Browse Tag: หงุดหงิด

26 ชนิดของอาหารที่ส่งผลทำให้อารมณ์ดีขึ้น

 

Photo by freestocks.org on Unsplash

เนื่องด้วยหัวข้อที่แล้วได้เขียนเรื่องราวของอาหารที่ส่งผลทำให้อารมณ์ของเราบูด อารมณ์เสียง่าย หรืออารมณ์ไม่ดีทั้งวันไปแล้ว และก็ได้พบว่ามีอาหารอยู่ไม่น้อยชนิดเลยทีเดียวที่อยู่ในลิสท์จนหลายคนคงต้องคิดแน่ๆ เลยว่าแล้วจะกินอะไรได้บ้างเนี่ย มีแต่อาหารที่ชอบเลยแต่พอกินแล้วดันมาทำให้อารมณ์ไม่ดีอีก มันก็เป็นเรื่องธรมมดาของชีวิตอ่ะนะคะว่าเมื่อมีด้านไม่ดีนั้นมันก็ต้องมีด้านที่ดีเป็นของคู่กันอยู่แล้วค่ะ ดังนั้นวันนี้เราเลยอยากนำเสนออาหารที่ส่งผลทำให้อารมณ์ของเราดีขึ้น ให้สดใสไม่หมองหม่นเหมือนกำลังจะเป็นโรคซึมเศร้าเหงาซึม ใครที่เกิดอาการเหล่านี้อยู่ก็ลองลุกขึ้นมาปรับอาหารเลือกอาหารเหล่านี้รับประทานกันดูนะคะ เนื่องจากยุคสมัยมันเปลี่ยนไปมีเทคโนโลยีและสิ่งเอิ้ออำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย แค่อยู่ที่ว่าเราจะเลือกอะไรให้กับตัวเอง และก็พบว่าไม่น้อยเลยที่คนเราหันมาใส่ใจตัวเองและสุขภาพกันมากขึ้น คนเราตามพื้นฐานแล้วต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองเสมอนั่นแหละถึงจะเรียกว่ารักตัวเองเป็นค่ะ การเลือกรับประทานอาหารก็เช่นเดียวกันถ้าเรารักสุขภาพตัวเองมากพอก็จะเลือกแต่สิ่งที่ดีให้กับตัวเองเสมอ เชื่อหรือไม่ว่าการที่เราหงุดหงิดง่าย อะไรๆ ก็คิดแต่ในทางแง่ลบจิตใจไม่ผ่องใสนอกจากส่งผลทางจิตใจแล้วก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการนำมาสู่โรคภัยไข้เจ็บได้ค่ะ ดังนั้นเราไม่ควรปล่อยปะละเลยกับเรื่องเพียงเล็กน้อยแบบนี้ไปได้เลยล่ะค่ะ ตามเป็นจริงแล้วคนเราไม่มีความสุขกับที่ตัวเองจะต้องมานั่งร้อนใจ และมีอารมณ์ที่ไม่สดใสมองไปทางไหนก็มืดหม่น แต่บางทีเราอาจจะไม่รู้ตัวหรือไม่สามารถห้ามตัวเองให้เป็นอย่างนั้นได้ค่ะ จะมีคนรอบตัวเราสักกี่คนที่จะมานั่งบอกเราว่า เออเนี่ยช่วงนี้เธอดูหงุดหงิดง่ายนะ เธอช่วยลดความอารมณ์เสียง่ายของเธอได้ไหม กว่าเราจะรู้ตัวอีกทีคนรอบข้างก็ไม่กล้าเข้าใกล้แล้วล่ะค่ะ ผู้เขียนก็ไม่อยากให้ผู้อ่านต้องเป็นนั้นหรอกนะคะ แค่ช่วงไหนรู้สึกอารมณ์หงุดหงิดง่าย พยายามควบคุมตัวเองแล้วยังไม่ได้ผลก็ขอให้ย้อนกลับมาดูอาหารการกินช่วงนี้ของเราเป็นยังไง และเลือกอาหารที่ช่วยให้เราอารมณ์ดีขึ้นรับประทานกันดีกว่าค่ะ 🙂

Photo by Priscilla Fong on Unsplash

26 ชนิดของอาหารที่ส่งผลทำให้อารมณ์ดี

 

1.ปลาแซลมอล

ปลาแซลมอนเป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ดีเลยล่ะค่ะ ซึ่งมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบสูง มีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและระบบประสาท ป้องกันภาวะซึมเศร้า ช่วยลดความวิตกกังวลและความซึมเศร้าหมองหม่นได้อีกด้วยค่ะ นอกจากนี้ปลาแซลมอนยังมีโปรตีนสูง วิตามินบี 12 และวิตามินดี โดยวิตามินบี 12 ทำงานร่วมกับโฟเลตเพื่อช่วยเปลี่ยนกรดอะมิโนให้เป็นสารสื่อประสาท (ผู้ป่วยซึมเศร้ามักจะมีระดับต่ำทั้งคู่) ในขณะที่การขาดวิตามินดีก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้าค่ะ

 

2.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จำพวก บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และสตรอเบอร์รี่ ล้วนมีวิตามินซีสูง ซึ่งจะไปช่วยรับมือกับคอร์ติซอลที่เป็นฮอร์โมนที่ถูกปล่อยออกมาในช่วงที่มีความเครียดนั่นเองค่ะ

 

3.ดาร์ค ช็อคโกแลต

นอกจากรสชาติของช็อคโกแลตที่อร่อยจนหลายคนหลงรักแล้วโกโก้ยังเป็นทรีทเม้นต์ที่ดีเยี่ยมอีกด้วย สามารถช่วยปรับอารมณ์และสร้างความสมดุลของอารมณ์และช่วยการไหลเวียนของเลือดที่ไปยังสมองช่วยให้รู้สึกมีชีวิตชีวาและมีพลังมากขึ้น พบว่าโกโก้ฟลาโวนอลสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการรับรู้อยู่ค่ะ โกโก้เป็นส่วนผสมของช็อคโกแลตที่จะไปช่วยให้ร่างกายของเราดีขึ้น ดังนั้นการเลือกช็อคโกแลตที่เป็นดาร์คช็อคโกแลตมีค่าเปอร์เซ็นต์โกโก้ที่สูงและสียิ่งเข้มยิ่งดีที่จะไปช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้ดีขึ้นค่ะ

 

4.ข้าวกล้อง

พบว่าที่อาหารปราศจากกลูเตนนั้นทำให้สุขภาพทางอารมณ์ของเราดีขึ้น มีความสุขขึ้นจากความหดหู่ใจ ข้าวกล้องสามารถช่วยต่อสู้กับภาวะอารมณ์แปรปรวน เช่น โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กเนื่องจากในข้าวกล้องมีธาตุเหล็ก

 

5.มันหวาน

มันฝรั่งหวานที่มีสีส้มรสชาติมัน หวาน ใครจะรู้ว่าสามารถปรับอารมณ์ของเราให้ดีขึ้น จากวิตามิน B6 วิตามินซี และเส้นใยอาหารค่ะ

