ๆ ที่บอกไปข้างต้นค่ะ ว่าระดับน้ำตาลที่สูงจะทำให้ฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย หลีกเลี่ยงดีกว่าเนอะ

 

7. น้ำอัดลม

น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มที่หลายๆคนโปรดปรานกันเลยทีเดียวเชียวค่ะ ในบางคนนี่ถึงกับดื่มแทนน้ำเปล่าได้เลย นอกจากจะให้ความหวานซู่ซ่าดับยามกระหายคลายร้อนแล้ว ยังเป็นเครื่องดื่มที่ไม่ควรเลือกดื่มในช่วงเวลาที่มีความเครียดเลยค่ะ เนื่องจากในน้ำอัดลมที่แสนชื่นใจของใครหลายคนเนี่ยมีน้ำตาลถึง 10 ก้อน ซ่อนแอบอยู่ ชื่นใจเมื่อดื่มแต่หลังดื่มนี่เครียดกว่าเดิมเข้าไปอีกนอกจากความเครียดไม่หายน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นยังมาทำให้เครียดมากกว่าเดิมอีกแน่ะ บางคนก็อาจจะคิดว่าแหมสมัยนี้เขาผลิตน้ำอัดลมน้ำตาล 0% แล้วย่ะ แต่ขอบอกก่อนเลยค่ะว่าน้ำอัดลมที่บอกว่าไม่มีน้ำตาลนั้นสามารถดื่มทดแทนได้ คำตอบคือ ให้ผลไม่ต่างกันค่ะ เพราะสารให้ความหวานแทนน้ำตาลจะไปทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร ส่งผลโดยตรงต่อโรคอ้วนและโรคเบาหวาน ดังนั้นสรุปได้ว่า ไม่ว่าน้ำตาลหรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาลในน้ำอัดลมก็ร้ายกาจพอๆ กัน

 

8. เฟรนช์ฟรายส์

เฟรนซ์ฟรายส์ที่เราชอบทานเล่นกันตามร้านอาหารฟาสฟู้ดส์นั่นแหละค่ะ เนื่องด้วยทำมาจากมันฝรั่งที่เป็นคาร์โบไฮเดรตแถมยังทอดกรอบด้วยน้ำมัน ซึ่งรวมๆกันแล้วเจ้าเฟรนซ์ฟรายส์นี้มีทั้งไขมันทรานส์ และคาร์โบไฮเดรตที่ส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนคอร์ติซอล แถมยังมีการศึกษาพบอีกว่าเจ้าอาหารขยะชนิดนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้าได้อีกด้วยค่ะ

 

9. โดนัท

โดนัทที่กลิ่นหอมหวาน เคลือบด้วยน้ำตาลหรือหลากหลายรสชาติต่างๆ สีสันสดใสและรสชาติก็แสนหวานกินทีไรก็เพลินจนรู้ตัวอีกทีเอ้า หมดกล่องแล้วหรอเนี่ย แต่หารู้ไม่ว่าน้ำตาลในโดนัทประเภทนี้น่ะนะเยอะจนน่าตกใจเลยล่ะค่ะ แต่ทำไมห้ามทานตอนเครียดล่ะ ก็เพราะว่ากลูโคสในแป้งของโดนัทนั้น ไม่มีสารอาหารอะไรเลย ยิ่งมีแต่ทำให้การขับถ่ายเป็นไปได้ยากขึ้น เสี่ยงท้องอืดท้องเฟ้อ ยิ่งไปกว่านั้นน้ำตาลในโดนัทยังไปกระตุ้นฮอร์โมนคอร์ทิซอล(cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียดให้เพิ่มขึ้นอีกด้วย

 

10. ค๊อกเทลล์

ค๊อกเทลล์เนี่ยตัวดีเลย สาวๆหลายคนที่ชอบดริ๊งค์และเมื่อเครียดเมื่อไหร่จำเป็นต้องไปดื่มกับแก๊งค์หรือเพื่อนสาวให้หายเครียดสักทีและก็เป็นเครื่องดื่มที่สาวๆก็มักจะสั่งกันนี้มีทั้งน้ำตาลและแอลกอฮอลล์ในค็อกเทลทำลายร่างกายเราช้าๆโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยนะจ้ะสาวๆ ยิ่งเครียดยิ่งดื่มเป็นสิ่งที่ผิด!! ค็อกเทลบางประเภท 1 shot มีแคลลอรี่ส์มากสุดถึง 500 แคลลอรี่ส์เลยนะ แถมน้ำตาลที่อยู่ในค็อกเทลล์ยังไปกระตุ้นฮอร์โมนคอทิซอลเพิ่มความเครียดกว่าเดิมอีกค่ะ

 

 

www.flickr.com/photos/rickyromero/3196496515/

www.flickr.com/photos/kevharb/3755730457/

แมงกานีส คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร

green-vegetable-1
Source: Flickr (click image for link)

