Browse Category: Vitamins

13 ผลไม้แสนอร่อยที่กินแล้วไม่อ้วน

mixed-fruits-1
Source: Flickr (click image for link)

ถ้าจะพูดถึง ”ผลไม้” แล้วถือว่าประเทศไทยเราเป็นประเทศที่โชคดีมีผลไม้ให้เลือกรับประทานกันตลอดฤดูการอยู่แล้ว นอกจากรสชาติที่แสนจะหอมหวานอร่อย ชื่นใจแล้วนั้นยังจะหาทานได้ง๊ายง่ายทั่วไปอีกด้วย เราคงทราบกันดีนะคะว่าผลไม้นอกจากอร่อยแล้วยังมีวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ มากมายแถมยังเต็มไปด้วยสารอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันอีกด้วย และที่สำคัญถ้าคุณเลือกรับประทานดีๆ เจ้าผลไม้ที่แสนอร่อยนี่แหละจะเป็นอีกทางเลือกของสาวๆที่อยากจะลดความอ้วนได้อีกด้วย การรับประทานผลไม้เพื่อรักษาหุ่นหรือลดน้ำหนักนั้น นับเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการอดอาหารหรือกินยาลดความอ้วน เพราะการทานผลไม้นั้นจะทำให้เราได้รับไฟเบอร์และวิตามินมากมายในปริมาณที่พอเหมาะกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวันแถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วยนั่นเอง วันนี้ HealthGossip จึงนำข้อมูลเหล่านี้มาบอกสาวๆ หรือคนที่กำลังอยากลดน้ำหนักแต่ก็อยากรับประะทานของอร่อยๆด้วยเหมือนกัน งั้นอย่ารอช้ากันเลยรีบไปดูกันว่ามีผลไม้อะไรบ้าง!

 

13 ผลไม้ที่แสนอร่อยที่กินแล้วไม่อ้วน!

 

1.แอปเปิ้ล

ราชาผลไม้ลดความอ้วน ในแอปเปิ้ลมีน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ง่ายต่อการดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายในไม่ถึง 10 นาที จึงช่วยลดความอยากอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ดี อีกทั้งกากใยจากเปลือกแอปเปิ้ลยังช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายแอปเปิล 1 ลูก ยังมีแคลอรีเพียงแค่ 59 แคลอรี แถมยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย โดยเฉพาะ เพกติน มีคุณสมบัติพองตัว มันจึงเพิ่มกากใยอาหาร ดี ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยดักจับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมยังช่วยกำจัดสารพิษในร่างกายอีกด้วย การรับประทานแอปเปิ้ลเพื่อลดน้ำหนักนิยมรับประทานแทนอาหารมื้อเย็น แต่ทั้งนี้ต้องรับประทานทั้งเปลือกเพราะถ้าปลอกเปลือกออกสารอาหารสำคัญต่างๆ ก็จะลดน้อยลงไปด้วย

 

2. เบอร์รี่

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ยังไงก็ยังมาวินอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่  แบล็กเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ และราสเบอร์รี่ ที่เต็มไปด้วนสารอาหารและมีน้ำตาลน้อยกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ เช่นมะม่วงหรือกล้วย นั่นคือเหตุผลที่ผลเบอร์รี่มักถูกยกย่องให้เป็นผลไม้เผาผลาญไขมันที่ดี ผลเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงและมีแคลอรีต่ำแถมยังหวานแบบมีประโยชน์ เส้นใยในผลเบอร์รี่ช่วยให้อิ่มเร็ว อิ่มนาน และยังมีวิตามินแร่ธาตุ สารต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วยค่ะ โดยเฉพาะ สตรอเบอร์รี่นั้นถ้ากินในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายลดไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมันสามารถควบคุมปริมาณแคลอรีแถมยังให้วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายด้วย สตรอเบอร์รี่มีแคลอรีเพียง 50 แคลอรี และ มีน้ำตาล 7 กรัม แต่มีเส้นใยอาหารถึง 3 กรัม แต่สิ่งที่สุดยอดเกี่ยวกับสตรอเบอร์รี่ (และผลเบอร์รี่ทั้งหมด) คือ มันตอบสนองความต้องการของหวานและน้ำตาลของคุณได้เป็นอย่างดี แถมยังมีสารอาหารที่น่าประทับใจอื่นๆ อีกมากมาย

 

3. มะละกอ

ในมะละกอสุกนั้นจะมีไขมันน้อยมากจนเรียกว่าไม่มีเลยก็ได้และยังให้พลังงานไม่ถึง 50 แคลอรี่ต่อ 100 กรัมดังนั้นมะละกอจึงเป็นผลไม้ลดน้ำหนักอีกชนิดหนึ่งที่ผู้คนนิยมรับประทาน นอกจากนี้ การกินเนื้อมะละกอสุก ช่วยเป็นยาระบายอ่อนๆ เพราะไปช่วยเพิ่มจำนวนกากไยอาหาร ดังนั้นเนื้อผลสุกของมะละกอจะช่วยระบายอ่อนๆ แก้ท้องผูก ให้วิตามินซีสูง เสริมสร้างระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีอีกด้วยค่ะ

 

4. ฝรั่ง

สุดยอดผลไม้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามินซีชนิดนี้ ช่วยให้คุณลดความอ้วนได้ไม่ยาก เพราะฝรั่งเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ แถมยังเคี้ยวเพลินอีกต่างหาก จึงเหมาะกับสาว ๆ ที่อยากกินจุบกินจิบเรื่อยๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความอ้วนได้แล้ว วิตามินซีในฝรั่งยังช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ไร้ริ้วรอยอีกด้วย เพราะฉะนั้น หิวเมื่อไหร่ก็อย่าลืมคว้าฝรั่งมาทานแทนขนมกรุบกรอบกันนะคะ และถ้าให้ดี ควรทานแต่ฝรั่งเปล่าๆ เท่านั้นล่ะ อย่าไปเผลอเคยตัวจิ้มพริกเกลือ พริกน้ำตาล เด็ดขาด เพราะจะทำให้อ้วนได้นะ

 

5. แก้วมังกร

เป็นผลไม้ที่มีกากใยสูงและแคลอรีต่ำแถมยังมีรสหวานอร่อย หลายๆ คนจึงเลือกรับประทานแก้วมังกรเป็นอาหารเย็นหรือทานรวมกับผักสลัดอื่นๆ เพื่อช่วยลดน้ำหนัก โดยไม่ต้องห่วงว่าความหวานจะไปเป็นไขมันสะสมในภายหลัง และนอกจากลดน้ำหนักแล้ว ผลพลอยได้จากแก้วมังกรที่คุณสาวๆ ไม่ควรพลาดอีกเช่นกันก็คือ แก้วมังกรเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีวิตามินซีสูงมาก ดังนั้นจึงช่วยบำรุงผิวพรรณไปในตัวแถมยังช่วยกระตุ้นต่อมน้ำนมดีต่อคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตรด้วย

 

6. มะเขือเทศ

เป็นพืชชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินซีสูงและให้วิตามินเอราว 1 ใน 3 ของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีโปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด ส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งและโรคหัวใจ ให้พลังงาน 20 kcal ต่อ 1 ผล

 

7. อะโวคาโด

เป็นที่นิยมในแถบทวีปอเมริกาและยุโรป แม้ว่าอะโวคาโค 100 กรัมให้พลังงาน 189 แคลอรี่และ อะโวคาโด 1 ขีด มีไขมัน 19.3 กรัม แต่ไขมันที่มีนั้นเป็น กรดไขมันชนิดที่ดี ที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในอะโวคาโด้ ไขมันที่ไม่อิ่มตัวนั่นหมายความว่ามันไม่ทำให้คุณอ้วนขึ้นเพราะจะช่วยเผาผลาญไขมันอิ่มตัวในร่างกาย มีคุณสมบัติช่วยลดไขมันร้ายในหลอดเลือด ทำให้โอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบและหัวใจวายลดลง มีสารอาหารสูงและหลากหลายมีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก เมื่อเทียบกันแล้วอะโวคาโดยังมีโพแทสเซียมมากกว่ากล้วยถึง 60% นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอ, บี, ซี, อี และเป็นผลไม้ที่คาร์โบไฮเดรตต่ำมากด้วยค่ะ