 

6.ถั่วดำ

ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียมที่ช่วยเพิ่มฮอร์โมนความสุขเซโรโทนิน และความรู้สึก ราวกับว่ายังไม่เพียงพอผู้ชายตัวเล็ก ๆ เหล่านี้ แต่มีพลังอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและอุดมไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อคุณเช่นเหล็กเส้นใยทองแดงสังกะสีและโพแทสเซียม

 

7.ผักเคล

ผักเคลเป็นผักใบเขียวเข้มที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่หลากหลายรวมถึงไฟเบอร์ที่จะไปปรับสมดุลน้ำตาลในเลือด มีวิตามินบีเพื่อไปกระตุ้นการทำงานของสมองรวมถึงธาตุเหล็กด้วยค่ะ และการขาดธาตุเหล็กมีผลต่อพฤติกรรมทางอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นความวิตกกังวลและการหยุดชะงักของสารสื่อประสาท โดยธาตุเหล็กและวิตามินบีนี่แหละจะไปช่วยเสริมสร้างพลังงานมากขึ้นช่วยให้เรารู้สึกมีพลังบวกและสดใสขึ้น มีพลังในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ของวันให้สนุกยิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้วผักปวยเล้งและผักคะน้าก็เป็นอีกพืชผักใบเขียวเข้มที่สามารถเลือกรับประทานกันได้ค่ะ อย่างไรก็ตามการมีธาตุเหล็กในสมองมากเกินไปอาจทำให้สารสื่อประสาทบกพร่องซึ่งเป็นสถานการณ์ Goldilocks ค่ะ ดังนั้นร่างกายเราควรได้รับระดับธาตุเหล็กให้เพียงพอและเหมาะสมกันนะคะ

 

8.กรีกโยเกิร์ต

กรีกโยเกิร์ตเป็นผลิตภัณฑ์นมที่มีแคลเซียมสูงมากในขณะที่นมหรือโยเกิร์ตแบบปกติทั่วไปนั้นก็มีไม่เท่า แคลเซียมเป็นจุดเริ่มต้นของสารสื่อประสาทในสมองซึ่งสามารถไปกระตุ้นเพิ่มความรู้สึกให้คงที่ นั่นก็หมายความว่าถ้าปริมาณแคลเซียมไม่เพียงพอก็สามารถทำให้เกิดความวิตกกังวล ซึมเศร้า หงุดหงิด หน่วยความจำบกพร่องและกระบวนการคิดช้าลง โยเกิร์ตกรีกยังมีโปรตีนมากกว่าโยเกิร์ตทั่วไปทำให้เป็นอาหารว่างที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียวค่ะ

 

9.กิมจิ

พบว่าเกี่ยวกับสุขภาพของระบบทางเดินอาหารบ่งชี้ว่าอาหารเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาสุขภาพของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งปรากฏว่ามีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและสุขภาพค่ะ อาหารหมักดองอย่างกิมจิจึงเป็นแหล่งของแบคทีเรียที่ดีต่อสุขภาพที่เรียกว่าโปรไบโอติก และการที่ลำไส้เรามีปัญหาทำให้ไม่ขับถ่ายของเสียออกจากรางกายนั่นก็เป็นผลต่อสภาพทางอารมณ์ของเราได้เหมือนกันค่ะ

 

10.แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลจะอุดมไปด้วยไฟเบอร์และวิตามินซี มีรสชาติหวานและกลิ่นหอมที่มีเอกลักษณ์ของผลไม้เหล่านี้สามารถเพิ่มความสดใสและทำให้สมองปลอดโปร่ง ทำให้เรามีความคิดสร้างสรรค์และเป็นบวกจนไปสู่การส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีค่ะ

 

11.ชาเขียว

การเลือกเดินเข้าไปร้านกาแฟในวันที่อารมณ์ไม่ดีแทนที่จะสั่งกาแฟดื่มเพื่อให้อารมณ์ที่หงุดหงิดหายไปแต่มาเลือกสั่งชาเขียวมาดื่มสักแก้ว แล้วจะพบว่ามันทำให้ความเครียดในสมองของเราได้รับการผ่อนคลาย ได้รับการพัฒนาทั้งทางสุขภาพร่างกายและอารมณ์ในคราวเดียวกันค่ะ คาเฟอีนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในชาเขียวไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มพลังให้เราเท่านั้น สาร epigallocatechin-3-gallate หรือ EGCG ที่พบในชาเขียวยังเชื่อมโยงกับการปรับอารมณ์ของเราให้คงที่อีกด้วย

 

12.เมล็ดเจีย

Chia seeds เมล็ดเชีย หรือ เมล็ดเจียเป็นแหล่งที่มาของกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ได้จากพืชค่ะ และเมล็ดเชียยังมีความอุดมสมบูรณ์ของสารอาหารมากมาย และที่เด่นๆ เลยก็คือโปรตีน เส้นใย แคลเซียม และธาตุเหล็ก อีกทั้งยังเป็นแหล่งที่ดีของแมกนีเซียมที่เป็นแร่ธรรมชาติที่ช่วยผ่อนคลายและสามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ค่ะ

 

13.กล้วย

กล้วยเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูงซึ่งจะไปช่วยปรับปรุงการทำงานของสมอง วิตามิน B6 จะไปช่วยเพิ่มเซโรโทนินที่มีส่วนทำให้ร่างกายสงบขึ้น และทริปโตเฟน เป็นกรดอะมิโนที่จะไปทำให้อารมณ์ของเราสมดุล

 

14.อะโวคาโด

สุดยอดของอาหารอย่างอะโวคสโดอีกทั้งยังเต็มไปด้วยวิตามิน B และโพแทสเซียม ที่จะไปช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนินและลดความดันโลหิตซึ่งทั้งสองอย่างนี้สามารถทำให้สภาพจิตใจมีความสงบมั่นคงไม่สวิงค่ะ

 

15.ส้ม

ผลไม้อย่างส้ม ไม่ว่าจะเป็นส้มแมนดาริน, ส้มโอ หรือจะเป็นส้มเขียวหวาน นอกจากอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังเต็มไปด้วยโฟเลตที่เป็นวิตามินบีที่ช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้ดี สดชื่นข้นมาทันใดเลยล่ะค่ะ

 

16.เมล็ดอัลมอนด์

ถ้าพูดถึงอาหารประเภทโปรตีนที่ดีที่ได้จากพืชอย่รงเมล็ดอัลมอนด์ที่จะไปช่วยทำให้อารมณ์ของเราดีขึ้น ทั้งนี้ยังมีไทโรซีนสำหรับการผลิตสารสื่อประสาท, แมกนีเซียม, ไฟเบอร์และวิตามินอีค่ะ เมล็ดอัลมอนด์ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระวิตามินอีที่สามารถช่วยต่อสู้กับความเสียหายจากอนุมูลอิสระในสมองค่ะ

 