มงกานีส (Manganese) เป็นอีกหนึ่งแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อร่างกายไม่แพ้แร่ธาตุตัวอื่นๆค่ะ และที่สำคัญก็คือร่างกายของเราไม่สามารถขาดได้ด้วยเช่นกัน จะพบมากในส่วนของโครงกระดูก ตับ ตับอ่อน หัวใจและต่อมพิทูอิทารี่ แมงกานีสจะช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมโดยประโยชน์หลักๆของแร่ธาตุชนิดนี้ก็คือ จะไปช่วยในเรื่องของการตอบสนองของกล้ามเนื้อการยืดตัวหดตัวดี ช่วยทำให้ไม่ปวดหลังและทำให้ร่างกายสดชื่นมีความจำที่ดีและอื่นๆอีกมากมาย แมงกานีส มีความจำเป็นต่อการสังเคราะห์เนื้อเยื่อเกี่ยวพันในกระดูกและกระดูกอ่อน แมงกานีสจะมีส่วนที่คล้ายกับแมกนีเซียม คือ สารอาหารชนิดนี้จะมีการสูญเสียระหว่างกระบวนการดัดแปลงทางอาหาร เช่น เมื่อธัญพืชถูกเปลี่ยนเป็นแป้งขัดขาวจากการศึกษาวิจัยพบว่าผู้หญิงที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะมีระดับแมงกานีสต่ำในระดับเพียงแค่ 25% ของกลุ่มทดสอบที่มีการควบคุมการได้รับสารอาหารนั่นเอง

 

เกี่ยวกับแมงกานีส หรือ Manganese

  • แมงกานีส เป็นแร่ธาตุ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายของคนเราและไม่สามารถขาดได้
  • แมงกานีส เป็นแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง
  • แมงกานีส พบมาในส่วนของโครงกระดูก ตับ ตับอ่อน หัวใจ
  • แมงกานีส ส่วนใหญ่จะสูญเสียไประหว่างกระบวนการปรุงอาหาร และส่วนเกินจะออกผ่านทางน้ำดีแล้วขับออกทางอุจจาระ
  • แมงกานีส มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด คือ ช่วยในการเผาผลาญโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ช่วยลดการเกิดไขมันสะสมในร่างกาย
  • แมงกานีส ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมเพราะอย่างนี้ในคนที่ร่างกายขาดแมงกานีส จะทำให้หลงลืมได้ง่าย ความจำจะสั้นกว่าคนปกติ
  • แมงกานีส แหล่งของอาหารตามธรรมชาติได้มาจาก พืชผัก ผลไม้และเมล็ดผลไม้(เปลือกแข็ง)
  • แมงกานีส  พบมากในผักใบเขียว ธัญพืช ถั่วลิสง ถั่วลันเตา หัวบีต เม็ดมะม่วงหิมพานต์ นม เนย ไข่ เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ตับสัตว์ ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวไรน์ มะพร้าว คะน้า กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี กล้วย สับปะรด ข้าวเจ้า แห้ว แครอท หัวปลี เมล็ดอัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน องุ่น มะกอก ส้ม เชอรี่ แอปเปิ้ล อะโวคาโด แอพริคอท มะตูม มะขวิด กระจับ
  • แมงกานีส ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และกระดูกพร้อมทั้งรักษาให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์
  • แมงกานีส กระตุ้นให้ตับเก็บน้ำตาลในรูปของ Glycogen
  • แมงกานีส มีความสำคัญในการผลิตน้ำนมในผู้หญิงตั้งครรภ์ และการสร้างยูเรียซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัสสาวะ
  • แมงกานีส เป็นตัวสำคัญที่ช่วยในการสังเคราะห์ทางเคมีของต่อมไทรอยด์ขับไทรอกซินและช่วยในการใช้โคลีน
  • แมงกานีส ช่วยในการสังเคราะห์กรดไขมัน และ คอเลสเตอรอล
  • แมงกานีส ช่วยให้ความจำดีขึ้น ลดอาการหงุดหงิดง่าย
  • แมงกานีส ถ้าได้รับประทานแมงกานีสอย่างพอเพียงโรคลมบ้าหมูก็สามารถมีอาการดีขึ้นได้
  • แมงกานีส มีความสำคัญต่อกระบวนการย่อยและนำสารอาหารมาใช้ให้เป็นประโยชน์
  • แมงกานีส มีความสำคัญต่อการสร้างไทรอกซิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักของต่อมไทรอยด์

 

 

ประโยชน์ของแมงกานีส (Manganese)

 

แมงกานีสช่วยควบคุมการทำงานของเอนไซม์ คือช่วยในการเผาผลาญโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ช่วยลดการเกิดไขมันสะสมในร่างกาย และช่วยกระตุ้นเอนไซม์ที่จำเป็นต่อกระบวนการนำไบโอติน วิตามินบี1 และวิตามินซี มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

 

ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ซึ่งแมงกานีสมีความจำเป็นต่อโครงสร้างของกระดูก

