Browse Tag: อะโวคาโด

13 ผลไม้แสนอร่อยที่กินแล้วไม่อ้วน

mixed-fruits-1
Source: Flickr (click image for link)

ถ้าจะพูดถึง ”ผลไม้” แล้วถือว่าประเทศไทยเราเป็นประเทศที่โชคดีมีผลไม้ให้เลือกรับประทานกันตลอดฤดูการอยู่แล้ว นอกจากรสชาติที่แสนจะหอมหวานอร่อย ชื่นใจแล้วนั้นยังจะหาทานได้ง๊ายง่ายทั่วไปอีกด้วย เราคงทราบกันดีนะคะว่าผลไม้นอกจากอร่อยแล้วยังมีวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ มากมายแถมยังเต็มไปด้วยสารอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันอีกด้วย และที่สำคัญถ้าคุณเลือกรับประทานดีๆ เจ้าผลไม้ที่แสนอร่อยนี่แหละจะเป็นอีกทางเลือกของสาวๆที่อยากจะลดความอ้วนได้อีกด้วย การรับประทานผลไม้เพื่อรักษาหุ่นหรือลดน้ำหนักนั้น นับเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการอดอาหารหรือกินยาลดความอ้วน เพราะการทานผลไม้นั้นจะทำให้เราได้รับไฟเบอร์และวิตามินมากมายในปริมาณที่พอเหมาะกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวันแถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วยนั่นเอง วันนี้ HealthGossip จึงนำข้อมูลเหล่านี้มาบอกสาวๆ หรือคนที่กำลังอยากลดน้ำหนักแต่ก็อยากรับประะทานของอร่อยๆด้วยเหมือนกัน งั้นอย่ารอช้ากันเลยรีบไปดูกันว่ามีผลไม้อะไรบ้าง!

 

13 ผลไม้ที่แสนอร่อยที่กินแล้วไม่อ้วน!

 

1.แอปเปิ้ล

ราชาผลไม้ลดความอ้วน ในแอปเปิ้ลมีน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ง่ายต่อการดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายในไม่ถึง 10 นาที จึงช่วยลดความอยากอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ดี อีกทั้งกากใยจากเปลือกแอปเปิ้ลยังช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายแอปเปิล 1 ลูก ยังมีแคลอรีเพียงแค่ 59 แคลอรี แถมยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย โดยเฉพาะ เพกติน มีคุณสมบัติพองตัว มันจึงเพิ่มกากใยอาหาร ดี ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยดักจับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมยังช่วยกำจัดสารพิษในร่างกายอีกด้วย การรับประทานแอปเปิ้ลเพื่อลดน้ำหนักนิยมรับประทานแทนอาหารมื้อเย็น แต่ทั้งนี้ต้องรับประทานทั้งเปลือกเพราะถ้าปลอกเปลือกออกสารอาหารสำคัญต่างๆ ก็จะลดน้อยลงไปด้วย

 

2. เบอร์รี่

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ยังไงก็ยังมาวินอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่  แบล็กเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ และราสเบอร์รี่ ที่เต็มไปด้วนสารอาหารและมีน้ำตาลน้อยกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ เช่นมะม่วงหรือกล้วย นั่นคือเหตุผลที่ผลเบอร์รี่มักถูกยกย่องให้เป็นผลไม้เผาผลาญไขมันที่ดี ผลเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงและมีแคลอรีต่ำแถมยังหวานแบบมีประโยชน์ เส้นใยในผลเบอร์รี่ช่วยให้อิ่มเร็ว อิ่มนาน และยังมีวิตามินแร่ธาตุ สารต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วยค่ะ โดยเฉพาะ สตรอเบอร์รี่นั้นถ้ากินในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายลดไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมันสามารถควบคุมปริมาณแคลอรีแถมยังให้วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายด้วย สตรอเบอร์รี่มีแคลอรีเพียง 50 แคลอรี และ มีน้ำตาล 7 กรัม แต่มีเส้นใยอาหารถึง 3 กรัม แต่สิ่งที่สุดยอดเกี่ยวกับสตรอเบอร์รี่ (และผลเบอร์รี่ทั้งหมด) คือ มันตอบสนองความต้องการของหวานและน้ำตาลของคุณได้เป็นอย่างดี แถมยังมีสารอาหารที่น่าประทับใจอื่นๆ อีกมากมาย

 