17.มันม่วง

มันฝรั่งสีม่วงรสชาติหวานจนเราเรียกมันว่ามันม่วง จากสีของมันม่วงที่เป็นเอกลักษณ์นี้เกิดจากสาร anthocyanins เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพที่ให้ประโยชน์ต่อระบบประสาท เช่น การประสบกับความจำระยะสั้นและลดการอักเสบที่มีผลกระทบต่อสภาวะอารมณ์รวมไปถึงสภาพผิวของเราอีกด้วย ทั้งนี้มันหวานยังเต็มไปด้วยไอโอดีนซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญที่ช่วยควบคุมต่อมไทรอยด์ของเราค่ะ เนื่องจากลดการอ่อนเพลียและความเศร้าแบบหดหู่ไปพร้อมๆ กันค่ะ

 

18.ไก่งวง

ไก่งวงจะอุดมไปด้วยทริปโตเฟน ที่เป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่จะไปช่วยให้ผลิตเซโรโทนินที่ช่วยในเรื่องของการกระตุ้นอารมณ์ โดยโพรไบโอที่อยู่ในระดับต่ำจะทำให้การผลิตเซโรโทนินลดลงเลยไปเพิ่มความวิตกกังวลหรืออาการซึมเศร้า ในขณะที่ถ้าโพรไบโออาหารที่สูงจะไปช่วยในการลดภาวะซึมเศร้าและความหงุดหงิด นอกจากนี้ยังมีไทโรซีนกรดอะมิโนอีกตัวที่เป็นสารตั้งต้นของสารสื่อประสาทในสมองค่ะ ทั้งนี้ไก่งวงยังมีวิตามินบีมากมายรวมถึง B6,B12 และแร่ธาตุสังกะสี การขาดสังกะสีเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางอารมณ์ เช่น ความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าค่ะ

 

19.เมล็ดทานตะวัน

เมล็ดทานตะวันเป็นแหล่งวิตามินอี วิตามินบี 6 และแมกนีเซียมที่ดี จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ถั่วแล้วอยากรับประทานธัญพืชที่สามารถทดแทนกันได้อย่างเมล็ดทานตะวันค่ะ

 

20.สาหร่าย

สาหร่ายที่ไม่ว่าจะอยู่ในซูชิหรือแซมๆ อยู่ด้านข้างของจานเป็นสลัดก็ตาม ทราบหรือไม่ว่าสาหร่ายที่ว่านี้เต็มไปด้วยแร่ธาตุไอโอดีนที่จะไปต่อสู้กับความหดหู่เศร้าหมองใจ และก็หาได้ไม่ง่ายในอาหารทั่วไปอีกด้วยเนื่องจากไม่ใช่อาหารหลักของคนไทยที่จะได้รับประทานกันบ่อยๆ  ไอโอดีนมีความสำคัญต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ของเรา ซึ่งมีผลต่อพลังงาน น้ำหนัก และแม้กระทั่งการทำงานของสมอง ทำให้คุณรู้สึกหม่นหมองเมื่อมีน้อยเกินไปและมีความสุขมากเมื่อมีอย่างเพียงพอ

 

21.หัวบีทรูท

หัวบีทรูทเป็นพืชหัวที่น่าสนใจค่ะ เราจะพบเห็นบ่อยๆ ในสลัดหรือน้ำผลไม้ปั่น บีตส์รูทจะประกอบด้วยเบทาอีนซึ่งจะไปช่วยผลิตเซโรโทนินในสมองขณะเดียวกันก็จะปรับระดับอารมณ์ไปพร้อมกัน ทั้งนี้หัวบีทรูทยังมีกรดโฟลิกที่ไปช่วยรักษาเสถียรภาพทางอารมณ์และช่วยปรับสุขภาพจิตทำให้มีความสุขขึ้นค่ะ

 

22.หน่อไม้ฝรั่ง

หน่อไม้ฝรั่งแสนอร่อยที่คนส่วนใหญ่มักนำมาประกอบอาหารที่เราคุ้นเคยกันก็คงจะเป็นเมนู หน่อไม้ฝรั่งผัดกุ้ง โดยหน่อไม้ฝรั่งเป็นแหล่งของเซโรโทนิน โฟเลต และเอนไซม์ที่จะไปทำลายแอลกอฮอล์ (นั่นก็หมายถึงเป็นยาแก้อาการเมาค้างตามธรรมชาติด้วยนั่นเอง)

 

23.น้ำผึ้ง

น้ำผึ้งหอมหวานแต่แปลกตรงที่ไม่เหมือนกับน้ำตาลทรายทั่วไปก็ตรงที่น้ำผึ้งจะให้ความหวานธรรมชาติแล้วยังอัดแน่นไปด้วยสารประกอบที่มีประโยชน์อีกด้วยเช่น quercetin และ kaempferol ซึ่งสารนี้แหละจะไปช่วยลดการอักเสบทำให้สมองแข็งแรงและป้องกันภาวะซึมเศร้า  อีกทั้งน้ำผึ้งยังมีผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่าน้ำตาลปกติค่ะ ดังนั้นน้ำผึ้งจะไม่ทำให้ร่างกายเรากักเก็บไขมันในแบบที่น้ำตาลทั่วไปทำ หรือการนำไปสู่หนึ่งในปัญหาน้ำตาลขัดข้องที่ไม่พึงประสงค์แบบที่เกิดขึ้นจากน้ำตาลทรายทั่วไปค่ะ นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียที่ช่วยป้องกันโรคและทำให้เราไม่รู้สึกหมองหม่น

 

24.เมล็ดฟักทอง

เมล็ดฟักทองเป็นเหมือนของว่างทานเล่นกรุบๆ แต่กลับเป็นหนึ่งในแหล่งอาหารที่ดีที่สุดของทริปโตเฟนที่เป็นกรดอะมิโนที่ช่วยส่งเสริมการผลิตเซโรโทนินในสมอง ทริปโตเฟนยังช่วยทำให้อารมณ์สงบลงได้ง่ายขึ้น ช่วยให้หลับสบายโดยที่ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่น สดใสค่ะ

 

25.ขนมปังโฮลวีท

การที่มีต่อมฮอร์โมนอยู่ทั่วทุกที่ในร่างกายของเราและง่ายต่อการกระตุ้นไม่ว่าจะจากที่ทำงานหรืออะไรก็ตาม การเกิดความเครีมยกจึงทำให้ร่างกายกระหายแป้งและน้ำตาลเพราะมันสามารถช่วยปลอบประโลมอารมณ์ของเราในขณะนั้นได้แต่รู้ไหมว่ามันช่วยให้เรามีความสุขได้แค่ระยะนั้นๆแถมยังไปเพิ่มน้ำตาลในเลือกและพุง ดังนั้นแทนที่จะเลือกแป้งขัดสีหรือพวกคุกกี้หวานๆ มาทานทำไมเราไม่เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจากขนมปังโฮลเกรน นอกจากจะมีวิตามินต่างๆ ที่ดีต่องสุขภาพแล้วยังมีเส้นใยอาหารอีกด้วย อย่างไรก็ตามธัญพืชเหล่านี้สามารถปรับปริมาณแบคทีเรียตัวที่ดีในลำไส้ของเราได้ ซึ่งแตกต่างจากพวกคุกกี้ที่มีอิทธิพลอย่างละเอียดอ่อนต่อสภาวะของอารมณ์