 

ช่วยในการทำงานของอินซูลิน โดยการขาดแมงกานีสจะทำให้อินซูลินลดประสิทธิภาพน้อยลง

 

แมงกานีสช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต คือช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ให้ทำงานตามปกติและช่วยขับฮอร์โมนเพศสำหรับวัยเจริญพันธ์ุ

 

ช่วยเรื่องการทำงานของสมองระบบประสาทและระบบกล้ามเนื้อ โดยจะไปควบคุมสุขภาพและการทำงานของสมองระบบประสาท และระบบกล้ามเนื้อให้มีประสิทธิการสั่งงาน่่และมีความสัมพันธ์กัและมีส่วนช่วยในกระบวนการตอบสนองของกล้ามเนื้อด้วยค่ะ

 

 

ปริมาณของแมงกานีสที่ร่างกายควรจะได้รับต่อวัน

โดยสถาบันวิจัยแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำปริมาณแมงกานีสที่ควรได้รับต่อวันคือประมาณ 2-5 มิลลิกรัมต่อวัน

หากร่างกายมีแมงกานีสไม่เพียงพอ คนที่ร่างกายขาดแมงกานีสจะทำให้หลงลืมได้ง่ายความจำจะสั้นกว่าคนปกติ นอกจากนั้นยังมีอาการปวดหลังและข้อกระดูกสันหลังเสื่อมเร็วกว่าคนที่ร่างกายไม่ขาดแมงกานีส

หากร่างกายได้รับแมงกานีสมากเกินไป ส่วนใหญ่แล้วจะได้รับเข้ามาจากทางของการสัมผัสมากกว่าที่จะได้จากการรับประทานอาหาร เพราะฉะนั้นหากเราได้สัมผัสไม่ว่าจะจากการสูดดมหรือ ทำอะไรที่เกี่ยวกับแมงกานีสโดยตรงก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับแมงกานีสที่มากเกินไปหรือมีอาการจากการได้รับมากเกินไป และถ้าเกิดว่าแมงกานีสมีอยู่ในร่างกายมาเกินไปจากการที่เราสัมผัสโดยตรงก็อาจจะทำให้มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาท และมีอาการสั่นคล้ายกับโรคพาร์กินสันหรือโรคสันนิบาตนั่นเองค่ะ

 

www.flickr.com/photos/chodhound/5540012574/

10 อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงเป็นประจำเดือน

screming-lady-1
Source: Flickr (click image for link)

“ประจำเดือน” สำหรับผู้หญิงถือว่าเป็นของคู่กัน เกิดเป็นผู้หญิงก็ต้องมีประจำเดือนและไหนช่วงที่จะมีประจำเดือนจะต้องมาตัวบวม หิวบ่อย อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย หลายสิ่งหลายอย่าง กระนั้นแล้วยังมาเจ็บท้องในช่วงประจำเดือนมาถึงอีก ถ้าถามว่าคิดไหมว่าทำไมถึงยากเย็นขนาดนี้ เชื่อเถอะค่ะผู้หญิงอย่างเราก็คงมีวิธีรับมือได้อยู่แล้วถึงแม้บางเดือนก็แอบคิดว่าข้ามไปได้ไหมเดือนนี้ ไม่อยากจะเป็นประจำเดือนเลย แต่คิดไปคิดมา…เอ เป็นดีกว่าเนอะ ใครจะไปเลี่ยงธรรมชาติได้ล่ะ 😉 วันนี้ทาง HealthGossip จึงขอนำเสนออาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงที่เป็นประจำเดือนกันค่ะ ไหนๆก็จะต้องเป็นประจำเดือน เราก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยังไงมันก็ต้องเป็นอย่างนี้ไปอีกนาน เราเลยมาหาวิธีดูแลสุขภาพของเรากันดีกว่าค่ะ บางคนอาจไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าอาหารการกินนี่แหละตัวดีที่ส่งผลต่อการเป็นประจำเดือนด้วยเหมือนกัน

 

 

10 อาหารที่ควรลดและเลี่ยงในช่วงเป็นประจำเดือน

 

1.อาหารประเภทรสจัด

ส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงในช่วงที่เป็นประจำเดือนจะเกิดอาการเปรี้ยวปากอยากจะรับประทานแต่อาหารรสจัดๆ เผ็ดจัดจ้านสะท้านทรวงถึงจะสมใจ แต่ทราบกันหรือเปล่าคะนอกจากปรกติที่มีอาการปวดท้องประจำเดือนอยู่แล้วก็อาจจะทำให้เราปวดท้องเพิ่มขึ้นอีกก็เป็นได้ เนื่องจากอาจเกิดการย่อยยากและทำให้เกิดแก๊สลมในกระเพาะลำไส้นั่นเองค่ะ

 