3. มะละกอ

ในมะละกอสุกนั้นจะมีไขมันน้อยมากจนเรียกว่าไม่มีเลยก็ได้และยังให้พลังงานไม่ถึง 50 แคลอรี่ต่อ 100 กรัมดังนั้นมะละกอจึงเป็นผลไม้ลดน้ำหนักอีกชนิดหนึ่งที่ผู้คนนิยมรับประทาน นอกจากนี้ การกินเนื้อมะละกอสุก ช่วยเป็นยาระบายอ่อนๆ เพราะไปช่วยเพิ่มจำนวนกากไยอาหาร ดังนั้นเนื้อผลสุกของมะละกอจะช่วยระบายอ่อนๆ แก้ท้องผูก ให้วิตามินซีสูง เสริมสร้างระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีอีกด้วยค่ะ

 

4. ฝรั่ง

สุดยอดผลไม้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามินซีชนิดนี้ ช่วยให้คุณลดความอ้วนได้ไม่ยาก เพราะฝรั่งเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ แถมยังเคี้ยวเพลินอีกต่างหาก จึงเหมาะกับสาว ๆ ที่อยากกินจุบกินจิบเรื่อยๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความอ้วนได้แล้ว วิตามินซีในฝรั่งยังช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ไร้ริ้วรอยอีกด้วย เพราะฉะนั้น หิวเมื่อไหร่ก็อย่าลืมคว้าฝรั่งมาทานแทนขนมกรุบกรอบกันนะคะ และถ้าให้ดี ควรทานแต่ฝรั่งเปล่าๆ เท่านั้นล่ะ อย่าไปเผลอเคยตัวจิ้มพริกเกลือ พริกน้ำตาล เด็ดขาด เพราะจะทำให้อ้วนได้นะ

 

5. แก้วมังกร

เป็นผลไม้ที่มีกากใยสูงและแคลอรีต่ำแถมยังมีรสหวานอร่อย หลายๆ คนจึงเลือกรับประทานแก้วมังกรเป็นอาหารเย็นหรือทานรวมกับผักสลัดอื่นๆ เพื่อช่วยลดน้ำหนัก โดยไม่ต้องห่วงว่าความหวานจะไปเป็นไขมันสะสมในภายหลัง และนอกจากลดน้ำหนักแล้ว ผลพลอยได้จากแก้วมังกรที่คุณสาวๆ ไม่ควรพลาดอีกเช่นกันก็คือ แก้วมังกรเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีวิตามินซีสูงมาก ดังนั้นจึงช่วยบำรุงผิวพรรณไปในตัวแถมยังช่วยกระตุ้นต่อมน้ำนมดีต่อคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตรด้วย

 

6. มะเขือเทศ

เป็นพืชชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินซีสูงและให้วิตามินเอราว 1 ใน 3 ของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีโปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด ส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งและโรคหัวใจ ให้พลังงาน 20 kcal ต่อ 1 ผล

 

7. อะโวคาโด

เป็นที่นิยมในแถบทวีปอเมริกาและยุโรป แม้ว่าอะโวคาโค 100 กรัมให้พลังงาน 189 แคลอรี่และ อะโวคาโด 1 ขีด มีไขมัน 19.3 กรัม แต่ไขมันที่มีนั้นเป็น กรดไขมันชนิดที่ดี ที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในอะโวคาโด้ ไขมันที่ไม่อิ่มตัวนั่นหมายความว่ามันไม่ทำให้คุณอ้วนขึ้นเพราะจะช่วยเผาผลาญไขมันอิ่มตัวในร่างกาย มีคุณสมบัติช่วยลดไขมันร้ายในหลอดเลือด ทำให้โอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบและหัวใจวายลดลง มีสารอาหารสูงและหลากหลายมีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก เมื่อเทียบกันแล้วอะโวคาโดยังมีโพแทสเซียมมากกว่ากล้วยถึง 60% นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอ, บี, ซี, อี และเป็นผลไม้ที่คาร์โบไฮเดรตต่ำมากด้วยค่ะ

 

8. ผลไม้ตระกูลส้ม

ไม่ว่าจะเป็นส้มโอ ส้มเขียวหวาน นั้นนอกจากช่วยป้องกันโรคหวัดและการติดเชื้อแบคทีเรียแล้วยังลดปริมาณโคเลสเตอรอลในโลหิต ช่วยระบบย่อยอาหารของร่างกาย ระบายได้มีแก้อาการท้องผูก และมีคุณค่าทางอาหาร ให้วิตามินซีสูง ให้พลังงาน 60 kcal สำหรับส้มเขียวหวาน 2 ผลกลาง และให้พลังงานที่เท่ากันสำหรับส้มโอ 2 กลีบ 

 