 

26.น้ำมันมะกอก

ใครจะรู้ว่าอารมณ์ของเรานั้นจะดีขึ้นได้อย่างง่ายดายเหมือนการหยดน้ำมันมะกอกลงบนสลัดล่ะคะ เมื่อพบว่าไขมันที่ดีต่อสุขภาพนั้นพบอยู่ในน้ำมันมะกอกมีประสิทธิภาพต่อการปรับอารมณ์ของเราได้มากกว่าไขมันทรานส์ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของเรา ดังนั้นควรเลือกรับประทานไขมันที่ดีต่อสุขภาพเรานะคะ

 

จะเห็นได้ว่านอกจากปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อสภาวะอารมณ์ของคนเราแล้ว การรับประทานอาหารบางประเภทก็สามารถส่งผลกระทบต่อสภาวะอารมณ์ของเราให้แย่ลงหรือดีขึ้นได้ด้วยค่ะ ทั้งนี้การรักษาร่างกายจากภายในสู่ภายนอกย่อมเป็นพื้นฐานของกลไกของสุขภาพที่ต้องทำงานคู่กันเพื่อให้เราได้เห็นผลได้ชัดเจนค่ะ หวังว่าหัวข้อนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะคะ

18 สัญญาณบ่งบอกว่าคุณดื่มน้ำเปล่าไม่เพียงพอ

Source: Flickr (click image for link)

เคยได้เขียนเรื่องราวของประโยชน์จาก”การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ”ให้เหมาะสมในแต่ละวันและเรื่องควรดื่มน้ำเปล่าอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพและร่างกายของเรามากที่สุดไปแล้ว หลายๆ คนก็คงจะทราบเป็นอย่างดีหรือเคยอ่านผ่านตามาบ้างแล้วใช่ไหมล่ะคะ ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยสิ่งแวดล้อมรอบข้างตัวเราหลายอย่างที่อาจจะเป็นตัวส่งผลให้เรามีตัวเลือกมากขึ้นในปัจจุบัน แค่เพียงก้าวเท้าเดินออกมาจากบ้านก็มีเครื่องดื่มหลากชนิดหลายรสชาติให้เลือกมากมาย ในบางคนถึงขั้นดื่มจัดจนเป็นนิสัยหรือไม่ก็เสพติดไปโดยไม่รู้ตัว วันไหนไม่ได้ดื่มแล้วจะมีอาการหงุดหงิดไม่มีความสุขไปทั้งวันเลยก็ว่าได้ อย่างเช่น ฉันต้องดื่มกาแฟทุกเช้านะ ไม่งั้นไม่มีสมาธิทำงานแน่วันนี้ หรือ ฉันต้องดื่มชานมไข่มุกทุกเย็นนะ ไม่อย่างนั้นนอนไม่หลับแน่คืนนี้ รวมถึงในบางคนที่ชื่นชอบกับดื่มน้ำอัดลมแทนน้ำเปล่าเลยก็ว่าได้ เป็นต้น อาหารเครื่องดื่มที่ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาบนโลกใบนี้ ด้วยรสชาติที่ถูกปากชวนอยากให้ลิ้มรสในทุกๆ วัน นั่นก็ไม่ผิดค่ะที่เราจะชอบดื่มแบบนั้นหรือแบบไหน แต่อย่าลืมว่าเครื่องดื่มเหล่านั้นมีส่วนผสมมากมายกว่าจะได้รสชาติที่กลมกล่อมจนยากที่จะข่มใจลืมได้ นอกจากจะนำน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาฝากแบบไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งยังนำพาน้ำตาลที่เหลือไปเพิ่มในกระแสเลือดจนโรคเบาหวานมาเยือนแบบไม่รู้ตัวซะอย่างนั้น เราไม่ได้อยากจะบอกคนที่ติดเครื่องดื่มเหล่านั้นว่าเครื่องดื่มพวกนี้ไม่ดีหรอกนะ หรือไม่ก็ไม่ควรดื่ม ให้เลิกกับมันซะ เพราะเราทราบดีว่ามันเป็นเรื่องที่ยากค่ะ ซึ่งก็มีเหมือนอยู่อีกปัจจัยที่ทำให้ใครหลายคนดื่มน้พเปล่าไม่เพียงพอ คือในคนที่ไม่ชอบดื่มน้ำเปล่าเลย อาจจะเพราะไม่ชอบดื่มน้ำเปล่าเนื่องด้วยน้ำเปล่านั้นไม่มีรสชาติอะไรเลย น่าเบื่อ หรืออาจจะไม่มีเวลา ซึ่งแม้กระทั้งการ…ลืม? ไม่ว่าจะจากเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ซึ่งปัจจัยเหล่านั้นอาจจะนำพาสู่ปัญหาของโรคภัยไข้เจ็บโดยไม่รู้ตัวได้โดยทั้งสิ้น และหลายๆ คนก็อาจะไม่ทราบว่ากะแค่การไม่ดื่มน้ำเปล่าก็สามารถเจ็บป่วยได้ด้วยหรอเนี่ย? ที่จริงแล้ว ในร่างกายของมนุษย์เราประกอบไปด้วยน้ำถึง 70% ซึ่งระบบภายในของร่างกายมนุษย์ ต้องใช้น้ำในการทำหน้าที่ของระบบต่างๆ ในร่างกาย ดังนั้นถ้าร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอในแต่ละวัน เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกายของเราเป็นอย่างแแน่นอนค่ะ เนื่องจากในแต่ละวันร่างกายเราจะเสียน้ำวันละ 2 ลิตร จากการหายใจ ขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ ทำให้ร่างกายต้องได้รับน้ำจากการดื่มน้ำเปล่าให้ได้วันละประมาณ 2-3 ลิตร หรือ 6-8 แก้วต่อวันนั่นเองค่ะ

 

18 สัญญาณบ่งบอกว่าคุณดื่มน้ำเปล่าไม่เพียงพอ

Source: Flickr (click image for link)

1.ปาก ผิวหนัง และตาแห้ง

จัดว่าเป็นสัญญาณขั้นพื้นฐานที่จะช่วยบอกให้เราทราบได้ว่าร่างกายของเราขาดน้ำหรือได้รับน้ำไม่เพียงพอนั่นเอง นอกจากรู้สึกว่าตาแห้ง ตาบวม ปากและผิวแห้งแตกเป็นขุยทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าหนาว ก็ควรหันไปหยิบน้ำมาดื่มให้ไวเพราะการขาดน้ำคือการขาดเหงื่อซึ่งจะนำไปสู่ร่ายกายไม่สามารถชำระล้างสิ่งสกปรกหรือน้ำมันส่วนเกินที่สะสมตลอดทั้งวันออกไปได้ ถ้าช่วงไหนรู้สึกว่าผิวแห้งแบบขาดน้ำมาหล่อเลี้ยงมีสิวขึ้นแบบผิดปกติแล้วล่ะก็ น้ำเปล่าคือทางออกที่ดีที่สุดค่ะ