2.คาเฟอีน

พูดถึงคาเฟอีน กาแฟก็ปิ๊งขึ้นมาในหัว แต่อย่าลืมนะคะว่ากาแฟไม่ใช่เครื่องดื่มอย่างเดียวที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน ไม่ว่าจะอยู่ในชารวมไปถึงน้ำอัดลมอีกแน่ะ โดยที่สารคาเฟอีนจะเข้าไปกระตุ้นอาการต่างๆของ PMS (Pre-menstrual syndrome) และอาการบีบรัดตัวของมดลูกให้มากขึ้น ทำให้รู้สึกเหนื่อย เมื่อยเนื้อตัว หงุดหงิดง่าย และปวดท้องมากยิ่งขึ้นค่ะ ช่วงนี้คนที่ติดเครื่องดื่มประเภทคาเฟอีนก็เลี่ยงไปก่อนละกันนะคะ

 

3.เนื้อสัตว์ไขมันสูง

เนื้อสัตว์ประเภทไขมันสูงจำพวกเนื้อสัตว์ติดมันต่างๆ เช่น หมูสามชั้นมันเยิ้มทอด เนื้อติดมัน ซึ่งเนื้อสัตว์ที่ติดมันจะมีไขมันอิ่มตัวอยู่ในปริมาณที่มาก นอกจากจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เราปวดตามข้อต่างๆ ซึ่งเกิดจากการอักเสบทั่วร่างกายทำให้รู้สึกเจ็บปวดไม่สุขสบายเพิ่มขึ้นแล้วยังทำให้มีส่วนเกินจากไขมันอีกด้วยค่ะ

 

4.ไอศกรีม

เคยได้ยินและก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมช่วงเวลาที่เป็นปะจำเดือนจึงไม่สามารถรับประทานไอศกรีมได้ สาเหตุที่ไม่ควรรับประทานไอศกรีมในช่วงมีประจำเดือนก­­­็เนื่องมาจากไอศกรีมทำมาจากนมและในนมก็มีไขมันอยู่สูง นอกจากนี้ ไม่ว่าจะเนย ครีม ชีส หรืออาหารที่มีส่วนประกอบของครีมและชีสต่างๆ ซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้อยู่ในกลุ่มของไขมันอิ่มตัวเช่นกันจึงส่งผลไปเพิ่มอาการปวดเมื่อยตามร่างกายนั่นเองค่ะ

 

5.ของหวานต่างๆ

บางคนช่วงเวลาที่เป็นประจำเดือนก็รู้สึกอยากจะทานขนมหวานๆ ของหวานอยู่ตลอดๆ ความจริงแล้วทราบหรือปล่าวคะว่าเจ้าขนมหวาน ของหวานที่แสนโปรดปรานของเราเนี่ยช่างไม่เหมาะเลยจริงๆ ก็เพราะว่าจะยิ่งไปทำให้เราปวดท้องประจำเดือนมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง ใช่อยู่ว่าของหวานๆเรานี้เมื่อรับประทานไปแล้วจะทำให้อารมณ์ของเราดี๊ดีก็ตาม แต่ยังไงอาหารกลุ่มพวกนี้ก็จะไปเพิ่มการอักเสบทำให้ปวดเมื่อยตามร่างกายอีกด้วยค่ะ ถ้าอยากรับประทานอะไรที่หวานๆก็หันมาเลือกรับประทานผลไม้สดๆแทนกันดีกว่าค่ะ

 

6.อาหารหมักดอง

ไม่ต้องสงสัยเลยค่ะว่าทำไมฉันดูบวม อืด อ้วนจังช่วงเวลาเป็นประจำเดือนเนี้ย ลองหันมาดูพฤติกรรมการรับประทานของตัวเองให้ไวเลยค่ะ ว่าได้เผลอไปรับประทานของหมักดองอะไรบ้างหรือเปล่า! ส่วนใหญ่แล้วของหมักของดองมีรสเค็มจากการหมักของเกลือรวมถึงอาหารที่ใส่ผงชูรส อาหารเหล่านี้ยิ่งทำให้ตัวบวมเพิ่มความรู้สึกอึดอัดให้ร่างกายจากตัวบวมก่อนการมีประจำเดือนฮอร์โมนเอสโตรเจนนั้นจะทำให้ตัวบวมอยู่แล้วค่ะ ช่วงนี้ก็ลดๆอาหารที่เค็มจัด หรืออาหารที่ใส่เกลือมากๆ และดื่มน้ำให้มากเพียงพอ จะช่วยลดอาการบวมน้ำ หรือตัวบวมในช่วงประจำเดือนได้ค่ะ

 