9. เกรปฟรุต

ผลไม้ที่ดีที่สุดในการลดไขมัน ช่วยให้คุณกินแคลอรีน้อยกว่าที่คุณเผาออกไป ตัวอย่างเช่น คุณกินเกรปฟรุตครึ่งลูกก่อนมื้ออาหาร จะช่วยให้น้ำหนักคุณลดลงอย่างเหลือเชื่อ นักวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า การกินเกรปฟุตครึ่งลูกก่อนมื้ออาหารนั้น จะช่วยให้คุณลดแคลอรีได้ถึง 150 แคลอรีต่อวัน แถมเกรปฟรุตครึ่งลูกมีแคลอรีอยู่เพียง 39 แคลอรีเอง ดังนั้นจึงเหมาะกับคนที่กำลังลดความอ้วน

 

10. กีวี่

กีวี่เป็นผลไม้ผลรีรูปไข่ มีขนเล็กๆปกคลุมทั่วผล เนื้อสีเขียว บางพันธุ์เนื้อสีเหลือง ชุ่มน้ำ รสเปรี้ยวอมหวาน เป็นผลไม้ที่เก็บไว้ได้นาน สารแอกทินิดีนในกีวีช่วยเสริมภูมิคุ้มกันทำให้หัวใจแข็งแรง มีแคลอรี่ต่ำ ให้พลังงาน 60 kcal ต่อ 100 g

 

11. สับปะรด

สับปะรดนอกจากให้วิตามินซีสูงแล้วยังมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีนที่มีชื่อบรอมีเลน (bromelain) ช่วยย่อยโปรตีนไม่ให้ตกค้างในลำไส้และมีเกลือแร่ วิตามินซีจำนวนมาก แถมมีส่วนช่วยต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ให้พลังงาน 50 kcal ต่อ 100 g

 

12. ผลไม้กลุ่มแตง

ไม่ว่าจะเป็น แตงโม, แตงไทย ล้วนเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ โดยเฉพาะแตงโมเป็นผลไม้ที่มีคุณสมบัติเย็น จะช่วยลดอาการไข้ คอแห้ง บรรเทาแผลในปากแล้วก็ล้างพิษให้กับร่างกาย ให้พลังงาน 30 kcal ต่อ 100 g

 

13. องุ่น

องุ่นมีรสหวาน เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการน้ำตาล และช่วยการล้างพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากองุ่นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ช่วยล้างพิษในตับ ไต และระบบการย่อยอาหารอย่างได้ผล  มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ องุ่นมีน้ำตาลตามธรรมชาติสูง จึงมีค่าดัชนีไกลเซมิกสูง แต่ยังเป็นอาหารที่ดีสำหรับผู้ลดน้ำหนัก องุ่นพวงเล็กประมาณ 12-15 ผล สามารถใช้เป็นของหวานหรือของว่างที่แสนอร่อยได้อีกด้วยค่ะ

 

strawberry-frappe-1
Source: Flickr (click image for link)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตามการรับประทานผลไม้อย่างเดียวนั้นก็คงจะไม่สามารถช่วยลดความอ้วนได้ซะทีเดียวเลยนะคะ เราก็ควรที่จะออกกำลังกายและรับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ นอกจากน้ำหนักจะลดลงได้แล้วโรคร้ายยังไม่กล้ามากล้ำกรายคุณอีกด้วยค่ะ และบางทีนั้นสาวๆก็อาจจะยังไม่รู้อีกด้วยว่าการดื่มน้ำผลไม้คั้นนั้นแม้จะไม่ใส่น้ำตาล แต่แท้จริงแล้วก็มีน้ำตาลธรรมชาติจำนวนมาก ซึ่งถ้าดื่มแล้วไม่ออกกำลังกายเผาผลาญทิ้งไป ก็อาจทำให้อ้วนมากกว่าการดื่มนมจืดที่พร่องมันเนยเสียอีก และปริมาณน้ำตาลที่นักโภชนาการแนะนำให้รับประทานต่อวันก็คือ ไม่ควรเกิน 4 ช้อนชาสำหรับเด็ก และ 6 ช้อนชาสำหรับผู้ใหญ่ หากเราดื่มน้ำผักผลไม้รวมพร้อมดื่ม 1 แก้ว หรือประมาณ 200 มิลลิลิตร เราจะได้น้ำตาลประมาณ 4 ช้อนชา ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อรวมกับอาหารทั้งวันที่รับประทาน ยังไงก็หวังว่าจะเป็นความรู้ให้สาวๆได้เลือกทานให้ถูกต้องกันนะคะ 😀

 

www.flickr.com/photos/clotee_allochuku/14385353064/

www.flickr.com/photos/lythienhoang/19023673622/

Collagen คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร

pastel-skin
Source: Flickr (click image for link)