 

8. ผลไม้ตระกูลส้ม

ไม่ว่าจะเป็นส้มโอ ส้มเขียวหวาน นั้นนอกจากช่วยป้องกันโรคหวัดและการติดเชื้อแบคทีเรียแล้วยังลดปริมาณโคเลสเตอรอลในโลหิต ช่วยระบบย่อยอาหารของร่างกาย ระบายได้มีแก้อาการท้องผูก และมีคุณค่าทางอาหาร ให้วิตามินซีสูง ให้พลังงาน 60 kcal สำหรับส้มเขียวหวาน 2 ผลกลาง และให้พลังงานที่เท่ากันสำหรับส้มโอ 2 กลีบ 

 

9. เกรปฟรุต

ผลไม้ที่ดีที่สุดในการลดไขมัน ช่วยให้คุณกินแคลอรีน้อยกว่าที่คุณเผาออกไป ตัวอย่างเช่น คุณกินเกรปฟรุตครึ่งลูกก่อนมื้ออาหาร จะช่วยให้น้ำหนักคุณลดลงอย่างเหลือเชื่อ นักวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า การกินเกรปฟุตครึ่งลูกก่อนมื้ออาหารนั้น จะช่วยให้คุณลดแคลอรีได้ถึง 150 แคลอรีต่อวัน แถมเกรปฟรุตครึ่งลูกมีแคลอรีอยู่เพียง 39 แคลอรีเอง ดังนั้นจึงเหมาะกับคนที่กำลังลดความอ้วน

 

10. กีวี่

กีวี่เป็นผลไม้ผลรีรูปไข่ มีขนเล็กๆปกคลุมทั่วผล เนื้อสีเขียว บางพันธุ์เนื้อสีเหลือง ชุ่มน้ำ รสเปรี้ยวอมหวาน เป็นผลไม้ที่เก็บไว้ได้นาน สารแอกทินิดีนในกีวีช่วยเสริมภูมิคุ้มกันทำให้หัวใจแข็งแรง มีแคลอรี่ต่ำ ให้พลังงาน 60 kcal ต่อ 100 g

 

11. สับปะรด

สับปะรดนอกจากให้วิตามินซีสูงแล้วยังมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีนที่มีชื่อบรอมีเลน (bromelain) ช่วยย่อยโปรตีนไม่ให้ตกค้างในลำไส้และมีเกลือแร่ วิตามินซีจำนวนมาก แถมมีส่วนช่วยต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ให้พลังงาน 50 kcal ต่อ 100 g

 

12. ผลไม้กลุ่มแตง

ไม่ว่าจะเป็น แตงโม, แตงไทย ล้วนเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ โดยเฉพาะแตงโมเป็นผลไม้ที่มีคุณสมบัติเย็น จะช่วยลดอาการไข้ คอแห้ง บรรเทาแผลในปากแล้วก็ล้างพิษให้กับร่างกาย ให้พลังงาน 30 kcal ต่อ 100 g

 

13. องุ่น

องุ่นมีรสหวาน เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการน้ำตาล และช่วยการล้างพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากองุ่นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ช่วยล้างพิษในตับ ไต และระบบการย่อยอาหารอย่างได้ผล  มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ องุ่นมีน้ำตาลตามธรรมชาติสูง จึงมีค่าดัชนีไกลเซมิกสูง แต่ยังเป็นอาหารที่ดีสำหรับผู้ลดน้ำหนัก องุ่นพวงเล็กประมาณ 12-15 ผล สามารถใช้เป็นของหวานหรือของว่างที่แสนอร่อยได้อีกด้วยค่ะ

 

strawberry-frappe-1
Source: Flickr (click image for link)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตามการรับประทานผลไม้อย่างเดียวนั้นก็คงจะไม่สามารถช่วยลดความอ้วนได้ซะทีเดียวเลยนะคะ เราก็ควรที่จะออกกำลังกายและรับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ นอกจากน้ำหนักจะลดลงได้แล้วโรคร้ายยังไม่กล้ามากล้ำกรายคุณอีกด้วยค่ะ และบางทีนั้นสาวๆก็อาจจะยังไม่รู้อีกด้วยว่าการดื่มน้ำผลไม้คั้นนั้นแม้จะไม่ใส่น้ำตาล แต่แท้จริงแล้วก็มีน้ำตาลธรรมชาติจำนวนมาก ซึ่งถ้าดื่มแล้วไม่ออกกำลังกายเผาผลาญทิ้งไป ก็อาจทำให้อ้วนมากกว่าการดื่มนมจืดที่พร่องมันเนยเสียอีก และปริมาณน้ำตาลที่นักโภชนาการแนะนำให้รับประทานต่อวันก็คือ ไม่ควรเกิน 4 ช้อนชาสำหรับเด็ก และ 6 ช้อนชาสำหรับผู้ใหญ่ หากเราดื่มน้ำผักผลไม้รวมพร้อมดื่ม 1 แก้ว หรือประมาณ 200 มิลลิลิตร เราจะได้น้ำตาลประมาณ 4 ช้อนชา ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อรวมกับอาหารทั้งวันที่รับประทาน ยังไงก็หวังว่าจะเป็นความรู้ให้สาวๆได้เลือกทานให้ถูกต้องกันนะคะ 😀

 

www.flickr.com/photos/clotee_allochuku/14385353064/

www.flickr.com/photos/lythienhoang/19023673622/

Coenzyme Q10 คืออะไร มีความสำคัญแค่ไหน

girl-with-sun
Source: Flickr (click image for link)

Hello สวัสดีค่ะ..  วันนี้จะมาพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ “โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ” (Coenzyme Q10) กันค่ะ หลายคนคงสงสัยกันจังว่ามันคืออะไรกันนะ ทำไมชอบเห็นบ๊อยบ่อยในผลิตภัณฑ์ต่างๆ และมันช่วยในเรื่องอะไรกันแน่นะ ทำไมถึงเห็นคนเค้าซื้อกันจัง เราก็มีอารมณ์แบบเออๆลองซื้อดูมั่งซิ เห็นเค้าบอกว่าดี บอกว่าช่วยเรื่องผิวพรรณ!!  พูดถึงเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ อย่าให้ได้ยินเชียว เพราะถ้าได้ยินถึงหูแล้วล่ะก็…เป็นอันต้องรีบไปหา ไปซื้อกันเลยทีเดียวใช่ไหมล่ะคะ ในบ้านเรา เราก็จะเห็นกันอยู่ในหลายรูปแบบเลยทีเดียวค่ะ บ้างก็มีอยู่ในรูปแบบยาบำรุงหรืออาหารเสริม บ้างก็แชมพู เครื่องดื่ม ครีม สกินแคร์ต่างๆ แล้วอย่างนี้ถ้ามีใครมาถามเราว่ามันคืออะไร ช่วยในเรื่องอะไรบ้าง เราก็ดันตอบเค้าไม่ได้..เพราะตัวเราเองก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องเหมือนกันอ่ะเนอะ ไม่เป็นไรค่ะ คำถามนั้นเรามีคำตอบให้เรียบร้อย เพราะฉะนั้นวันนี้ HealthGossip จึงไปหาข้อมูลคลายความสงสัยกันค่ะ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เดี๋ยวเรามาทำความรู้จักกับเจ้าตัวนี้ไปด้วยกันว่าที่จริงแล้วมันคืออะไรกันนะและช่วยอะไรเราบ้างค่ะ

 