 

2.ปวดหัวบ่อยๆ

บางครั้งพบว่าอาการที่เรารู้สึกปวดหัวอยู่บ่อยๆ นั้นไม่ใช่ไมเกรนหรือโรคอะไรแต่กลับกลายเป็นว่าเราดื่มน้ำเปล่าไม่เพียงพอ การดื่มน้ำไม่เพียงพอจะไปทำให้เกิดการขาดออกซิเจนและมีความดันโลหิตเพิ่มขึึ้นซึ่งไปทำให้เกิดการอาการปวดหัวอยู่บ่อยครั้ง แค่เพียงลองดื่มน้ำให้มากขึ้นในแต่ละวันเพื่อไปลดความตรึงเครียดในสมอง เลือดลมไหลเวียนดีขึ้นสมองก็ปลอดโปล่งโล่งสบายค่ะ

 

3.รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลียตลอดเวลา

ถ้าคิดว่าช่วงไหนรู้สึกเฉื่อยช้า อ่อนเพลีย ทำอะไรก็รู้สึกเหนื่อยง่ายไม่สดชื่นสดใสแบบไม่มีเหตุผลแล้วล่ะก็อาจจะเกิดจากการที่ร่างกายขาดน้ำก็เป็นได้ค่ะ การที่ร่างกายได้รับน้ำเปล่าไม่เพียงพอจนนำไปสู่การขาดเลือดจะต้องทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนไปทั่วร่างกาย ในกรณีที่รุนแรงอาจทำให้เวียนศีรษะและคลื่นไส้ได้ เนื่องจากเลือดและของเหลวในร่างกายจะประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ เมื่อคุณขาดน้ำเลือดก็จะเพิ่มขึ้นและหัวใจก็ต้องใช้พลังงานมากขึ้น เพื่อที่จะให้ออกซิเจนและสารอาหารเคลื่อนที่ไปทั่วระบบไหลเวียนโลหิตค่ะ

 

4.น้ำหนักขึ้น

เชื่อหรือไม่ว่ารอบเอวที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นสัญญาณบอกว่าเราดื่มน้ำเพียงพอ พบว่าการดื่มน้ำเพียง 500 มล. (ประมาณ 17 ออนซ์) สามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญของคุณได้ถึง 30% ไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไมผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจำนวนมากแนะนำการดื่มน้ำให้มากขึ้นที่เป็นหนึ่งในเคล็ดลับของการลดน้ำหนักและการรักษาน้ำหนักค่ะ อีกทั้งการที่ร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอยังสามารถส่งผลต่อระบบย่อยให้ไม่สามารถทำงานได้เท่าที่ควร แม้แต่การขาดน้ำที่ไม่รุนแรงยังมีการส่งสัญญาณไปสู่สมองและทำให้เราคิดว่าเรานั้นหิว ทั้งที่จริงสิ่งที่เราต้องการจริงๆ นั้นคือ การดื่มน้ำเท่านั้น

 

5.วิงเวียนศรีษะ

อาการวิงเวียนศีรษะ สับสน มึนงง เหม่อลอย ไม่มีสมาธิ ยากต่อการโฟกัสในสิ่งใดๆ นั้นเป็นสัญญาณทั้งหมดที่บ่งบอกว่าร่างกายของเราขาดน้ำค่ะ ด้วยร่างกายของเราต้องการขับถ่ายของเหลวทุกวันไม่ว่าจะผ่านทางเหงื่อหรือปัสสาวะ อีกทั้งยังไปกระทบต่อการทำงานของระบบร่างกายอื่นๆ จนทำให้เกิดความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์(สารอาหารหรือแร่ธาตุที่มีอยู่ในร่างกาย) และเราต้องการอิเล็กโทรไลต์เพื่อให้ร่างกายและจิตใจของเราทำงานได้อย่างถูกต้องนั่นเองค่ะ

 

6.อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย

รู้สึกว่าช่วงนี้คุณมีอารมณ์แปรปรวนง่ายหรือหงุดหงิดบ่อยขึ้นจนคนรอบข้างส่ายหน้าไหมคะ นอกจากนี้ยังมีผลกระทบอื่นๆ ที่เป็นไปได้เกี่ยวกับสมองและอวัยวะต่างๆ ที่เกิดจากการการขาดน้ำแบบต่อเนื่อง สามารถไปทำให้ความสมดุลของฮอร์โมนลดลงและทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความผิดปกติอื่นๆ ตามมาได้ค่ะ

 

7.ท้องผูก

อาการท้องผูกปัจจัยที่อาจจะเกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่มีกากใยเพียงพอหรือแม้ระทั่งการรับประทานอาหารธรรมดาทั่วไป เพื่อให้ได้อาหารที่เราได้กินอย่างถูกต้องแล้ว ระบบการย่อยหรือลำไส้ของเราก็จำเป็นต้องใช้น้ำด้วย หากของเหลวมีไม่เพียงพอต่อการย่อยอาหารก็จะไปส่งผลทำให้เกิดอาการท้องผูก มีแก๊ส และท้องอืดเช่นกันค่ะ

 

8.ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

การดื่มน้ำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทำงานที่เหมาะสมของระบบทางเดินปัสสาวะของเรา เมื่อร่างกายเริ่มขาดน้ำจะไปส่งผลให้ไตและกระเพาะปัสสาวะพยายามเก็บน้ำที่มีอยู่น้อยนิดให้นานเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่กลับพบว่าถ้าไม่มีการขับปัสสาวะออก ก็ยิ่งส่งผลให้แบคทีเรียมีเวลาในการเจริญเติบโตภายในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นภายในท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะเพิ่มขึ้นจนนำไปสู่การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในที่สุดค่ะ

 

9.ปัสสาวะมีสีเข้ม

เมื่อเราดื่มน้ำน้อย น้ำไม่เพียงพอ จนกลายเป็นร่างกายขาดน้ำนั้น สัญญาณที่จะเห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คงจะเป็นปัสสาวะที่มีสีเข้มหรือปัสสาวะน้อย ให้รู้ไว้เลยว่าตอนนี้ไตและกระเพาะปัสสาวะของเราทำงานหนักและมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบก็เป็นได้ อย่ารอช้าหยิบน้ำสักแก้วมาดื่มก็ยังดี!