วันนี้ HealthGossip เอาความรู้ที่มาพร้อมกับความสวยและความงาม มาเสริฟกันอีกแล้วววว ว เป็นอะไรน่ะหรอ ก็จะอะไรอีกล่ะเนอะยังคงวนเวียน ต้วมเตี้ยมกันอยู่กับความสวยความงามและสุขภาพเหมือนเดิมนั่นเองค่าา และวันนี้ก็จะมาพูดถึง “คอลลาเจน” ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่คอลลาเจนเต็มไปหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นแบบผงชงดื่ม แบบเครื่องดื่มผสมคอลลอเจน ไหนจะเป็นแคปซูลในรูปแบบอาหารเสริมและสมัยนี้ในครีม เครื่องสำอางค์ โลชั่น ลิปสติก หรือแม้แต่ลูกอมขนมต่างๆก็ยังมีคอลลาเจนผสมอีกแน่ะ! และไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ถ้าขึ้นชื่อว่ามีคอลลาเจน สาวๆจะให้ความสนอกสนใจกันขึ้นมาเลยที่เดียวเชียวเลยใช่ไหมล่ะค่ะ ก็เพราะเรารู้และเข้าใจว่ามันดีและช่วยเรื่องความสวยความงามนั่นเอง แต่เรารู้จักเจ้าคอลลาเจนนี้ดีแค่ไหนกันล่ะ แล้วมันช่วยให้เราสวยขึ้นจริงหรอและมันช่วยเราแค่เรื่องความสวยความงามเท่านั้นเอง? แต่ความเป็นจริงแล้วรู้ไหมคะว่าคอลลาเจนอยู่ในร่างกายของเราเองนี่แหละค่ะแต่ทำไมเราถึงต้องการคอลลาเจนจากที่อื่นมากมายขนาดนั้นล่ะ ้าอย่างนั้นเรามาทำความรู้จักกับเจ้าคอลลาเจนให้มากขึ้นกันดีกว่าเนอะ อย่างน้อยก็เพื่อตัวเราและไหนยังจะสามารถเผื่อแผ่บอกกับคนอื่นได้อีก ก็ไม่ว่านะ ไม่หวง 🙂

 

ทำไมถึงได้เรียกว่า “คอลลาเจน”

คอลลาเจน (Collagen) มาจากภาษากรีก ซึ่งมีความหมายว่า กาว และคอลลาเจนนั้นเองที่ทำหน้าที่เป็นการเชื่อมเซลล์แต่ล่ะเซลล์ในร่างกายเข้าไว้ด้วยกัน คอลลาเจนนั้นอยู่ใต้ผิวหนังที่อยู่ในชั้นผิวหนังแท้ของเราโดยทำหน้าที่เสริมความเรียบตึงของผิวหนัง ทำให้ผิวแข็งแรงและเรียบเนียน

 

คอลลาเจนคืออะไรนะ

โดยทั่วไปแล้วสาวๆจะรู้จักกันดีว่าคอลลาเจนนั้นจะช่วยให้ผิวเราเต่งตึง เด้งดึ๋งและกระชับขึ้น เพราะอะไรน่ะหรอ ก็เพราะว่าคอลลาเจนเป็นโปรตีนธรรมชาติที่อยู่ในร่างกายเราเนี่ยแหละค่ะ อีกทั้งคอลลาเจนยังเป็นองค์ประกอบหลักของผิวหนังที่เป็นโปรตีนที่มีความสำคัญอย่างมากอีกด้วยนะ และเจ้าคอลลาเจนไม่เพียงเป็นองค์ประกอบของผิวหนังเท่านั้นนะคะแต่ยังทำหน้าที่เชื่อมเซลล์ทุกๆเซลล์ในร่างกายไว้ด้วยกันเพื่อทำให้เกิดเป็นเนื้อเยื่อ เป็นอวัยวะ และร่างกายที่สมบูรณ์ขึ้นมาได้นั่นเอง ดังนั้นคอลลาเจนจึงมีปริมาณถึง 1 ใน 3 ของโปรตีนในร่างกายเพราะเป็นโครงสร้างในส่วนที่ยืดหยุ่นของร่างกายนั่นเองค่ะ