โคเอ็นไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10) คืออะไร

Coenzyme Q 10  หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Ubiquinone เป็นสารคล้ายวิตามินที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นสารที่มีบทบาทในการเพิ่มพลังงานให้แก่เซลล์ เพื่อใช้เป็นพลังงานในร่างกาย เป็นสารสำคัญในการสังเคราะห์ Adenosinetriphosphate (ATP) ซึ่งเปรียบได้กับขุมพลังงานของเซลล์ทั่วร่างกายเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์จากการทำลายโดยอนุมูลอิสระและยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคร้าย Coenzyme Q10 เป็นสารที่ร่างกายสามารถผลิตได้เองโดยธรรมชาติและมีความจำเป็นต่อร่างกาย Coenzyme Q10 พบในเซลล์ทุกเซลล์ที่มีชีวิตในร่างกายโดยจะอยู่ที่ส่วนเยื่อหุ้ม (Membrane) ของไมโตคอนเดรีย ซึ่งไมโตคอนเดรีย (Mitochondrial) นี้ทำหน้าที่ในการผลิตพลังงานให้กับเซลล์ โดยพลังงานดังกล่าวจะอยู่ในรูปของ ATP (AdenosineTriphosphate ) ซึ่งเป็นพลังงานพื้นฐานของเซลล์ Coenzyme Q10 ถูกพบมากในอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูงซึ่งจะมีจำนวนไมโตคอนเดรีย(Mitocondrial) มาก เช่น หัวใจ ตับ กล้ามเนื้อ สมอง ส่วนอวัยวะอื่นๆก็พบ Coenzyme Q10 เช่นกันแต่พบค่อนข้างน้อยเนื่องจากอวัยวะดังกล่าวต้องการพลังงานน้อยจึงมีจำนวนไมโตคอนเดรีย (Mitochondrial) น้อยตามไปด้วย ถัาระดับของ Coenzyme Q10 ลดลง ร่างกายจะไม่สามารถแปลงพลังงานจากอาหารให้อยู่ในสภาพที่ร่างกายจะนำไปใช้ได้ เลยทำให้เกิดการเจ็บป่วย ร่างกายอ่อนเพลีย ระบบภูมิคุัมกันเสื่อมสภาพตามมาได้

 

โคเอ็นไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10) มาจากไหน

Coenzyme Q10 ตามธรรมชาตินั้น เกิดขึ้นเองภายในเซลล์ของอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูงเช่น หัวใจ ตับ ไต และยังพบที่เซลล์อื่นๆอีก เช่น ที่ผิวหนังโดยที่ชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้แต่จะมีจำนวนลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้รับจากการรับประทานอาหารจำพวกปลาที่มีไขมันมาก เช่น น้ำมันปลา ปลาทะเลน้ำลึก ปลาทู ปลาซาบะ ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน เนื้อสัตว์ประเภทไก่ ไข่ เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ตับ ไต หัวใจ ถั่ว เมล็ดธัญพืชที่ไม่ขัดขาวผลไม้เปลือกแข็งผักเช่น บร๊อคโคลี่ ปวยเล้ง  อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์จากนม น้ำมันถั่วเหลือง ผัก รำข้าว ซีเรียล

 

ทำไมโคเอ็นไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10) ถึงดีต่อร่างกายของเราล่ะ

คุณสมบัติเด่นของ Coenzyme Q10 เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั่นเอง คือสามารถชะลอความแก่ได้โดยที่ Coenzyme Q10 สามารถสร้างพลังงานให้กับผิวเพื่อในการแบ่งเซลล์ ทำให้ริ้วรอยต่างๆสามารถลดลงและเลือนหายไป นอกเหนือจากคุณสมบัติในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และชะลอความแก่ได้แล้วนั้น   Coenzyme Q10 ยังมีคุณสมบัติต่างๆเช่นในการทำงานของหัวใจดีขึ้น ช่วยเสริมเกราะภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นป้องกันและรักษาโรคเหงือกความดันเลือดสูง คลอเรสเตอรอลสูง และ Coenzyme Q10 นั้นยังมีประโยชน์อีกมากมายดังนี้

  1. โคเอนไซม์คิวเทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ในทุกเซลล์ของสิ่งมีชีวิต มีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างพลังงาน ดังนั้นจึงมีการนำ โคเอนไซม์ Q10 มาใช้เป็นเครื่องสำอางค์สำหรับลดการเกิดริ้วรอย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังจากแสงแดด (Photo aging) กล่าวคือ รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จะทำให้เกิดการผลิตอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นนี้ก็จะทำอันตรายต่อไขมัน โปรตีน และสารพันธุกรรมในเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดริ้วรอย หมองคล้ำได้ มีงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับผลของ โคเอนไซม์ Q10 ว่าสามารถทำให้ความลึกของริ้วรอยลดลง โดยให้กลุ่มทดลองใช้ครีมที่มีส่วนผสมของโคเอนไซม์ Q10 อยู่ 0.3% ทารอบดวงตาเป็นเวลานาน 6 เดือน พบว่าความลึกของริ้วรอยลดลงถึง 27% เมื่อเปรียบเทียบกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมซึ่งไม่ได้ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของโคเอนไซม์Q10 อยู่ ดังนั้นโคเอนไซม์ Q10 จึงมีส่วนช่วยลดริ้วรอยและชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังได้เป็นอย่างดี และโคเอนไซม์ Q10 ยังเป็นสารสำคัญในการสร้างพลังงานให้กับเซลล์ผิว ช่วยให้เซลล์ผิวแข็งแรง นอกจากนี้โคเอนไซม์ Q10 ยังช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนในเซลล์ผิวทำให้ผิวแน่น ยืดหยุ่นได้ดี ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น
  2. มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เพราะถ้าหากร่างกายขาด Coenzyme Q10 เซลล์ในร่างจะหยุดทำงานทันที!!
  3. มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดริ้วรอย และชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง
  4. Coenzyme Q10 มีคุณสมบัติคล้ายกับวิตามินอี ช่วยเสริมการทำงานของหัวใจ เพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  5. โรคเกี่ยวกับเหงือก เหงือกทำหน้าที่ในการยึดและพยุงฟันให้คงอยู่ในช่องปาก โรคเหงือกที่เป็นปัญหาและพบได้บ่อยเกิดจากคราบจุลินทรีย์ที่ถูกปล่อยให้สะสมอยู่บนตัวฟัน ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อต่างๆ จากการวิจัยพบว่าการรับ โคเอนไซม์ Q10 เข้าไปในร่างกายจะช่วยลดและบรรเทาอาการเหงือกบวมรวมถึงอาการฟันโยก (Periodontitis) ได้ และช่วยรักษาโรคเหงือก ชะลอความผิดปกติและการดำเนินของโรคพาร์กินสันได้
  6. สำหรับผู้สูงอายุหลายๆคนแล้วการรับประทานโคคิว10 จะทำให้ร่างกายรู้สึกเหมือนมีพลังขึ้นมาทันที โรคที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ในร่างกายเช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์คินสัน เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาทที่พบได้มากที่สุด การได้รับโคเอนไซม์ Q10 เข้าไปในร่างกายสามารถช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ในร่างกายได้เนื่องจากใน โคเอนไซม์ Q10 มี ฟีนีลอะลานิน(Phenylalanine) ช่วยการทำงานของต่อมไทรอยด์ให้กระตุ้นการเผาผลาญของร่างกาย ทำให้รู้สึกสดชื่นตื่นตัว ลดความซึมเศร้า ช่วยให้ความจำและระบบประสาททำงานได้ดีขึ้น  และเนื่องจากคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระของโคเอนไซม์ Q10 ซึ่งสามารถช่วยปกป้องการทำลายของอนุมูลอิสระในสมองได้ จากการศึกษาพบว่าการให้โคเอนไซม์ Q10 เป็นอาหารเสริมช่วยชะลอความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อระบบประสาทและสมองได้
  7. เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เพราะโคคิว10 จะไปช่วยบรรเทาอาการเจ็บหน้าอกได้ดีกว่ายาแผนปัจจุบัน ในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือดสูงเกินไป Q10 จะยับยั้งไม่ให้โคเลสเตอรอลจับเป็นก้อนอุดตันเส้นเลือด ใช้ในการรักษาโรคหัวใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจล้มเหลวเนื่องจากเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ (Congestive heart failure) ทั้งนี้เนื่องจากความรุนแรงของโรคผู้ป่วยโรคหัวใจดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะสัมพันธ์กับการขาดโคเอนไซม์ Q10 ดังนั้นเมื่อผู้ป่วยโรคหัวใจได้รับโคเอนไซม์ Q10 จึงทำให้หัวใจทำงานได้ดียิ่งขึ้น เคยมีการศึกษาในผู้ป่วยโรคหัวใจมากกว่า 2,500 คนแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม โดยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจกลุ่มหนึ่งได้รับโคเอนไซม์ Q10 อีกกลุ่มหนึ่งให้ยาหลอกเป็นเวลา 12 เดือน ผลปรากฏว่า 80%ของผู้ป่วยที่ได้รับโคเอนไซม์ Q10 ทุกวันๆละ 100 มิลลิกรัมมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน ส่วนประเทศญี่ปุ่นมีการทำวิจัยไว้ถึง 25 ชิ้น พบว่าผู้ป่วยร้อยละ 70 มีอาการดีขึ้นจากโรคหัวใจ โดยมีการศึกษาครั้งหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Therapeutics พบว่าการใช้โคเอนไซม์ Q10 เป็นอาหารเสริมทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตได้มากกว่า 15.7 เปอร์เซ็นต์ และทำให้การออกกำลังกายได้นานขึ้น 25.4 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง พบว่าผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมักมีอาการขาดโคเอนไซม์ Q10 ร่วมด้วย ดังนั้นการรับประทานโคเอนไซม์ Q10 อาจจะช่วยให้อาการความดันโลหิตสูงดีขึ้น
  8. เชื่อว่าสามารถช่วยรักษาและป้องกันโรคมะเร็งได้ เนื่องคุณสมบัติของการมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของโคเอนไซม์ Q10 ทำให้สามารถช่วยป้องกันและรักษาโรคมะเร็งได้ ยังมีการศึกษาบางชิ้นที่แสดงว่าโคเอนไซม์ Q10 ให้ผลดีต่อการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย อีกทั้งมีงานวิจัยพบว่าในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระดับโคเลสเตอรอลสูงในกระแสเลือด และผู้ที่ได้รับยากลุ่ม Statin ผู้ป่วยดังกล่าวควรจะรับประทานโคเอนไซม์ Q10 เพราะยากลุ่มดังกล่าวส่งผลต่อการยับยั้งสร้างโคเอนไซม์ Q10ในร่างกาย