7.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

สาวๆคนไหนที่เป็นนักดื่มแล้วล่ะก็…ให้คิดอีกทีเลยค่ะ เนื่องจาก การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงมีประจำเดือนจะส่งผลให้อาการ­ช่วงมีประจำเดือนหนักขึ้น ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ รวมทั้งส่งผลให้เลือดจางและกระดูกพรุนอีกด้วย แถมยังส่งผลให้ปวดท้องประจำเดือนเข้าไปอีก เพราะแอลกอฮอล์มีฤทธิ์เช่นเดียวกับยาลดความเข้มข้นของเลือด และทำให้ระบบไหลเวียนเลือดเพิ่มขึ้น อันเป็นสาเหตุของความรู้สึกอัดอัดไม่สบายตัว โดยอาการเหล่านี้จะเริ่มเกิดขึ้นหลังจากแค่คุณดื่มเข้าไป ถ้าไม่อยากให้ช่วงมีประจำเดือนของคุณเลวร้ายจนทำอะไรไม่ได้ เลี่ยงไว้ก่อนดีกว่าค่ะ

 

8. เค้ก เบเกอรี่

อยากจะร้องกรี๊ดขึ้นมาเลยใช่ไหมล่ะคะในทันทีที่เห็นหัวข้อนี้ นึกว่าจะรอดหรอ จะให้มางดเค้กและขนมปังเบเกอรี่อร่อยๆ แต่งหน้าตาสวยงามในร้าน แต่เอาน่าหักห้ามใจสักนิดชีวิตจะได้ไม่พังในช่วงเป็นประจำเดือน อิอิ เนื่องจากพวกขนมอบต่างๆเหล่านี้ นอกจากจะมีน้ำตาลแล้วก็ยังเป็นอาหารที่มีไขมันทรานส์ซึ่งเป็นอันตรายอยู่ในปริมาณมากอีกด้วย และไขมันทรานส์ก็เป็นตัวที่จะไปเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายให้สูงขึ้น ซึ่งการผลิตฮอร์โมนออกมามากเกินจำเป็นก็อาจจะเป็นอันตรายต่อมดลูกได้ค่ะ

 

9. อาหารแปรรูป     

อาหารที่ผ่านการแปรรูปต่างๆตามร้านสะดวกซื้อ ถึงแม้จะสะดวกในการจับจ่ายใช้สอยและสะวดในการรับประทานกัน แต่รู้ไหมคะสำหรับคนที่กำลังอยู่ในช่วงมีประจำเดือน อาหารประเภทแปรรูปต่างๆนี้ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่งค่ะ เนื่องจากอาหารแปรรูปเหล่านี้มีส่วนผสมของโซเดียมอยู่สูงเและก็ะจะไปทำให้เราเกิดอาการท้องอืดรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว เพราะฉะนั้นช่วงระหว่างนี้เราก็ควรเลือกรับประทานอาหารสด ถือซะว่าได้รักษาสุขภาพไปในตัวอีกด้วยค่ะ

 

10.อาหารกลุ่มจั๊งก์ฟู้ดส์ และขนมกรุบกรอบ

อาหารในกลุ่มจำพวกอาหาร Junk Foods ก็คือพวกพิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ ชีส ต่างๆ เพราะอาหารเหล่านี้มีทั้งน้ำตาล ไขมันอิ่มตัวจากสัตว์และไขมันทรานส์ โดยน้ำตาลและไขมันอิ่มตัวทำให้เกิดการอักเสบตามร่างกายทำให้มีอาการปวดเมื่อตามร่างกาย ส่วนไขมันทรานส์จะเพิ่มระดับการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มอาการปวดทั้งก่อนและระหว่างมีประจำเดือน รวมถึงขนมจำพวกกรุบกรอบบรรจุถุงตามท้องตลาดที่เราชอบทานแบบจุบจิบระหว่างวันเพลินๆ ซึ่งขนมกรุบกรอบเหล่านี้อุดมไปด้วยเกลือ โซเดียม ไขมันทรานส์ คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ขนมกลุ่มนี้ยังเพิ่มน้ำหนักตัว ทำให้ตัวบวมรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวและยังเพิ่มอาการปวดประจำเดือนอีกด้วยค่ะ

 

 

www.flickr.com/photos/raychelnbits/3227900601/

13 ผลไม้ที่แสนหอมหวานแต่กินแล้วทำให้อ้วน

durian-fruits-1
Source: Flickr (click image for link)