คอลลาเจนนั้นมีสารสำคัญ 2 ชนิด นั่นก็คือ Proteoglycan และ Glycosaminoglycans ที่เป็นโปรตีนที่เป็นโครงสร้างหลักของผิว เส้นผม เล็บ กระดูก ข้อต่อ ตลอดจนผนังหลอดเลือด และในผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) จะประกอบด้วยคอลลาเจนถึง 75% ความอุดมสมบูรณ์ของคอลลาเจนจึงมีส่วนสำคัญในการทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น นุ่มนวลมีความยืดหยุ่นดีทำให้ผิวเต่งตึงกระชับ ซึ่งเป็นคุณลักษณะของผิวเยาว์วัยที่ไม่เหี่ยวย่นไม่มีริ้วรอยและตีนกา เป็นผิวที่ทุกคนเป็นเจ้าของในช่วงวัยเด็กและวัยสาวก่อนอายุจะย่าง 30 ทั้งนี้เพราะภายในชั้นผิวของเรามีความอุดมสมบูรณ์ของคอลลาเจนสูงม๊ากก แต่เมื่ออายุมากขึ้น เส้นใยคอลลาเจนจะเสื่อมสลายและมีปริมาณลดลง ทำให้ชั้นผิวหนังยุบตัวลงเป็นต้นเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอย เช่น รอยตีนกามาเยือนบ้าง กล้ามเนื้อรอบดวงตาเหี่ยวย่นบ้าง แถมผู้หญิงยังมาแก่ง่ายกว่าผู้ชายอีก และอัตราการลดลงอย่างต่อเนื่องของคอลลาเจนในผิวหนังชั้นหนังแท้จะมีผลให้ผิวพรรณค่อยๆ สูญเสียความชุ่มชื้น นุ่มเนียนและยืดหยุ่น ผิวที่เคยสวยเต่งตึง นุ่มนวล ค่อยๆ แห้งกร้าน ผิวจะยุบตัวลงทุกปีทุกปีทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและตีนกา กว่าคุณจะอายุ 45 ปี ระดับคอลลาเจนในชั้นผิวลดลงไปแล้วกว่า 30% แน่ะ!

เศร้าใจจัง จะมีวิธีสต๊าฟการลดลงของคอลลาเจนบ้างมั้ยนะ? ขอตอบเลยว่าไม่มีวิธีนั้นค่ะ แต่ถ้าจะมีก็จะมีวิธีที่สามารถช่วยชะลอความเสื่อมของผิวพรรณและรักษาไว้ให้ดูดีให้นานที่สุดเท่านั้นเองแหละค่ะ โดยการวิจัยด้านโภชนาการได้ค้นพบว่า การรับประทานคอลลาเจนที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกเป็นอาหารเสริมประจำอย่างต่อเนื่อง สามารถช่วยเสริมคอลลาเจนที่พร่องลงตามวัยที่เพิ่มขึ้นคืนกลับให้ร่างกาย สามารถช่วยป้องกันและชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น รอยตีนกา ความแห้ง กระด้าง ช่วยผิวพรรณให้มีความชุ่มชื้น นุ่มนวลเรียบเนียนคงความยืดหยุ่นของผิวไว้ได้ค่ะ

 

คอลลาเจนมีหลายชนิด

ชนิดที่หนึ่ง พบที่ผิวหนังที่จะเจริญเต็มที่ กระดูกและเอ็น

ชนิดที่สอง พบที่กระดูกอ่อน

ชนิดที่สาม พบที่ผิวหนังของทารกหรือผิวหนังที่เริ่มมีการสร้างใหม่ เช่น ผิวหนังที่เป็นแผลและเริ่มมีการสร้างคอลลาเจนใหม่ นอกจากนี้ยังพบที่เส้นเลือดและเดินอาหาร

ชนิดที่สี่ พบที่เยื่อหุ้มเซลล์

ชนิดที่ห้าและหก พบได้ทั่วไป

ส่วนมากเราจะรู้จักคอลลาเจนในด้านความงาม นั่นก็คือคอลลาเจนผิวหนัง นั่นก็คือคอลลาเจนชนิดที่หนึ่งและสาม ในวัยเด็กเรานั้นจะมีคอลลาเจนชนิดที่สามมากที่สุดผิวของเด็กจึงมีความเนียนนุ่ม เด้งดึ๋งกว่าวัยอื่นๆนั่นเองค่ะ และพอเราเริ่มโตขึ้นคอลลอเจนชนิดที่หนึ่งก็จะถูกสังเคราะห์ขึ้นมาแทนที่จนกระทั่งอายุ 25 ปีขึันไป คอลลาเจนก็จะเริ่มเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆโดยลดลงในอัตรา 1.5% ต่อปี และเมื่อมีการสูญเสียคอลลาเจนมากกว่าการผลิตขึันมาใหม่ ผิวหนังจึงขาดความกระชับตึงและยุบตัวลงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสาเหตุของริ้วรอยและผิวพรรณที่แห้งกร้านก็ตามมา แต่รู้กันไหมคะว่านอกจากนี้ยังมีคอลลาเจนอีกหลายชนิด เท่าที่พบอย่างน้อยมี  19 ชนิดด้วยกัน ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีมากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่ชนิดของอวัยวะ

 

ปัจจัยที่ทำให้คอลลาเจนเสื่อมเร็วขึ้น

นอกจากการเสื่อมสลายของคอลลาเจนที่เราไม่เคยต้องการให้เกิดขึ้นแล้วก็ดันมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้คอลลาเจนเราเสื่อมเร็วขึ้นไปอีกเช่น