Coenzyme Q10 กับความสวยความงาม

ลดริ้วรอย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง (Anti-aging/Skin care)

ผิวหนังมีหน้าที่ในการป้องกันสารพิษเชื้อโรคและรังสีอัลต้าไวโอเลต (Ultraviolet) จากแสงอาทิตย์ โดยรังสีอัลตร้าไวโอเลตนี้มี 2 ชนิด คือ UVA และ UVB แต่ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดริ้วรอยจะเป็นรังสี UVA โดย UVA สามารถทะลุผ่านชั้นผิวหนังถึงชั้นหนังแท้ และจะเริ่มต้นในการสร้างอนุมูลอิสระ (Free Radical) ซึ่งอนุมูลอิสระนี้เป็นผลิตผลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการออกซิเดชั่น (Oxidation) อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นนี้ก็จะทำอันตรายต่อไขมัน โปรตีน และสารพันธุกรรม(DNA) ในเซลล์ผิวหนังรวมถึงทำให้เกิดการทำลายของคอลลาเจน(Collagen)และโครงสร้างอื่นๆของผิวหนัง สูญเสียความยืดหยุ่นขาดความกระชับเกิดริ้วรอยและความหมองคล้ำ CoQ10 เป็นสารต้านออกซิเดชั่น (Antioxidant) โดยจะไปป้องกันไม่ให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่จะทำให้อนุมูลอิสระซึ่งจะทำอันตรายต่อผิวหนัง  นอกจากนี้ CoQ10 พบมากที่ผิวหนังชั้นนอก(Epidermis)มากกว่าที่ผิวหนังชั้นใน(Dermis) ซึ่งเป็นผิวหนังชั้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากรังสี UVA จึงเป็นข้อดีอีกประการที่จะช่วยขจัดอนุมูลอิสระ(FreeRadical) ซึ่งเป็นสาเหตุของริ้วรอยและความหมองคล้ำนอกจากหน้าที่ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระของผิวแล้ว Coenzyme Q10 คิวเท็นเปรียบเสมือนแหล่งผลิตพลังงานให้กับเซลล์ผิวหนัง หากเซลล์ผิวหนังได้รับพลังงานไม่เพียงพอก็จะทำให้เซลล์ทำงานผิดปกติก็จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร มีงานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลของ CoQ10 ต่อการลดริ้วรอยมากมายว่าสามารถทำให้ความลึกของริ้วรอยลดลง เช่นการศึกษาของ Gerson Unna พบว่าภายหลังที่กลุ่มทดลองได้รับ CoQ10 ในระยะเวลา 6 สัปดาห์ ริ้วรอยลดลงกว่า 27% และเมื่อได้รับ CoQ10 ต่อไปเป็นระยะเวลา 10 สัปดาห์ริ้วรอยลดลงกว่า 43%

 

ปริมาณของโคเอนไซม์ คิวเทนที่แนะนำ

  • การรับประทาน Coenzyme Q 10 เป็นอาหารเสริมควรบริโภคในปริมาณ 30-50 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะหากกินมากเกินไปจะเกิดอาการ คลื่นไส้อาเจียน ผื่นคัน ปวดหัว ท้องเสีย เจ็บหน้าอก เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ มึนงง หงุดหงิด กระสับกระส่าย ตาแพ้แสง อ่อนเพลีย ครั่นเนื้อครั่นตัว โคเอนไซม์คิวเทนในรูปของอาหารเสริม เป็นสารอาหารที่ละลายได้ดีในไขมัน ควรเลือกที่อยู่ในรูปของน้ำมันซึ่งจะดูดซึมได้ดีมาก โดยในรูปเจลที่อยู่ในรูปของน้ำมันถั่วเหลือง จะดูดซึมได้ง่ายและดีที่สุด ( ทานง่ายด้วย) และควรรับประทานแคปซูลขนาด 30 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด ได้ถึงวันละ 3 เวลา ทั้งนี้ควรเก็บให้พ้นแสง ควรเก็บไว้ในอุณภูมิปกติหรือเย็น (ห้ามแช่แข็ง)
  • สำหรับผู้ที่รับประทานยาลดระดับคอเลสเตอรอลเพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ (สเตติน) จะทำให้โคคิว10 ในร่างกายลดลงได้ ซึ่งจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากยิ่งขึ้น!! ดังนั้นควรรับประทานโคคิว10 ร่วมกับสเตตินด้วย
  • การรับประทานอาจจะต้องใช้ระยะเวลานานกว่า 2 เดือนขึ้นไป กว่าจะเห็นผล
  • ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับวัยผู้ใหญ่คือ 30 มิลลิกรัม แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคชรา หรือเป็นโรคอื่น ๆควรรับประทาน 50 – 100 มิลลิกรัมต่อวัน

ผลข้างเคียง หากกินมากเกินไปจะเกิดอาการ คลื่นไส้อาเจียน ผื่นคัน ปวดหัว ท้องเสีย เจ็บหน้าอก เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ มึนงง หงุดหงิด กระสับกระส่าย ตาแพ้แสง อ่อนเพลีย ครั่นเนื้อครั่นตัว

ข้อห้ามใช้ ผู้ที่ต้องระวังคือผู้ป่วยโรคเบาหวานน้ำตาลต่ำเพราะจะทำให้น้ำตาลลด  และคนที่เป็นโรคเลือดเพราะ Coenzyme Q 10 จะไปลดประมาณเกล็ดเลือดทำให้เลือดออกง่าย รวมถึงคนที่เป็นความดันต่ำ คนท้อง และแม่ที่ให้นมลูก