 

10.ความดันโลหิตสูงหรือต่ำ

ความดันเลือดไม่ว่าจะสูงหรือต่ำจัดว่าไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ค่ะ ซึ่งถ้าเกิดการลดลงของปริมาณเลือดที่เป็นผลมาจากการขาดน้ำ อาจมีผลกระทบต่อความดันโลหิตต่ำอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไปการเพิ่มขึ้นของคอเลสเตอรอลในเลือดอาจทำให้เกิดการสะสมของหลอดเลือดและในที่สุดอาจทำให้ความดันของโลหิตเพิ่มขึ้นไปถึงระดับที่ไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพอย่างแน่นอนค่ะ

 

11.ความไม่สมดุลของระดับคอเลสเตอรอล

การขาดน้ำส่งผลให้ร่างกายของเราผลิตคอเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้นเพื่อที่จะไปขจัดผิวที่หนาขึ้นของเซลล์ และรักษาของเหลวที่มีอยู่ในตัวอันเป็นผลที่มาจากกระบวนการป้องกันนี้ โดยระดับคอเลสเตอรอลในเลือดยังเพิ่มขึ้นและสามารถกลายเป็นขาดความสมดุลได้อย่างง่ายดาย

 

12.อาการปวดข้อ

น้ำคือระบบหล่อลื่นและระบายความร้อนตามธรรมชาติของร่างกาย กระดูกอ่อนและกระดูกสันหลังของเราประกอบไปด้วยน้ำประมาณ 80% ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อมวลกระดูกของเราค่ะ ดังนั้นการไม่ทำให้ร่างกายของเราขาดน้ำก็จะช่วยให้ข้อต่อของเราสามารถรองรับแรงกระแทกจากการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน เช่น การวิ่ง กระโดด หรือหกล้มแบบไม่ทันตั้งตัว

 

13.กล้ามเนื้อเป็นตะคริวหรือกระตุกบ่อยๆ

เมื่อเรามีเหงื่อไหลออกมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างการออกกำลังกาย ซึ่งจะไปทำให้เกิดการลดระดับของโซเดียมลง โดยในช่วงที่เหงื่อมีความเข้มสูงซึ่งเป็นของเหลวเพียงอย่างเดียวที่ขับออกมาและนั่นคือการที่เราเริ่มที่จะสูญเสียน้ำ จึงเป็นผลทำให้ร่างกายมีการจัดลำดับความสำคัญของของเหลวที่เหลือในร่างกายว่าส่วนไหนควรจะทำงานก่อน และบ่อยครั้งที่ระบบไหลเวียนเลือดจะเป็นตัวที่ถูกเลือกก่อน ซึ่งหมายความว่าถัดมาก็จะเป็นกล้ามเนื้อของเรา ถ้าหากกล้ามเนื้อไม่ได้รับน้ำและโซเดียมที่เพียงพอก็จะไปส่งผลทำให้กล้ามเนื้อหดตัวหรือกระตุกนั่นเองค่ะ

 

14.ช่องปากและลมหายใจมีกลิ่น

เรื่องของกลิ่นปากใครว่าไม่สำคัญจริงไหมล่ะคะ หนึ่งในอาการที่พบบ่อยที่สุดของการขาดน้ำคืออาการปากแห้ง เนื่องจากเป็นผลที่มาจากการลดการผลิตน้ำลายที่เกิดจากการสูญเสียน้ำ น้ำลายเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นสำหรับการควบคุมจำนวนของเชื้อจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในช่องปากของเรา เมื่อร่างกายขาดน้ำและการน้ำลายก็จะไปทำให้ยีสต์และแบคทีเรียสามารถเจริญรเติบโตได้ ตามรอบฟัน เหงือก และลิ้น ซึ่งสามารถเปลี่ยนจากสุขภาพช่องปากที่ดีกลายเป็นปัญหาในช่องปากก็ว่าได้ค่ะ นอกจากสุขภาพช่องปากที่มีปัญหาจากการขาดน้ำแล้วก็ลามลงไปถึงส่วนล่างของหลอดลมนั่นก็คือระบบทางเดินหายใจ การขาดความชุ่มชื้นที่เพียงพอจะเป็นอุปสรรคต่อการผลิตน้ำมูกทำให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เมื่อกลิ่นปากไม่พึงประสงค์ระบบลมหายใจไม่สดชื่นจากการขาดน้ำก็คงไม่ต้องเดาแล้วว่าทำไมไม่มีใครอยากคุยด้วย

 

15.หิว กระหายมากขึ้น

เมื่อเรามีอาการขาดน้ำร่างกายของเราก็อาจเริ่มคิดว่าต้องการรับประทานอาหารบางอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นแบบนี้ตลอดทั้งวันทั้งคืนจนต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อหาอะไรกิน ถึงแม้ว่าการกินอาหารจะทำให้ร่างกายของคุณทำงานได้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันการได้น้ำดื่มสะอาดๆ สักแก้วสอแก้วจะไปช่วยให้อวัยวะภายในพร้อมที่จะสร้างการเผาผลาญผ่านกระบวนการอื่นๆ ในร่างกาย นอกจากนี้การขาดน้ำยังทำให้การเผาผลาญอาหารช้าลงอาจจะไปส่งผลเสียต่อร่างกายในการเผาผลาญไขมันอีกด้วยค่ะ

 

16.ปัญหาระบบทางเดินอาหาร

เราได้พูดก่อนเกี่ยวกับเมือกในปากและลำคอของเราและวิธีการรักษา hydrated ช่วยให้เมมเบรนทำงานได้อย่างถูกต้อง นี้ยังใช้กับระบบย่อยอาหารทั้งหมด หากไม่มีความชุ่มชื่นเพียงพอปริมาณและความแข็งแรงของน้ำมูกในกระเพาะอาหารจะลดลงทำให้กรดในกระเพาะอาหารมีความเสียหายที่สำคัญต่อ insides ของคุณ นี้นำไปสู่สิ่งที่เรามักเรียกว่าอิจฉาริษยาและไม่ย่อย

 

17.มีกลิ่นตัว

การมีกลิ่นตัวที่เหม็นอาจจะเป็นสิ่งที่หลายคนไม่ชอบใจนักซึ่งถ้าหากว่าช่วงไหนรู้สึกว่าทำไมเรามีกลิ่นตัวแรง การแก้ปัญหาเบื้องต้นคือย้อนถามตัวเองว่าเราดื่มน้ำเพียงพอหรือยัง? เนื่องจากน้ำจะเป็นตัวช่วยที่ทำให้เกิดการขนส่งนำของเสียให้ออกจากร่างกาย และเมื่อร่างกายมีของเสียที่ค้างไว้จำนวนมากแทนที่จะถูกจัดเก็บไว้ในเซลล์เพื่อไว้จัดการหรือกำจัดในอนาคต แต่พอเวลาผ่านไปสิ่งที่หลงลืมและเหลือก็จะถูกเปลี่ยนคุณสมบัติทางเคมีทางร่างกายให้แย่ลงได้ นอกจากนี้ผิวที่แห้งและเกิดความเสียหายที่เกิดจากการสูญเสียน้ำ จนไปก่อให้เกิดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นนั่นเองค่ะ

 