ก่อนหน้านี้ได้พูดถึง 13 ชนิดของผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วน วันนี้ HealthGossip เลยอยากนำเสนอ 13 ชนิดของผลไม้ที่กินแล้วทำให้อ้วนมาบอกกันค่ะ บางคนหรือสาวๆหลายคนเลยที่ชอบรับประทานผลไม้และก็อีกหลายคนที่เลือกรับประทานผลไม้เป็นการลดน้ำหนัก เพราะมีความเชื่อว่าผลไม้นั้นไม่มีไขมัน พลังงานต่ำ ทานเท่าไหร่ก็คงไม่อ้วนหรอก หรือในบางคนก็พยายามออกกำลังกายและรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง แต่ไม่ว่าจะทำยังไงน้ำหนักก็กลับไม่ลดลงเท่าที่ควรซักที เวลาที่สาวๆ อยากจะมีหุ่นที่ผอมเพรียวโดยการอดอาหารแล้วหันมาบริโภคแต่ผลไม้นั้นนับเป็นวิธีแสนเบสิกที่ตั้งแต่ดาราฮอลลีวูดไปจนถึงพนักงานออฟฟิศใช้กันมาช้านาน แต่ใครจะรู้ละคะว่า “ผลไม้” ที่ทั้งอร่อยและได้ประโยชน์ก็สามารถสร้างความปวดใจให้กับน้ำหนักตัวของเราได้เหมือนกัน สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นภาพลักษ์ที่เหล่าคนดังในจอเงินทำให้คุณเห็นว่า พวกเขาพยายามมากขนาดไหนในการควบคุมน้ำหนัก ไม่ว่าจะด้วยการกินผลไม้ตลอดทั้งสัปดาห์ก็แล้ว แต่คุณเคยสงสัยกันหรือเปล่าวล่ะคะว่า มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าที่การทานเพียงผลไม้เพื่อลดน้ำหนักนั้นจะสามารถช่วยทำให้คุณสูญเสียน้ำหนักและมีหุ่นที่ดีเพรียวสวยเข้ารูปได้จริงหรือเปล่านะ แน่นอนว่าผลไม้นั้นมีหลากหลายประเภทและคุณจะแน่ใจกันได้ยังไงว่าการเลือกรับประทานผลไม้เพื่อลดน้ำหนัก ผลไม้ที่ว่านั้นถูกประเภทกันแล้วหรือยัง อย่าลืมว่าผลไม้บางชนิดก็มีน้ำตาลสูง สังเกตุได้ง่ายก็ผลไม้ที่มีรสหวานจัดๆนั่นแหล่ะค่ะ แต่ว่าจะมีอะไรกันบ้างน้้น HealthGossip ไปหาคำตอบมาให้สาวๆทั้งหลายจดและจำกันให้ขึ้นใจแล้วค่าา

 

13 ผลไม้ที่แสนหอมหวานแต่กินแล้วทำให้อ้วน!!

สำหรับผลไม้ที่ขึ้นชื่อว่ามีน้ำตาลมากก็สังเกตได้ไม่ยากค่ะ ก็จำพวกที่มีสีเหลือง ๆ รสหวานจัด ๆ นั่นแหละค่ะ และที่น่าสนใจอีกอย่างคือ พวกเราดั๊นชอบซื้อชอบทานกันซะด้วย อะไรที่อร่อยมักจะสุขภาพไม่ดีอ่ะเนอะ แล้วนี่จะทำยังไงล่ะ นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ จะบอกว่าห้ามกินก็คงไม่ได้อีก ใครจะไปทำได้อ่ะเนอะ เอาอย่างนี้แล้วกันค่ะ เมื่อเราทราบแล้วว่าผลไม้ชนิดไหนนั้นมีแคลลอรี่เท่าไหร่ เราก็ทำการดมเฉยๆหรือไม่ก็อมแล้วคายออกมา แฮ่ะๆ ล้อเล่นค่ะ ทำไมต้องทรมานใจตนเองขนาดนั้นอ่ะเน้อ ก็แค่จะบอกว่าเราก็รับปประทานผลไม้เหล่านั้นให้น้อยลงเท่านั้นเองล่ะค่า ไม่ใช่ ชนิดละกิโล นั่นก็เบาหวานกันพอดี เอาล่ะเรามาดูกันดีกว่าว่ามีผลไม้ชนิดไหน ยังไงบ้าง จะได้เลือกรับประทานกันได้ถูก 🙂

 

1.มะขามหวาน ( tamarind)

ไม่น่าเชื่อว่ากินมะขามหวานแค่ 1 ขีด ไม่รวมน้ำหนักเปลือกและเมล็ด จะได้พลังงานถึง 333 กิโลแคลอรี่ กันเลยทีเดียวเชียว ไม่อยากนึกเลยถ้ากิน 1 กิโลกรัม จะขนาดไหน งั้นก็เอาที่ 1 ไปครองเลยแบบใสๆไปเลย มะขามหวานเป็นผลไม้ที่หวานอร่อยละมุน ส่วนมากเราจะเห็นคนแก่ชอบนำมาทานกับข้าวเหนียว โห นั่นยิ่งหนักไปใหญ่เลยค่ะ

 

2.ทุเรียน (Durian)