 

จะเห็นได้ว่า Coenzyme Q10 นั้นมีความสำคัญอย่างมากต่อร่างกายของเรา ไม่ใช่แค่ในเรื่องของผิวพรรณความสวยความงามอย่างที่เราเข้าใจกันมาตลอดเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อเรื่องของสุขภาพของเรามากมายเช่นกัน วันนี้ได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว ต่อไปเราคงสามารถบอกคนอื่นได้ซะทีสินะว่ามันดีอย่างไร จบปิ้ง

 

www.flickr.com/photos/22545218@N06/14989592943/

Collagen คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร

pastel-skin
Source: Flickr (click image for link)

วันนี้ HealthGossip เอาความรู้ที่มาพร้อมกับความสวยและความงาม มาเสริฟกันอีกแล้วววว ว เป็นอะไรน่ะหรอ ก็จะอะไรอีกล่ะเนอะยังคงวนเวียน ต้วมเตี้ยมกันอยู่กับความสวยความงามและสุขภาพเหมือนเดิมนั่นเองค่าา และวันนี้ก็จะมาพูดถึง “คอลลาเจน” ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่คอลลาเจนเต็มไปหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นแบบผงชงดื่ม แบบเครื่องดื่มผสมคอลลอเจน ไหนจะเป็นแคปซูลในรูปแบบอาหารเสริมและสมัยนี้ในครีม เครื่องสำอางค์ โลชั่น ลิปสติก หรือแม้แต่ลูกอมขนมต่างๆก็ยังมีคอลลาเจนผสมอีกแน่ะ! และไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ถ้าขึ้นชื่อว่ามีคอลลาเจน สาวๆจะให้ความสนอกสนใจกันขึ้นมาเลยที่เดียวเชียวเลยใช่ไหมล่ะค่ะ ก็เพราะเรารู้และเข้าใจว่ามันดีและช่วยเรื่องความสวยความงามนั่นเอง แต่เรารู้จักเจ้าคอลลาเจนนี้ดีแค่ไหนกันล่ะ แล้วมันช่วยให้เราสวยขึ้นจริงหรอและมันช่วยเราแค่เรื่องความสวยความงามเท่านั้นเอง? แต่ความเป็นจริงแล้วรู้ไหมคะว่าคอลลาเจนอยู่ในร่างกายของเราเองนี่แหละค่ะแต่ทำไมเราถึงต้องการคอลลาเจนจากที่อื่นมากมายขนาดนั้นล่ะ ้าอย่างนั้นเรามาทำความรู้จักกับเจ้าคอลลาเจนให้มากขึ้นกันดีกว่าเนอะ อย่างน้อยก็เพื่อตัวเราและไหนยังจะสามารถเผื่อแผ่บอกกับคนอื่นได้อีก ก็ไม่ว่านะ ไม่หวง 🙂

 

ทำไมถึงได้เรียกว่า “คอลลาเจน”

คอลลาเจน (Collagen) มาจากภาษากรีก ซึ่งมีความหมายว่า กาว และคอลลาเจนนั้นเองที่ทำหน้าที่เป็นการเชื่อมเซลล์แต่ล่ะเซลล์ในร่างกายเข้าไว้ด้วยกัน คอลลาเจนนั้นอยู่ใต้ผิวหนังที่อยู่ในชั้นผิวหนังแท้ของเราโดยทำหน้าที่เสริมความเรียบตึงของผิวหนัง ทำให้ผิวแข็งแรงและเรียบเนียน

 

คอลลาเจนคืออะไรนะ

โดยทั่วไปแล้วสาวๆจะรู้จักกันดีว่าคอลลาเจนนั้นจะช่วยให้ผิวเราเต่งตึง เด้งดึ๋งและกระชับขึ้น เพราะอะไรน่ะหรอ ก็เพราะว่าคอลลาเจนเป็นโปรตีนธรรมชาติที่อยู่ในร่างกายเราเนี่ยแหละค่ะ อีกทั้งคอลลาเจนยังเป็นองค์ประกอบหลักของผิวหนังที่เป็นโปรตีนที่มีความสำคัญอย่างมากอีกด้วยนะ และเจ้าคอลลาเจนไม่เพียงเป็นองค์ประกอบของผิวหนังเท่านั้นนะคะแต่ยังทำหน้าที่เชื่อมเซลล์ทุกๆเซลล์ในร่างกายไว้ด้วยกันเพื่อทำให้เกิดเป็นเนื้อเยื่อ เป็นอวัยวะ และร่างกายที่สมบูรณ์ขึ้นมาได้นั่นเอง ดังนั้นคอลลาเจนจึงมีปริมาณถึง 1 ใน 3 ของโปรตีนในร่างกายเพราะเป็นโครงสร้างในส่วนที่ยืดหยุ่นของร่างกายนั่นเองค่ะ

คอลลาเจนนั้นมีสารสำคัญ 2 ชนิด นั่นก็คือ Proteoglycan และ Glycosaminoglycans ที่เป็นโปรตีนที่เป็นโครงสร้างหลักของผิว เส้นผม เล็บ กระดูก ข้อต่อ ตลอดจนผนังหลอดเลือด และในผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) จะประกอบด้วยคอลลาเจนถึง 75% ความอุดมสมบูรณ์ของคอลลาเจนจึงมีส่วนสำคัญในการทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น นุ่มนวลมีความยืดหยุ่นดีทำให้ผิวเต่งตึงกระชับ ซึ่งเป็นคุณลักษณะของผิวเยาว์วัยที่ไม่เหี่ยวย่นไม่มีริ้วรอยและตีนกา เป็นผิวที่ทุกคนเป็นเจ้าของในช่วงวัยเด็กและวัยสาวก่อนอายุจะย่าง 30 ทั้งนี้เพราะภายในชั้นผิวของเรามีความอุดมสมบูรณ์ของคอลลาเจนสูงม๊ากก แต่เมื่ออายุมากขึ้น เส้นใยคอลลาเจนจะเสื่อมสลายและมีปริมาณลดลง ทำให้ชั้นผิวหนังยุบตัวลงเป็นต้นเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอย เช่น รอยตีนกามาเยือนบ้าง กล้ามเนื้อรอบดวงตาเหี่ยวย่นบ้าง แถมผู้หญิงยังมาแก่ง่ายกว่าผู้ชายอีก และอัตราการลดลงอย่างต่อเนื่องของคอลลาเจนในผิวหนังชั้นหนังแท้จะมีผลให้ผิวพรรณค่อยๆ สูญเสียความชุ่มชื้น นุ่มเนียนและยืดหยุ่น ผิวที่เคยสวยเต่งตึง นุ่มนวล ค่อยๆ แห้งกร้าน ผิวจะยุบตัวลงทุกปีทุกปีทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและตีนกา กว่าคุณจะอายุ 45 ปี ระดับคอลลาเจนในชั้นผิวลดลงไปแล้วกว่า 30% แน่ะ!