  1. รังสียูวีจากแสงแดด
  2. บุหรี่
  3. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  4. สารปนเปื้อนในอาหาร
  5. อนุมูลอิสระ
  6. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

แล้วอย่างนี้ถ้านำคอลลาเจนมาทาเลยล่ะ จะช่วยได้ไวทันใจกว่าการรับประทานมั้ยนะ เพราะจะได้ซึมเข้าชั้นผิวหนังโดยตรงได้ไปเลยโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการสังเคราะห์ใดๆทั้งสิ้น

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า คอลลาเจนโปรตีน เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างโมเลกุลใหญ่มาก ดังนั้นคอลลาเจนไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ด้วยการทา ส่วนครีมต่างๆ ที่มีขายตามท้องตลาดที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน ก็จะเป็นการผลักคอลลาเจนให้อยู่ได้แค่ชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น แต่เนื่องจากคอลลาเจนมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ประมาณ 30 เท่าของน้ำหนักตัวมันจึงทำให้ผิวหนังกำพร้าชุ่มชื้น แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยได้อย่างแท้จริง เพราะการเสริมสร้างคอลลาเจน จะต้องเข้าสู่ด้วยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังและการรับประทาน โดยในขณะที่การฉีดจะเสริมคอลลาเจนนั้นก็ได้เพียงเฉพาะที่เท่านั้น เพราะอย่างนั้น “การรับประทานน่าจะเป็นวิธีที่ดีและง่ายที่สุด”

 

คอลลาเจนจากอาหาร

สาวๆรู้มั้ยยย ในอาหารที่เรารับประทานทุกวี่ทุกวันนี้ก็มีคอลลาเจนนะ ! เราใยถีงไม่ทานกันเล่า บางคนอาจยังไม่ทราบว่ามีใช่ไหมล่ะคะ หรือทราบอยู่แล้วว่ามีแต่ไม่ทราบว่ามันอยู่ในอาหารชนิดไหน อะไรบ้าง ใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวมาดูกันดีกว่ามีอะไรบ้าง

ถั่วเหลือง ไม่ว่าจะเป็นนมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้นอกจากจะหาทานง่ายแล้วแถมยังเป็นกำไรกับสาวๆที่ชอบดื่มเป็นชีวิตจิตใจอีกด้วย เพราะนอกจากจะได้รับโปรตีนมาเสริมสร้างกล้ามเนื้อแล้ว ในถั่วเหลืองยังมีสารกลุ่มไอโซฟลาโวนที่มีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เหมาะสำหรับเพศหญิง ทานแล้วยังช่วยให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวลได้อีกด้วยค่า

ผักใบเขียวเข้ม นอกจากจะมีวิตามินซีสูงมากๆแล้วก็ยังช่วยส่งเสริมการนำโปรตีนมาบำรุงร่างกาย และเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง พบมากในผักปวยเล้ง ผักโขม คะน้า หน่อไม้ฝรั่ง ผักกาดหอม เป็นต้น

ผลไม้สีแดง แหล่งคอลลาเจนชัันดี และมีสารไลโคปีนที่เด่นในเรื่องแอนติออกซิแดนซ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคอลลาเจน พริกหยวกแดง หัวบีท มะเขือเทศ หรือลูกเบอร์รี่สายพันธุ์ต่างๆ ล้วนดีต่อผิวทั้งนั้น

อาหารที่ทะเลที่มีโอเมก้า อาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนและโอไมก้า ไม่ว่าจะเป็น ปลาแซลมอล ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล ถั่วอัลมอลด์ และอะโวคาโด เป็นต้น

 

ใครจะรู้ล่ะค่ะว่าเจ้าคอลลาเจนที่เราเฝ้าไฝ่หานั้นมันอยู่ไม่ไกลจากตัวเราเลยและอยู่รอบๆตัวเรานี่เองค่ะ ถ้าเราเลือกรับประทานอาหารให้ถูกต้องและเหมาะสมกับร่างกายของเรา เราก็จะได้รับคอลลาเจนในรูปแบบธรรมชาติที่มาจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนี่เองแหละค่ะ แต่ถ้าว่าไม่ว่าจะเลือกรับประทานสุดๆแล้วเจ้าคอลลาเจนก็ยังไม่เพียงพอ ยังไงคอลลาเจนในรูปแบบอาหารเสริมยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเลือกรับประทานเสริมเข้าไปเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการได้ค่ะ หวังว่าเรื่องราวในวันนี้จะช่วยให้สาวๆเข้าใจเจ้าคอลลาเจนมากขึ้นและเป็นแนวทางในการเลือกรับประทานอาหารหรือเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีมารับประทานเสริมกันมากขึ้นนะคะ