แชมป์เก่าของผลไม้ต้องห้ามสำหรับคนลดความอ้วน ทุเรียน ภายนอกมีหนามน่ากลัวแต่พอเปิดเจอข้างในแล้วเจอเนื้อสีเหลืองนวล กลิ่นหอมชวนชิมลิ้มรส พอเมื่อกินเข้าไปแล้วได้รสชาติที่หวานจนหยุดกินไม่ได้กันเลยทีเดียว แต่…ช้าก่อนอย่าเพิ่งกินคำต่อไป เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน รสชาติที่หวานเย้ายวนนี่ตัวดีเลย คุณค่าทางโภชนาการต่อ โดยทุเรียนจะให้พลังงานถึง 134-163 กิโลแคลอรี่ แล้วแต่สายพันธุ์และความหวานนั่นเอง!! จะเห็นได้ว่าค่าคาร์โบไฮเดรตอยู่ที่ 27.09 g ไขมันอยู่ที่ 5.33 g อีกด้วย อีกทั้ง กระทรวงสาธารณสุขก็เคยออกมาเตือนแล้วว่า ไม่ควรทานทุเรียนเกินวันละ 2 เม็ด เพราะเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง ถ้าหากกินครั้งละ 2-3 พู เท่ากับ 4-6 เม็ด หรือเกือบครึ่งลูก ก็จะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานจากความหวานของทุเรียนมากเกินไปถึงประมาณ 400 กิโลแคลอรี ซึ่งพอ ๆ กับกินข้าว 5 ทัพพี หรือกินน้ำอัดลมเกือบ 2 กระป๋อง หรือก๋วยเตี๋ยวหมู 1 ชาม โดยเฉพาะคนอ้วน ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต้องระวังเพราะอาจทำให้โรคกำเริบได้ แล้วอย่างนี้จะยังกินต่อกันอีกอยู่ไหม?

 

3.กล้วย (Banana)

ไม่ว่าจะเป็น กล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า หรือกล้วยหอม ถึงแม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนมีค่าพลังงานที่สูงด้วยกันทั้งนั้น โดยที่กล้วยไข่นั้นให้พลังงานมากที่สุดในบรรดากล้วยทุกชนิด คือ 147 kcal จากปริมาณ 100 g ส่วนกล้วยน้ำว้าจะให้ค่าพลังงาน 140 kcal และกล้วยหอมให้พลังงานที่ 132 kcal แต่สิ่งที่น่าสนใจก็ตรงที่กล้วยทุกชนิดให้ค่าพลังงานใกล้เคียงกับทุเรียนชะนี โดยที่กล้วย 1 ขีด ให้ค่าพลังงาน 140 kcal ส่วนทุเรียนชะนีนั้นให้พลังงาน 139 kcal และใครที่อยากจะลดความอ้วนโดยวิธีกินกล้วยแทนข้าวแล้วล่ะก็ ขอบอกว่าคิดผิดแน่ๆค่ะ  

 

4.ขนุน (Jackfruit)

ขนุนให้พลังงาน 117 kcal นี่ยังไม่นับเมล็ดที่หลายคนชอบต้มแล้วนำมารับประทานกันด้วยนะคะ อันนั้นขอบอกเลยว่าแป้งอีกเพียบ โดยที่ขนุน 4 ยวง =  120 กิโลแคลอรี่ เนื้อขนุนมีสีเหลือง รสชาติหวาน ทานเล่นทานเพลินกันเลยทีเดียว อย่าได้เผลอทานเป็นกิโลเชียว น้ำหนักขึ้นนี่ไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ

 

5.มะม่วงสุก (Mango)

พูดถึงมะม่วง ไม่ว่าจะคนไทยหรือต่างชาติก็ชอบที่จะเลือกรับประทานกัน โดยเฉพาะในประเทศไทยเรามีทุกฤดูกาลกันอยู่แล้ว และเมนูที่ไม่มีใครพลาดกันเลยนั่นก็คือ ข้าวเหนียวมะม่วง เมื่อหน้าร้อนมาถึง ร้านอาหาร ร้านขนมหวานต่างๆ ต้องออกเมนูมะม่วงมาประชันกัน เรียกได้ว่า เดินห้างไหนก็เหลืองระรานตาไปหมด ด้วยสาเหตุเพราะความหอมและหวานชื่นใจของมะม่วงนั่นเอง มะม่วงถือเป็นผลไม้ที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง มะม่วงดิบจะมีคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในรูปของแป้ง เมื่อเริ่มสุกแป้งเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในกลุ่มของ กลูโคส ฟรักโทส และซูโคส ซึ่งดูดซึมเร็วจึงทำให้มีผลกับระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยเบาหวานและผู้ลดน้ำหนัก จำเป็นต้องควบคุมปริมาณในการทานมะม่วงสุกให้เหมาะสม เพราะว่ามะม่วงสุก 100 กรัม มีค่าพลังงาน 93 kcal

 

6.ลำไย (Longan)

ลำไยให้พลังงาน 111 กิโลแคลอรี่ แถมกินมากๆ ตาแฉะ และร้อนในอีกต่างหาก ลำใยลูกกลมๆ รสหวานๆ ใครล่ะจะหยุดทานได้ หนึ่งพวงก็หลายลูกอยู่เหมือนกัน แต่อย่าลืมนะ ลำไย 8 ผล =  120 กิโลแคลอรี่ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

 

7.น้อยหน่า (Custard Apple)