เศร้าใจจัง จะมีวิธีสต๊าฟการลดลงของคอลลาเจนบ้างมั้ยนะ? ขอตอบเลยว่าไม่มีวิธีนั้นค่ะ แต่ถ้าจะมีก็จะมีวิธีที่สามารถช่วยชะลอความเสื่อมของผิวพรรณและรักษาไว้ให้ดูดีให้นานที่สุดเท่านั้นเองแหละค่ะ โดยการวิจัยด้านโภชนาการได้ค้นพบว่า การรับประทานคอลลาเจนที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกเป็นอาหารเสริมประจำอย่างต่อเนื่อง สามารถช่วยเสริมคอลลาเจนที่พร่องลงตามวัยที่เพิ่มขึ้นคืนกลับให้ร่างกาย สามารถช่วยป้องกันและชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น รอยตีนกา ความแห้ง กระด้าง ช่วยผิวพรรณให้มีความชุ่มชื้น นุ่มนวลเรียบเนียนคงความยืดหยุ่นของผิวไว้ได้ค่ะ

 

คอลลาเจนมีหลายชนิด

ชนิดที่หนึ่ง พบที่ผิวหนังที่จะเจริญเต็มที่ กระดูกและเอ็น

ชนิดที่สอง พบที่กระดูกอ่อน

ชนิดที่สาม พบที่ผิวหนังของทารกหรือผิวหนังที่เริ่มมีการสร้างใหม่ เช่น ผิวหนังที่เป็นแผลและเริ่มมีการสร้างคอลลาเจนใหม่ นอกจากนี้ยังพบที่เส้นเลือดและเดินอาหาร

ชนิดที่สี่ พบที่เยื่อหุ้มเซลล์

ชนิดที่ห้าและหก พบได้ทั่วไป

ส่วนมากเราจะรู้จักคอลลาเจนในด้านความงาม นั่นก็คือคอลลาเจนผิวหนัง นั่นก็คือคอลลาเจนชนิดที่หนึ่งและสาม ในวัยเด็กเรานั้นจะมีคอลลาเจนชนิดที่สามมากที่สุดผิวของเด็กจึงมีความเนียนนุ่ม เด้งดึ๋งกว่าวัยอื่นๆนั่นเองค่ะ และพอเราเริ่มโตขึ้นคอลลอเจนชนิดที่หนึ่งก็จะถูกสังเคราะห์ขึ้นมาแทนที่จนกระทั่งอายุ 25 ปีขึันไป คอลลาเจนก็จะเริ่มเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆโดยลดลงในอัตรา 1.5% ต่อปี และเมื่อมีการสูญเสียคอลลาเจนมากกว่าการผลิตขึันมาใหม่ ผิวหนังจึงขาดความกระชับตึงและยุบตัวลงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสาเหตุของริ้วรอยและผิวพรรณที่แห้งกร้านก็ตามมา แต่รู้กันไหมคะว่านอกจากนี้ยังมีคอลลาเจนอีกหลายชนิด เท่าที่พบอย่างน้อยมี  19 ชนิดด้วยกัน ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีมากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่ชนิดของอวัยวะ

 

ปัจจัยที่ทำให้คอลลาเจนเสื่อมเร็วขึ้น

นอกจากการเสื่อมสลายของคอลลาเจนที่เราไม่เคยต้องการให้เกิดขึ้นแล้วก็ดันมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้คอลลาเจนเราเสื่อมเร็วขึ้นไปอีกเช่น

  1. รังสียูวีจากแสงแดด
  2. บุหรี่
  3. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  4. สารปนเปื้อนในอาหาร
  5. อนุมูลอิสระ
  6. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

แล้วอย่างนี้ถ้านำคอลลาเจนมาทาเลยล่ะ จะช่วยได้ไวทันใจกว่าการรับประทานมั้ยนะ เพราะจะได้ซึมเข้าชั้นผิวหนังโดยตรงได้ไปเลยโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการสังเคราะห์ใดๆทั้งสิ้น

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า คอลลาเจนโปรตีน เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างโมเลกุลใหญ่มาก ดังนั้นคอลลาเจนไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ด้วยการทา ส่วนครีมต่างๆ ที่มีขายตามท้องตลาดที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน ก็จะเป็นการผลักคอลลาเจนให้อยู่ได้แค่ชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น แต่เนื่องจากคอลลาเจนมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ประมาณ 30 เท่าของน้ำหนักตัวมันจึงทำให้ผิวหนังกำพร้าชุ่มชื้น แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยได้อย่างแท้จริง เพราะการเสริมสร้างคอลลาเจน จะต้องเข้าสู่ด้วยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังและการรับประทาน โดยในขณะที่การฉีดจะเสริมคอลลาเจนนั้นก็ได้เพียงเฉพาะที่เท่านั้น เพราะอย่างนั้น “การรับประทานน่าจะเป็นวิธีที่ดีและง่ายที่สุด”

 

คอลลาเจนจากอาหาร

สาวๆรู้มั้ยยย ในอาหารที่เรารับประทานทุกวี่ทุกวันนี้ก็มีคอลลาเจนนะ ! เราใยถีงไม่ทานกันเล่า บางคนอาจยังไม่ทราบว่ามีใช่ไหมล่ะคะ หรือทราบอยู่แล้วว่ามีแต่ไม่ทราบว่ามันอยู่ในอาหารชนิดไหน อะไรบ้าง ใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวมาดูกันดีกว่ามีอะไรบ้าง

ถั่วเหลือง ไม่ว่าจะเป็นนมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้นอกจากจะหาทานง่ายแล้วแถมยังเป็นกำไรกับสาวๆที่ชอบดื่มเป็นชีวิตจิตใจอีกด้วย เพราะนอกจากจะได้รับโปรตีนมาเสริมสร้างกล้ามเนื้อแล้ว ในถั่วเหลืองยังมีสารกลุ่มไอโซฟลาโวนที่มีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เหมาะสำหรับเพศหญิง ทานแล้วยังช่วยให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวลได้อีกด้วยค่า

ผักใบเขียวเข้ม นอกจากจะมีวิตามินซีสูงมากๆแล้วก็ยังช่วยส่งเสริมการนำโปรตีนมาบำรุงร่างกาย และเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง พบมากในผักปวยเล้ง ผักโขม คะน้า หน่อไม้ฝรั่ง ผักกาดหอม เป็นต้น

ผลไม้สีแดง แหล่งคอลลาเจนชัันดี และมีสารไลโคปีนที่เด่นในเรื่องแอนติออกซิแดนซ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคอลลาเจน พริกหยวกแดง หัวบีท มะเขือเทศ หรือลูกเบอร์รี่สายพันธุ์ต่างๆ ล้วนดีต่อผิวทั้งนั้น

อาหารที่ทะเลที่มีโอเมก้า อาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนและโอไมก้า ไม่ว่าจะเป็น ปลาแซลมอล ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล ถั่วอัลมอลด์ และอะโวคาโด เป็นต้น

 

ใครจะรู้ล่ะค่ะว่าเจ้าคอลลาเจนที่เราเฝ้าไฝ่หานั้นมันอยู่ไม่ไกลจากตัวเราเลยและอยู่รอบๆตัวเรานี่เองค่ะ ถ้าเราเลือกรับประทานอาหารให้ถูกต้องและเหมาะสมกับร่างกายของเรา เราก็จะได้รับคอลลาเจนในรูปแบบธรรมชาติที่มาจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนี่เองแหละค่ะ แต่ถ้าว่าไม่ว่าจะเลือกรับประทานสุดๆแล้วเจ้าคอลลาเจนก็ยังไม่เพียงพอ ยังไงคอลลาเจนในรูปแบบอาหารเสริมยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเลือกรับประทานเสริมเข้าไปเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการได้ค่ะ หวังว่าเรื่องราวในวันนี้จะช่วยให้สาวๆเข้าใจเจ้าคอลลาเจนมากขึ้นและเป็นแนวทางในการเลือกรับประทานอาหารหรือเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีมารับประทานเสริมกันมากขึ้นนะคะ

 

www.flickr.com/photos/muffmuff/4004304595/

5 สุดยอดวิตามินเพื่อสุขภาพผิวที่สวยขาวใส

Vitamins-and-oil-1
Source: Flickr (click image for link)