 

www.flickr.com/photos/muffmuff/4004304595/

Omega 9 คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร

seeds-1
Source: Flickr (click image for link)

เราได้พูดถึงโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 กันไปในกระทู้ก่อนๆกันแล้วนะคะ หลายๆคนคงได้รู้จักกันไปพอสมควร วันนี้ HealthGossip จะมาพูดถึงกรดไขมันอีกตัวที่เชื่อเลยว่าหลายคนมองข้ามไป หรือไม่ก็มีอีกหลายคนที่ยังไม่ค่อยจะรู้จักกับเจ้ากรดไขมันตัวนี้กันสักเท่าไหร่ นั่นก็คือเจ้า“โอเมก้า 9” นั่นเอง  คงคิดกันว่ามันมีด้วยหรอเนี่ย? นึกว่าจะมีแค่โอเมก้า 3 กับโอเมก้า 6 ซะอีก ความจริงแล้วยังมีโอเมก้า 9 ตัวหนึ่งด้วยค่ะ และเจ้าโอเมก้า 9 เนี่ยก็เป็นอีกกรดไขมันหนึ่งที่เป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเช่นกันค่ะ ถึงแม้จะไม่ถูกเรียกว่าเป็นกรดไขมันจำเป็น แต่เชื่อไหมล่ะคะว่ามันก็มีประโยชน์เช่นกัน และก็เป็นกรดไขมันที่น่าน้อยใจไม่น้อยก็เพราะมักจะไม่ได้ถูกกล่าวถึงเลย หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นกรดไขมันที่ถูกลืมไปเลยก็ว่าได้ เพราะเราคงจะคิดว่ามันเป็นกรดไขมันอิ่มตัวที่ร่างกายเราสามารถสร้างได้เองก็คงไม่จำเป็นต้องใส่ใจสินะ แต่อยากจะบอกให้ทราบว่าในความเป็นจริงแล้ว เมื่อวัตถุดิบไม่ครบร่างกายก็สร้างขึ้นมาไม่ได้เหมือนกันนะจ๊ะ จึงจำเป็นที่เราจะต้องรับประทานอาหารประเภทที่มีกรดไขมันชนิดนี้เพิ่มขึ้นนั่นเอง เอาแล้วไง หลังจากนี้เมื่อเราทราบและเข้าใจบทบาทหน้าที่ของเจ้าโอเมก้า 9 แล้ว เราก็คงที่จะไม่กล้าลืมหรือให้ความสำคัญกับเจ้าตัวนี้กันแล้วใช่ไหมคะ เอาล่ะเรามาเรียนรู้และให้ความสำคัญกับบทบาทหน้าที่ของเจ้าตัวนี้กันเลยดีกว่าค่ะ

 

โอเมก้า 9 คืออะไร

โอเมก้า 9 คือ กรดไขมันชนิดหนึ่งที่เป็นกรดไขมันแบบไม่อิ่มตัวซึ่งมีพันธะคู่ระหว่างอะตอมของคาร์บอน (C=C) คู่แรกอยู่ที่ตำแหน่งที่ 9 นับจากปลายด้านกรดไขมัน

กรดไขมันชนิดโอเมก้า 9 ที่สำคัญมีสองตัวคือ

  1. กรดโอเลอิก (Oleic acid) เป็นกรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกและในไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวต่างๆ
  2. กรดอิรูสิค (Erucic acid) เป็นกรดไขมันที่พบได้มากในน้ำมันจากเมล็ดของต้นเรพ (Rapeseed), ต้นวอลล์ฟลาวเวอร์ (Wallflower)และเมล็ดของต้นมัสตาร์ด (Mastard seed) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในน้ำมันจากเมล็ดของต้นเรพนั้นมีการปลูกต้นเรพเป็นจำนวนมากเพื่อผลิตน้ำมันเป็นการพาณิชย์ในอุตสาหกรรมสี มีการนำกรดบางอย่างออกจากน้ำมันของต้นเรพ จะได้น้ำมันที่เรียกว่าคาโนลา (Canola oil)