18.ป่วยนานกว่าปกติ

ใครที่เป็นหวัดเรื้อรังไม่หายสักทีการดื่มน้ำเยอะๆ เป็นทางออกที่ดีค่ะ การดื่มน้ำจะช่วยให้ร่างกายของเราขับสารพิษออกมาได้อย่างต่อเนื่อง อวัยวะของเราทำงานเพื่อกรองเอาของเสียบางอย่างออกเปรียบดั่งเครื่องจักร์ โดยถ้าคุณไม่เติมน้ำมันให้เครื่องจักย์นั้นก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง เช่่นเดียวกับการเติมน้ำให้ร่างกายที่ขาดจะช่วยให้กลไกต่างๆ ในร่างกายขับเคลื่อนได้ต่อไปค่ะ

 

 

www.flickr.com/photos/siddienam/7718668456/

www.flickr.com/photos/jonavi/37509663536/

11 อาหารที่ควรรับประทานในช่วงเป็นประจำเดือน

girls-gang-1
Source: Flickr (click image for link)

ผู้หญิงกับเรื่องของการประจำเดือนที่ต้องเจอและต้องเกิดขึ้นเป็นประจำทุกๆเดือน หลีกเลี่ยงการเป็นประจำเดือนคงไม่ได้เพราะอย่างนี้เรามาเตรียมรับมือโดยการเลือกรับประทานอาหารกันดีกว่าค่ะ ในหัวข้อที่ผ่านมาเราได้พูดถึง “อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงเป็นปรจำเดือน” ไปแล้วนะคะ มีมากมายหลายหลากจนคิดว่ากินอะไรได้บ้างเนี่ย ความจริงแล้วการรับประทานอาหารที่ถูกต้องไม่ได้เป็นแค่การช่วยบรรเทาอาการแย่ๆที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างเป็นประจำเดือน้ท่านั้นหรอกนะคะ แต่อาหารดีดีที่เราจะเลือกรับประทานต่อไปนี้ยังช่วยในเรื่องของสุขภาพร่างกายของเราอีกด้วยค่ะ ในช่วงระหว่างรอบเดือนของผู้หญิงในระหว่างที่มีประจำเดือนนั้นช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความไม่สุขสบายเอาซะเลย ใช่ไหมล่ะคะ ในบางคนจะต้องมีอาการปวดท้อง ปวดหลัง มีความหงุดหงิดง่าย อารมณ์ก็ขึ้นๆลงๆ แถมยังรู้สึกว่าตัวเองอ้วนขึ้นอีก ความอึดอัดจากฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายในระยะนั้นของเราเกิดการบวมน้ำ และไหนจะยังปวดหัวไม่สบายอ่อนเพลีย บางทีหนักจนไม่สามารถทำกิจกรรมใดๆได้เลย แน่นอนล่ะเจอแบบนี้เข้าก็คงไม่มีใครแฮปปี้หรอกจริงไหมคะ เนื่องจากอาการไม่สุขสบายเหล่านี้เรียกรวมๆว่า PMS (Pre-menstrual syndrome) อาการเหล่านี้เกิดขึ้นประมาณ 7-10 วันก่อนมีประจำเดือน จากผลการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความเครียด การรับประทานอาหารด้วยเช่นกัน โดยอาการของ PMS จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

  1. อาการทางด้านอารมณ์ นับว่าเป็นปัญหาหลักของผู้หญิงเลยล่ะค่ะ เนื่องจาก PMS จะไปทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด ขี้เหวี่ยงขี้วีนง่ายมากกว่าปกตินั่นเอง นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการเครียดและอาการซึมเศร้าก็ส่งผลเสียต่อตัวเองและยังทำให้คนรอบข้างไม่กล้าเข้าใกล้อีกค่ะ
  2. อาการทางกาย อาการอาจมากหรือน้อยไม่เท่ากันในแต่ละบุคคล เช่น คัดตึงเต้านม ปวดท้องน้อย ปวดหลัง ปวดหรือเวียนศีรษะ คลื่นไส้ สิวขึ้น น้ำหนักขึ้น ตัวบวม แน่นอนว่าอาการเหล่านี้ลดประสิทธิภาพการทำงานในผู้หญิงวัยทำงานเป็นอย่างมาก

และการเลือกรับประทานอาหารที่่เหมาะสมก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยบรรเทาอาการต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของการเป็นประจำเดือนได้ค่ะ เดี๋ยวเรามาดูกันว่าเราควรรับประทานอะไรบ้าง 😀

 

 

11 อาหารที่ควรรับประทานในช่วงเป็นประจำเดือน

mix-berry-1
Source: Flickr (click image for link)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1.ผลไม้

แน่นอนค่ะ ว่าผลไม้คงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆอย่างแน่นอน นอกจากจะช่วยเรื่องต่างๆอย่างที่เราก็ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าขึ้นชื่อว่าผลไม้ก็สามารถทานได้หมดเพราะบางอย่างก็ไม่ไหวมั้งคะที่่จะทานในช่วงนี้ ดังนั้น ผลไม้ที่อยากจะแนะนำให้เลือกรับประทานในช่วงที่เป็นประจำเดือนก็คือ แอปเปิ้ล องุ่น กล้วย ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ วิตามินซีและน้ำตาลธรรมชาติจากผลไม้จะทำให้คุณผ่อนคลาย อารมณ์ดีไม่หงุดหงิดง่ายอีกทั้งลดอาการปวดเกร็งตามร่างกาย ผลไม้เหล่านี้นอกจากให้พลังงานแคลอรี่ต่ำ วิตามินซีและเส้นใยสูงแล้ว ในส่วนของแอปเปิ้ลและองุ่นยังมีแมงกานีสที่สูงจะไปช่วยลดปริมาณฮอร์โมน เอสโตรเจน ซึ่งจะทำให้ช่วยลดอาการฮอร์โมนแปรปรวนในช่วงปลายของรอบวงจรประจำเดือนลง ลดการปวดท้องและปวดหลังในช่วงเป็นประจำเดือนได้ดีขึ้น และในขณะที่โพแทสเซียมและวิตามินบี 6 ที่อยู่ในกล้วยก็ยังช่วยฟื้นฟูร่างกายจากความอ่อนเพลียได้ค่ะ

 

2.เนื้อปลา

เนื้อปลา นอกจากเป็นเนื้อสัตว์ประเภทไขมันต่ำและมีกรดอะมิโนจำเป็นสูงยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายโดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก เช่นปลาทูน่า และ ปลาแซลมอน เป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณค่าที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง ซึ่งกรด EPA และ DHA ที่มีคุณสมบัติช่วยสร้างสารที่จะช่วยลดอาการบวมน้ำภายในร่างกาย รวมถึงช่วยลดอาการปวดเกร็งภายในช่องท้องซึ่งเกิดจากการบีบตัวของมดลูกได้เป็นอย่างดี อีกทั้งทำให้ย่อยง่าย ช่วยลดปัญหาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ หรืออาการท้องเสียในช่วงประจำเดือนมาวันแรกๆค่ะ

 