วันนี้ HealthGossip จะมาพูดถึง “5 วิตามินที่ทำให้ผิวของเราสวยและขาวใส” กันค่ะ คงทราบกันใช่ไหมคะว่าสมัยนี้ไม่ใช่แค่สุขภาพร่างกายของเราเท่านั้นที่เราต้องคอยใส่ใจดูแล ไหนจะเรื่องการกิน การใช้ชีวิตประจำวัน ต่างๆ แต่อีกอย่างที่เราก็ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือเรายังมีสุขภาพผิวของเราที่ยังคงต้องหมั่นดูแลเช่นกัน โดยเฉพาะสาวๆที่รักสวยรักงามอย่างเราๆนี้ต้องใส่ใจกันเป็นพิเศษเลยล่ะค่ะ ผิวของคนเรานั้นจำเป็นที่จะต้องได้รับวิตามินบำรุงผิวอย่างเหมาะสมอยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้ผิวยังคงมีสุขภาพที่ดีอยู่ตลอดเวลาค่ะ เพราะการใช้ชีวิตประจำนั้นก็เป็นปัจจัยหลักเลยที่ส่งผลทำให้เราสูญเสียอนุมูลอิสระที่เป็นผลทำให้ผิวของเราเกิดปัญหาต่างๆที่ไม่พึงประสงค์  จากการศึกษาวิจัยชี้ให้เห็นว่า มีสารอาหารบางชนิดที่จำเป็นในการป้องกันริ้วรอยบนผิว แต่ความจริงที่น่าเศร้าที่หลายคนอาจจะไม่เคยทราบมาก่อนเลยก็คือ วิตามินบำรุงผิวที่คุณได้รับผ่านมื้ออาหารในชีวิตประจำวันนั้น ร่างกายของคุณได้รับเพียงร้อยละหนึ่งของอาหารที่คุณทานเข้าไปเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะมากน้อยเท่าใดก็ตาม การทานวิตามินบำรุงผิวเสริม เพื่อเติมช่องว่างความต้องการวิตามินในร่างกายให้เต็มนั้น จึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างมีความสำคัญมากเลยทีเดียว เพราะสมัยนี้การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ล้วนช่วยให้คุณมีผิวพรรณที่ดีได้ แต่ในยุคสมัยที่เร่งด่วนแบบนี้ การเลือกสรรอาหารดีๆ หรือพักผ่อนให้เพียงพอ อาจเป็นเรื่องยาก   วันนี้เราเลยนำเรื่องวิตามินมาบอกกล่าวเล่าสู่กันฟัง เผื่อได้เป็นแนวทางให้กับคุณผู้หญิงทั้งหลายที่อาจจะยังไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัดว่า มีวิตามินอะไรบ้างนะที่จะช่วยบำรุงผิวของเราให้มีสุขภาพที่ดีอยู่เสมอๆ และวิตามินก็มีหลากหลายชนิดแตกต่างหน้าที่กันไป การที่เราจะรู้ไว้ถือเป็นการดี เพราะบางทีเราก็อาจไม่ทราบว่าเราจะรับวิตามินเหล่านั้นได้จากที่ไหนในทุกๆวันเพื่อให้เพียงพอต่อร่างกายของเรา งั้นเราไปหาคำตอบกันเลยค่ะ

 

วิตามิน(Vitamin) คืออะไร?

วิตามินคือสารอินทรีย์ที่ร่างกายต้องการในปริมาณเพียงเล็กน้อยมากในแต่ละวันเพื่อการเจริญเติบโต และการสร้างพลังงานของทุกเซลในร่างกาย จำเป็นอย่างยิ่งต่อสุขภาพที่ดี เราจำเป็นต้องได้รับวิตามินไม่ว่าจะจากอาหารที่รับประทานหรือจากการได้รับอาหารเสริม วิตามินเป็นสิ่งที่ร่างกายเราไม่มีและไม่ได้สร้างขึ้นเอง มีวิตามินทั้งหมด 13 ชนิด ที่ร่างกายควรจะได้รับ วิตามินไม่ใช่อาหาร และไม่สามารถใช้ทดแทนอาหารได้ วิตามินไม่มีแคลอรี่ และไม่สามารถให้พลังงานโดยตรงกับร่างกาย แต่เราก็ยังจำเป็นต้องได้รับวิตามินเพื่อไปทำหน้าที่เปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงาน

วิตามิน แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มตามคุณสมบัติการละลายในตัวทำละลาย

  1. วิตามินชนิดที่ละลายได้ในน้ำมันหรือไขมัน วิตามินกลุ่มนี้ เช่น วิตามินเอ อี ดี และเค วิตามินเหล่านี้จะสามารถถูกกักเก็บไว้ตามกล้ามเนื้อหรือไขมันตามส่วนต่างๆของร่างกายได้ภายหลังจากที่เรารับประทานเข้าไป ข้อดีคือ เราไม่จำเป็นต้องรับประทานวิตามินกลุ่มนี้ทุกวันเพราะมีสะสมอยู่ตามกล้ามเนื้อ แต่หากเรารับประทานวิตามินเหล่านี้มากเกินไป จะเกิดการสะสมมากเกินไปในส่วนต่างๆ ทำให้เป็นพิษจากวิตามินได้เช่นกัน
  2. วิตามินชนิดที่ละลายได้ในน้ำ เช่น วิตามินซี และบี วิตามินกลุ่มนี้ไม่สามารถถูกสะสมหรือกักเก็บในร่างกายได้นานเนื่องจากคุณสมบัติที่ได้ละลายได้ดีในน้ำ จึงถูกกำจัดออกทางปัสสวะหรือเหงื่อ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องได้รับวิตามินกลุ่มนี้ทุกวันจากการรับประทานอาหารหรืออาหารเสริม หากร่างกายได้รับวิตามินชนิดที่ละลายน้ำมากเกินไป ส่วนเกินของวิตามินจะถูกขับออกโดยไม่ทำให้เกิดพิษหรือปัญหาต่อร่างกาย

วิตามินสำหรับต้านอนุมูลอิสสระ ขบวนการหรือปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดขึ้นในร่างกายทุกขณะหรือตลอดเวลาไม่ว่าเราจะตื่นอยู่หรือกำลังนอนหลับคือ ปฏิกิริยาที่เรียกว่า ‘ออกซิเดชั่น’ เป็นปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นและก่อให้เกิดอนุมูลอิสสระสะสมภายในเซลและอัวยะวะในทุกส่วนของร่างกาย อนุมูลอิสสระเหล่านี้ทำลายเซลทุกชนิด และนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความเหี่ยวย่นของผิวหนังและความเสื่อมของทุกเซลจนทำให้เซลตายได้ในที่สุด

สารต้านอนุมูลอิสสระ คือสารที่สามารถป้องกันหรือยับยั้งปฏิกิริยาลูกโซ่ของปฏิกิริยาออกซิเดชั่นได้ สารต้านอนุมูลอิสสระสามารถทำหน้าที่ปกป้องเซลจากการทำลายของอนุมูลอิสสระ อันอาจเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกร่างกายด้วย เช่น จากรังสีดวงอาทิตย์ หรือฝุ่นละอองจากสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ร่างกายคนเราก็สามารถสร้างสารต้านอนุมูลอิสสระได้เอง เพื่อปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสสระที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์พบว่าเนื่องจากอนุมูลอิสสระในร่างกายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จากสภาวะความเครียดและความกดดันของร่างกายในโลกปัจจุบัน ทำให้สารต้านอนุมูลอิสสระที่ผลิตขึ้นเองภายในร่างกายไม่เพียงพอในการปกป้องเซลทุกชนิดในร่างกายได้ ดังเห็นได้จากการเจ็บป่วยที่ไม่รู้สาเหตุมากมาย เราจึงจำเป็นต้องเพิ่มหรือเสริมให้ร่างกาย

ประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสสระ

  • ทำลายอนุมูลอิสสระที่เกิดขึ้นในร่างกาย เป็นการปกป้องเนื้อเยื่อที่แข็งแรงของร่างกายในทุกส่วน
  • สารต้านอนุมูลอิสสระสามารถเสริมความเข็มแข็งของกล้ามเนื้อและโครงสร้างของเส้นเลือดทั้งหลายในร่างกาย ซึ่งเป็นการเสริมความแข็งแรงของระบบเลือดและหัวใจโดยทางอ้อม
  • สารต้านอนุมูลอิสสระนับเป็นยาอายุวัฒนะที่ช่วยชะลอความแก่ของผิวพรรณและร่างกาย และยังมีรายงานสนับสนุนว่าสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย

เมื่อเราได้ทราบกันแล้วว่าปัญหาหลักที่ทำให้ผิวของเราอ่อนแอนั่นก็คือ “อนุมูลอิสระ” และยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างเลยค่ะที่ไปกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกายเร็วขึ้น ก็คือการใช้ชีวิตประจำวันของเรานั่นเอง ไม่ว่าจะจากภาวะเครียดจากตัวเราเอง ไหนจะรังสียูวีที่ประเทศไทยเรานั้นรุนแรงเหลือเกิน หรือจะเป็นฝุ่นละอองจากสิ่งแวดล้อม ก็ตาม อย่างที่บอกว่าภาวะที่กล่าวมานั้นล้วนแต่ทำให้สารต้านอนุมูลอิสสระที่ผลิตขึ้นเองภายในร่างกายไม่เพียงพอในการปกป้องเซลทุกชนิดในร่างกายได้ ดังนั้นเราจึงมีการเสริมโดยการรับประทารอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเข้าไปและส่วนมากจะอยู่ในผักและผลไม้ นั่นก็คือวิตามินต่างๆนั่นเองค่ะ

 

5 สุดยอดวิตามินสำหรับต้านอนุมูลอิสสระ

1.วิตามินซี (Vitamin C)

วิตามินซี มีคุณสมบัติในการต่อต้านการเกิดริ้วรอย ให้ความชุ่มชื้นผิวหนัง วิตามินซีในปริมาณมากพอจะกระตุ้นให้เซลล์ผิวสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง ช่วยชะลอและยืดอายุผิวหนังจึงทำให้ผิวดูสดใสอ่อนเยาว์ และยังช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง โดยการเสริมสร้างผนังเซลล์ ทำให้แผลหายเร็ว ลดการอักเสบ นอกจากนี้ ยังช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีผิว ทำให้ผิวพรรณขาวกระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ และรอยสิวต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญช่วยปกป้องผิวจากยูวีด้วยค่ะ แต่เนื่องจากคุณสมบัติของวิตามินซีที่ละลายในน้ำได้ดีมาก ทำให้คุณสมบัติการเป็นสารต้านอนุมูลอิสสระสลายไปได้อย่างรวดเร็วเมื่อละลายในน้ำหรือเมื่อถูกความชื้น ทำให้วิตามินซีที่ผสมผสานในครีมบำรุงผิวทั้งหลายไม่เกิดประโยชน์ต่อผิวหนังเลย นอกจากนั้นยังพบว่าวิตามินซีหรือวิตามินที่ละลายได้ดีในน้ำ ไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ ดังนั้นประโยชน์จากวิตามินซีในครีมบำรุงผิวจึงไม่เกิดขึ้น เพราะอย่างนี้เราจึงต้องเติมวิตามินซีเข้าสู่ร่างกายเป็นประจำค่ะ แต่อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้พยายามคิดค้นและปรับปรุงโครงสร้างของวิตามินซีให้มีคุณสมบัติละลายน้ำได้น้อยลงแต่ละลายได้ดีในน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มความคงตัวและการดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังของวิตามินซีในเนื้อครีมบำรุงผิว

 

2.วิตามินอี (Vitamin E) เป็นวิตามินบำรุงผิว

พบว่าวิตามินอีมีบทบาทสำคัญที่สุดในการช่วยชะลออายุของผิวหนัง ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยป้องกันการเกิดโรคทั่วไปหลายๆชนิด วิตามินอี สามารถใช้ในรูปแบบของครีมทาผิว และในรูปแบบของแคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัมสำหรับรับประทาน เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น มีความยืดหยุ่นและปรับสภาพผิวหนังให้เนียมนุ่มได้อย่างรวดเร็ว มีประวัติการใช้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน วิตามินเอ มีคุณสมบัติที่ดีต่อผิวมากมายช่วยลดความแห้งกร้าน ด้วยการทำให้ผิวคงความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ และส่งเสริมการปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวี เพียงส่วนผสมของวิตามินอี อย่างน้อยที่สุด 1% ภายในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว นอกจากนี้วิตามินอี ยังช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายของอนุมูลอิสระ จนกระทั่งได้รับฉายา “ซุปเปอร์สตาร์” ในการปกป้องดูแลผิวเลยทีเดียว สำหรับการใช้วิตามินอีในการบำรุงผิวพรรณที่เหมาะสมที่สุดนั้น ควรใช้ก่อนและหลังการสัมผัสกับแสงแดดอย่างรุนแรง

 

3.วิตามินเอ (Vitamin A)

วิตาินเอ Retinoids หรือกรดวิตามินเอ เป็นวิตามินบำรุงผิวสำหรับต่อต้านริ้วรอย ที่ได้รับการค้นคว้าวิจัยและพิสูจน์แล้วกว่า 700 ชิ้น ว่าสามารถช่วยลดริ้วรอย จุดด่างดำให้จางหายไป พร้อมกับช่วยลดความหยาบกร้านของผิวให้ผิวกลับมาราบลื่นมากขึ้นหากมีการใช้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ การใช้งาน Retinoids เป็นสิ่งที่ค่อนข้างมีข้อจำกัด โดยแนะนำให้ใช้ในช่วงเวลากลางคืน ที่ปลอดแสงแดด อย่างน้อย 2-3 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผิวของวิตามินบำรุงผิวชนิดนี้ สามารถทำงานให้เห็นผลได้อย่างรวดเร็วได้ภายใน 4-8 สัปดาห์ สำหรับปริมาณที่ใช้ในการบำรุงผิวหน้าของคุณอย่างเหมาะสม เพียงปริมาณเท่าเม็ดทั่ว กรดวิตามินเอก็มากเพียงพอแล้วที่จะช่วยครอบคลุมบำรุงใบหน้าโดยรวมของคุณ

 

4.วิตามินบีรวม

วิตามินบีรวม เป็นกลุ่มวิตามินประกอบได้ด้วย วิตามิน B1 B2 ไนอะซีน แพนโทธีนิกแอซิด B6 B12 โฟลิกแอซิด ไอโอซิทอล และโคลีน วิตามินบีรวม ช่วยบำรุงผิวให้สดชื่น สดใส เปล่งปลั่ง แต่ต้องระวังอย่าทานก่อนนอนนะคะ เพราะวิตามินบีรวมจะทำให้เราตื่นตัว จนคุณอาจกลายเป็นนกฮูกทั้งคืนได้

 

5.โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (Coenzyme Q10)

โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (Coenzyme Q10) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Ubiquinone เป็นสารคล้ายวิตามินที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง คุณสมบัติเด่นของ Coenzyme Q10 เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั่นเอง คือสามารถชะลอความแก่ได้โดยที่ Coenzyme Q10 สามารถสร้างพลังงานให้กับผิวเพื่อในการแบ่งเซลล์ ทำให้ริ้วรอยต่างๆสามารถลดลงและเลือนหายไป มีบทบาทในการบำรุงผิวพรรณในเรื่องของการชะลอการแก่ก่อนวัย ป้องกันริ้วรอย และช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ที่สำคัญโคเอ็นไซม์ คิวเท็น ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน จึงลดความเสื่อมของเซลล์ และกำจัดของเสียออกจากเซลล์ ส่งผลให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นด้วย

 

ยังไงทางการแพทย์นั้นก็ยังเชื่อว่าสารต้านอนุมูลอิสสระที่ดีที่สุดควรจะได้จากผักสดและผลไม้สดเท่านั้น อย่างไรก็ตามแหล่งของอาหารเสริมที่สามารถให้สารต้านอนุมูลอิสสระ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่สองที่สามารถมาทดแทนได้เช่นกันสำหรับผู้ที่ไม่ชอบรับประทานผักสดและผลไม้สดหรือบางคนที่ไม่มีเวลาสรรหามารับประทานกันค่ะ หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยเป็นความรู้และแนวทางในการเลือกรับประทานกันได้นะคะ

 

www.flickr.com/photos/detroitsunrise/3524151027/