อย่างไรก็ตาม กรดไขมันโอเมก้า 9 ไม่ถือว่าเป็นกรดไขมันจำเป็น (Essential fatter acid) เนื่องจากว่าร่างกายของคนเราสามารถสร้างกรดไขมันชนิดนี้ได้เองจากไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้า 3 และ/หรือ โอเมก้า 6 (ซึ่งถ้าร่างกายขาดโอเมก้า 3 และ 6 ล่ะก็ เจ้าโอเมก้า 9 จะกลายเป็นกรดไขมันจำเป็นขึ้นมาทันที เพราะว่าร่างกายของเราไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้เนื่องจากขาดวัตถุดิบนั่นเอง) และเนื่องจากกรดไขมันโอเมก้า 9 ไม่มีพันธะคู่ของอะตอมคาร์บอนที่ตำแหน่งที่ 6 ดังนั้นจึงไม่ได้ช่วยในการสร้างสารไอโคซานอยด์ (Eicosanoid) ซึ่งมีหน้าที่ช่วยในการควบคุมระบบการแข็งตัวของเลือดแต่อย่างไร

 

โอเมก้า 9 มาจากไหนนะ

เราสามารถกินอาหารเหล่านี้เพื่อให้ร่างกายได้รับโอเมก้า 9 ได้จาก ไขมันจากถั่วลิสง น้ำมันมะกอก คาโนลา น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน งา ถั่วพิตาชิโอ อัลมอนด์ และอะโวคาโด

ถ้าขาดโอเมก้า 9 จะเกิดอะไรขึ้น ?

อาจเกิดอาการผิวแห้ง ผมร่วง ตาแห้ง หัวใจเต้นผิดปกติ และเจ็บตามข้อต่างๆ รวมถึงอาจเกิดรังแคขึ้นได้ด้วยง่ายๆ คือ ถ้าร่างกายของเรามีทั้งโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ก็จะเกิดการสร้างโอเมก้า 9 ขึ้นมาได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องเสริมเข้าไป แต่ถ้าเราไม่มีโอเมก้า 3 หรือโอเมก้า 6 ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างพันธะคู่ที่ตำแหน่งอะตอมเองได้ เมื่อร่างกายขาดวัตถุดิบ จึงไม่เกิดโอเมก้า 9 นั่นเองค่ะ

 

ประโยชน์ของโอเมก้า 9

โอเมก้า 9 เกี่ยวข้องกับการสร้างฮอร์โมนโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ซึ่งมีผลต่อสุขภาพมาก ในร่างกายของคนเราควรจะมีกรดไขมันโอเมก้า 9 อยู่ในสัดส่วนที่ถูกต้องเมื่อเทียบกับโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 น้ำมันที่สร้างโดยผิวหน้าของเรามีลักษณะเหมือนกับกรดไขมันโอเมก้า 9 ที่พบได้มากในน้ำมันมะกอก นอกจากนี้แล้วกรดไขมันโอเมก้า 9 ยังอาจจะ

  • เป็นตัวช่วยในการสร้าง ฮอร์โมน โพรสตาแกลนดิน (Prostaglandins)
  • ช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL-Low Density Lipoprotein)
  • ช่วยเพิ่มระดับของ HDL (High Density Lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
  • ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)
  • ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นก็คือทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายทำงานปกติ หัวใจ สมอง ตับ ไต และอวัยวะอื่นๆ ทำงานได้ดีขึ้น ทำให้สามารถป้องกันโรคหัวใจ และกลุ่มโรคหลอดเลือดตีบตันได้

 

เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับเรื่องโอเมก้า 9 ที่เรามักไม่ค่อยได้ยินกัน คราวนี้ก็คงจะได้ทราบกันแล้วนะคะว่า ไขมันหรือน้ำมันจากพืชต่างๆ ที่สาวๆ เรามักจะรังเกียจรังงอนว่าไม่ดี ไม่ควรแตะต้องนั้น ก็มีประโยชน์อยู่บ้าง การงดไขมันเสียทั้งหมดเลยนั้นอาจจะไม่ถูกต้องนัก เพียงแต่ต้องไม่รับประทานเข้าไปมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ หรือถ้ารับเข้าไปมากเกิน ก็ต้องกำจัดออกด้วยการเล่นกีฬา และออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญส่วนเกินนั้นทิ้งไปเสียบ้างค่ะ และถึงแม้ว่าร่างกายของเราส่วนใหญ่จะสร้างโอเมก้า 9 ขึ้นมาได้เองเมื่อได้รับโอเมก้า 3 และ 6 แต่การรับประทานอาหารหรืออาหารเสริมที่มีโอเมก้า 9 เสริมเข้าไปก็ถือว่าช่วยลดความเสี่ยงในการขาดโอเมก้า 9  แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ทุกอย่างก็ยังคงต้องมีความพอดีด้วยค่ะ อย่ากลัวว่าร่างกายจะขาดอย่างเดียวแล้วก็กินอาหารเหล่านี้เข้าไปมากเกินความจำเป็น ซึ่งอาจจะเกิดโทษต่อร่างกายของเราได้เหมือนกันนะคะ

 

www.flickr.com/photos/pawel_pacholec/17820276439/in/photostream/

  • 1
  • 2