3.น้ำ

‘’น้ำเปล่า’’ ที่เราดื่มกันนี่แหละค่ะ จะเป็นตัวช่วยที่ดีในเรื่องของอาการบวมน้ำรวมถึงการเติมน้ำให้กับร่างกายที่มีการสูญเสียเลือดในช่วงของวันนั้นค่ะ ถึงแม้ว่าในช่วงก่อนและหลังมีประจำเดือนฮอร์โมนเอสโตรเจนจะทำให้ตัวบวม อึดอัด และนั่นก็คือเหตุผลที่น้ำเปล่ามีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง เพราะไหนจะเป็นตัวที่ขับโซเดียม หรือเกลือที่เป็นสาเหตุให้ตัวบวมออกมา เราจึงควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวันค่ะ

 

4.ผักใบเขียวเข้ม

ผักใบเขียวเข้มจำพวก ผักคะน้า กวางตุ้ง สาหร่าย ตำลึง ผักโขม ผักปวยเล้ง นั้นจะให้ธาตุเหล็ก วิตามินบี 6, บี 12, บีรวม และกรดโฟลิก ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเลือดสูงเนื่องจากช่วงที่เราเป็นประจำเดือนนั้นร่างกายของเราต้องการธาตุเหล็กสูง ในขณะที่ผักใบเขียวอย่างตำลึงนอกจากจะมีวิตามินเอ ยังมีแมกนีเซียมที่มีส่วนช่วยบรรเทาอาการปวดเกร็งภายในช่องท้องช่วงมีประจำเดือนได้อีกด้วย และเส้นใยจากผักจะไปช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกในระหว่างที่เป็นประจำเดือนค่ะ

 

5.ธัญพืช

อาหารประเภทธัญพืชต่างๆ นานาชนิด จำพวก ข้าวบาเลย์ ข้าวโอ้ต คีนัว นอกจากจะทำให้ร่างกายได้รับไฟเบอร์อย่างเพียงพอที่จะทำให้อยู่ท้องได้นานขึ้น ลดอาการหิวบ่อยกินจุบจิบทั้งยังช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้ อาหารดังกล่าวยังมีส่วนช่วยในการดักจับฮอร์โมนเอสโตรเจนส่วนเกินให้หมดไปจากร่างกายได้ด้วยค่ะ

 

6.ไข่  

อาหารที่มีแมกนีเซียมสูงอย่าง ไข่ ควรเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของอาหารที่ควรรับประทานในช่วงระหว่างเป็นประจำเดือนค่ะ ได้ทั้งโปรตีนที่ดีจากไข่และไขมันต่ำสามารถประกอบอาหารได้หลากหลายนี้ ความที่เป็นโปรตีนย่อยง่ายจึงลดลมในกระเพาะลำไส้ ลดอาการปวดท้องได้ค่ะ

 

7.ข้าวและขนมปังไม่ขัดสี

ข้าวและขนมปังจำพวก ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอรร์รี่ หรือขนมปังโฮลวีต เนื่องจากเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจึงทำให้ร่างกายค่อยๆย่อยสลายน้ำตาลได้อย่างช้าๆ ทำให้ระดับน้ำตาลในร่างกายคงที่ อาหารกลุ่มนี้จึงช่วยลดอาการหงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน และลดอาการซึมเศร้า วิตกกังวล อ่อนเพลียได้ค่ะ

 

8.น้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง

น้ำเต้าหู้หรือนมถั่วเหลืองที่เราเห็นตามท้องตลาด หาซื้อง่ายๆแค่เดินออกมาปากซอย อาหารที่หารับประทานได้้ง่ายและมีประโยชน์อย่างนี้ อย่าได้มองข้ามไปเชียวค่ะโดยเฉพาะสาวๆที่มีอาการปวดท้องประจำเดือน เนื่องจากน้ำเต้าหู้และนมถั่วเหลืองมีสารไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) ที่ชื่อ เจนนิสทีน (Genistein) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศหญิง (Anti-Estrogen) อย่างอ่อน จึงช่วยลดและบรรเทาาอาการปวดท้องประจำเดือนได้ค่ะ

 

9.ปลาเล็กปลาน้อย

ปลาเล็กปลาน้อยเป็นอาหารกลุ่มแคลเซียม (Calcium) ที่ควรเลือกรับประทานในช่วงเป็นประจำเดือน โดยที่ไม่ใช่กลุ่มชีสหรือนมวัวนะคะ อาหารแคลเซียมจากปลาเล็กปลาน้อยจะทำงานคู่กับวิตามินบี 12 (Cobalamin) อาหารในกลุ่มนี้ลดอาการอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย หรือซึมเศร้าอีกทั้งช่วงก่อนและระหว่างมีประจำเดือนนั้นร่างกายของเราจะสูญเสียแคลเซียมทำให้เป็นตะคริวได้ง่าย ดังนั้นควรเพิ่มการรับประทานแคลเซียมเพื่อลดอาการเป็นตะคริวค่ะ

 

10.ช็อกโกแลต

สาวๆหลายคนน่าจะยิ้มกันใหญ่เมื่อเห็นว่า ’’ช็อกโกแลต’’ นั้นอยู่ในลิสของหัวข้อนี้ เห็นไม่ผิดค่ะแต่ก็ขอให้เป็น ดาร์กช็อกโกแลตนะคะเนื่องจากดาร์กช็อกโกแลตเป็นอาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียมและยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นกับรอบประจำเดือนของผู้หญิง ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนของคุณสาว ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยขณะที่สารต้านอนุมูลอิสระในช็อกโกแลตก็ยังเข้าไปช่วยเสริมสร้างฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) ฮอร์โมนที่ทำให้คุณรู้สึกอารมณ์ดี๊ดี แถมยังช่วยลดอาการเหวี่ยงวีนในช่วงเป็นประจำเดือนได้อีกด้วยแน่ะ

 

11.ถั่วเมล็ดเปลือกแข็ง

ในช่วงของการเป็รประจำเดือน ช่างเป็นช่วงที่อะไรๆ ก็อยากกินไปหมด สามารถกินได้ทั้งวันหิวได้ทั้งวันยันก่อนนอน เพราะอย่างนี้เราก็ควรที่จะเลือกอาหารมื้อว่างแก้อารมณ์หิวบ่อยโดยการเลือกรับประทานของทานเล่นประเภทถั่วกันค่ะ เช่น เมล็ดอัลมอลด์ แมคคาดีเมีย ถั่วพิชตาชิโอ หรือ ถั่วปากอ้าต่างๆ เนื่องจากถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืชต่าง ๆ นั้นอุดมไปด้วยสารอาหารแบบจัดเต็ม รับประทานสัก 1 กำมือ ก็เพียงพอ และควรเลี่ยงถั่วอบเกลือ หรือเคลือบน้ำตาล เพราะจะยิ่งทำให้อ้วนได้ง่ายขึ้นนะคะสาวๆ

 

 

www.flickr.com/photos/michaeljzealot/8187468390/

www.flickr.com/photos/68711844@N07/15204309883/