น้อยหน่าไม่ว่าจะเป็นน้อยหน่าเนื้อหรือน้อยหน่าหนัง น้อยหน่าในปริมาณ 100 g จะให้พลังงานราว 98 กิโลแคลอรี่ และมีคาร์โบไฮเดรต 23.64 กรัม และจะไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ควรที่บริโภคน้อยหน่าแต่เล็กน้อยและนานๆ ครั้ง เนื่องจากน้อยหน่าเป็นผลไม้ที่มีรสหวานจัดการรับประทานปริมาณมากอาจทำให้อาการของโรคเบาหวานกำเริบขึ้นได้ค่ะ น้อยหน่า 1 ผล =  120 กิโลแคลอรี่

 

8.มังคุด (Purple mangosteen)

มังคุดได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งผลไม้ แถมยังมีประโยชน์ในเรื่องของสารออกฤทธิ์ต่างๆ แต่ก็มักมีอยู่ที่เปลือก และส่วนมากเราก็ชอบกินเนื้อของมังคุดกัน จะกินเปลือกของมังคุดก็ยังไงอยู่ใช่ไหมล่ะคะ เพราะฉะนนั้นเราก็จะได้รับพลังงานเยอะถึง 73 กิโลแคลอรี่ ต่อ 100 g ค่ะ

 

9.เงาะ (Rambutan)

เจ้าผลไม้ชนิดที่เราต้องชอบทานกันทั้งนั้น นั่นก็คือเจ้าเงาะ 1 กิโล ราคาก็ไม่ได้แพงมากหวานก็หวาน อร่อยก็อร่อย กินสองกิโลก็ยังได้ แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ อยากจะบอกว่า เงาะ 8 ผล = 120 กิโลแคลอรี่ แน่ะ โหๆ คิดก่อนๆ ยังจะสองกิโลอยู่ไหม ?

 

10.ลองกอง (Lansium parasiticum)  

ลองกอง 1 ผล เมื่อปลอกเปลือกออกมาจะมีเนื้อใสๆเป็นกลีบอยู่ข้างใน รสชาติหวานๆ แต่ยังไงซะถ้าเราทานลองกอง 10 ผล = 60 กิโลแคลอรี่ นะคะ

 

11.ลางสาด(Langsat)

ลางสาด เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ชาวไทยนิยมรับประทานกัน ในลางสาดปริมาณ 100 กรัม จะมีค่าพลังงานทั้งหมด 67 กิโลแคลอรี่l โดยมีคาร์โบไฮเดรตอยู่ 15.6 กรัม ค่ะ

 

12.ละมุด (Sapodilla)

ละมุดเป็นอีกผลไม้ที่มีรสหวานบาดใจเหลือเกิน เชื่อว่าหลายคนคงไม่ทานกันแค่หนึ่งลูก สองลูกกันหรอกใช่ไหมล่ะคะ แต่ยังไงก็หักห้ามใจกันหน่อยนะคะ เพราว่าละมุด 3 ผล =  120 กิโลแคลอรี่ เชียวแหละค่ะ ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

13.เนื้อมะพร้าว (coconut flesh)

ถ้าพูดถึงมะพร้าวนั้นถือได้ว่าเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ทั้งลูกเลยล่ะค่ะ เนื้อก็แสนจะหวานมันส่วนในน้ำมะพร้าวนั้นก็มีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว แต่ถ้าว่าในเนื้อที่แสนหวานมันนั้น มีแคลลอรี่ไม่น้อยเลยล่ะค่ะ ค่าพลังงาของเนื้อมะพร้าว 200 กรัม = 150 กิโลแคลอรี่ เลยนะคะ

 

ในความคิดของคนที่กำลังลดความอ้วน คงคิดว่าการเลือกรับประทานผลไม้นั้นเป็นวิธีที่ดีและง่ายที่สุด ทานเท่าไหร่ก็ได้ แต่หารู้ไม่ว่าการที่เรารับประทานมะม่วงสุก 3 ลูก จะเทียบเท่ากับการให้พลังงานเทียบเท่ากับข้าวขาหมู 1 จาน หรือถ้าเปลี่ยนจากข้าวมาเป็นผลไม้อย่าง ฝรั่ง หรือมะม่วง ก็เท่ากับรับประทานแป้งเหมือนเดิม แต่มีน้ำตาลมากกว่านั่นเองค่ะ โดยปริมาณน้ำตาลที่นักโภชนาการแนะนำให้รับประทานต่อวันคือ ไม่ควรเกิน 4 ช้อนชาสำหรับเด็ก และ 6 ช้อนชาสำหรับผู้ใหญ่ และถ้าหากหากเราดื่มน้ำผัก-ผลไม้รวมพร้อมดื่ม 1 แก้ว หรือประมาณ 200 มิลลิลิตร เราจะได้น้ำตาลประมาณ 4 ช้อนชา ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อรวมกับอาหารทั้งวันที่เรารับประทานกันค่ะ ยังไงก็ถือว่าความรู้ในวันนี้จะช่วยให้คุณๆเลือกรับประทานผลไม้กันมากขึ้นนะคะ 😀

 

www.flickr.com/photos/lnhillesheim/3404526406/