Browse Tag: ผิวใส

16 สุดยอดผลไม้ที่ช่วยให้ผิวสวยสุขภาพดี

Source: Flickr (click image for link)

ขึ้นชื่อเรื่องความสวยความงามสำหรับผู้หญิงย่อมเป็นของคู่กันเสมอค่ะ โดยเฉพาะเรื่องของผิวพรรณแล้วคงไม่มีใครที่ไม่อยากมีผิวสวยอย่างแน่นอน ผิวสวยในที่นี้คือมีผิวที่เนียนสวยไม่พอต้องมีผิวที่สุขภาพดีอีกด้วยค่ะ หลายคนคิดว่าการมีผิวที่สวยคือผิวขาวใสปิ้งแต่เมื่อมองย้อนกลับมาดูธรรมชาติบ้านเราแล้วถ้าไม่ได้จากกรรมพันธุ์มาก็คงจะยากไปหน่อยนึง ด้วยแสงอาทิตย์ที่จัดจ้านพ่วงมาด้วยแสง UV ที่ร้อนแรงและผสมกับอนุมูลอิสระรอบกายที่ประทุประทังให้ผิวของเรายิ่งย่ำแย่ ถึงแม้ผิวเราอาจจะไม่ขาวเรืองแสงเหมือนใครๆ แต่เราสามารถทำให้ผิวเราเนียนสวยและมีสุขภาพดีจากภายในได้ค่ะ ก็ด้วยจากการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกต้องรวมถึงการดื่มน้ำให้เป็นประจำ ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆก็ทาปกป้องผิวกายเราสักนิดก่อนที่จะออกจากบ้าน ทราบหรือเปล่าคะว่าหลายคนไม่ยอมทานผลไม้เลยอาจจะเนื่องด้วยไม่ชอบหรือไม่มีเวลา แต่อาหารประเภทผลไม้นี่แหละเป็นสุดยอดของอาหารผิวชั้นดี ในประเทศไทยนั้นมีผลไม้หลายอย่างในแต่ฤดูและมีตลอดทั้งปี อย่ารีรอหรือขี้เกียจที่จะกินผลไม้ให้ติดเป็นนิสัยกันเลยค่ะ ผลไม้ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ จะส่งผลโดยตรงต่อการทำให้ผิวเรามีสุขภาพดีทั้งยังส่งเสริมสารอาหารบางตัวรวมทั้งกลไกบางอย่างให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นี่แหละที่เราเรียกกันว่า สารต่อต้านอนุมูลอิสระ จากธรรมชาติค่ะ

 

16 สุดยอดผลไม้ที่ช่วยให้ผิวสวยสุขภาพดี

 

1.แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่ถือเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดผลไม้เลยก็ว่าได้ค่ะไม่ว่าจะสีไหนล้วนแต่มีประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น ในผลแอปเปิ้ลนั้นนอกจากมีวิตามินหลากหลายแล้วยังมีสารสำคัญอย่างแพคตินที่ช่วยทำให้เล็บมีความแข็งแรง อีกทั้งยังอุดมไปด้วยกรดมาลิกซึ่งเป็นชนิดของกรดผลไม้ที่เป็นที่รู้จักกันในโลกสุขภาพที่เรียกกันว่า alpha hydroxyl acid กรดมาลิกเป็นกรดที่อ่อนกว่ากรดอื่นๆ ที่นิยมใช้ในกลุ่มรักษาความงามเช่นเดียวกับกรดไกลโคลิก และ salicylic กรดมาลิกช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีกระชับและดูอ่อนเยาว์ขึ้นโดยการต่ออายุเซลล์ผิวโดยไม่ทำลายชั้นผิวหนังนั่นเองค่ะ  อีกทั้งปริมาณเส้นใยที่สูงในผลแอปเปิ้ลยังสามารถช่วยในการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่และส่งเสริมการเคลื่อนไหวของลำไส้ให้เป็นปกติอีกด้วยค่ะ

 

2.มะนาว

พูดถึงผลไม้ประเภทกรดรสเปรั้ยวจี๊ดอย่างมะนาวในด้านของการช่วยในเรื่องความสวยความงามได้อย่างไร ซึ่งมะนาวจะไปช่วยเพิ่มความขาวกระจ่างใสให้แก่ผิวอีกทั้งยังช่วยลบเลือนการเกิดริ้วรอยจากรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวรวมถึงความหมองคล้ำของผิวที่ทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ และมะนาวยังสามารถทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึกโดยทำลายสิ่งสกปรกที่ไปอุดตันรูขุมขนต่างๆ ได้อีกด้วยค่ะ

 

3.อะโวคาโด

อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากจนเป็นที่กล่าวถึงในด้านสุขภาพว่าเป็นสุดยอดอาหาร (Super Foods) และมักจะนำมาใช้ทำมายองเนสแบบมังสวิรัติหรือแบบเจนั่นเองค่ะ นอกจากรสชาติที่อร่อยถูกปากใครหลายคนแล้ว การเลือกรับประทานอะโวคาโดจะให้ประโยชน์ที่น่ามหัศจรรย์ต่อผิวพรรณโดยตรง เนื่องจากอะโวคาโดมีไบโอตินหรือที่เรียกว่าวิตามินบี 7 ซึ่งไบโอตินจะไปช่วยกระตุ้นการงอกและการเจริญเติบโตของเซลล์ในร่างกาย โดยเฉพาะจะไปกระตุ้นทำให้เส้นผมและเล็บงอกใหม่ได้เร็วขึ้น อะโวคาโดยังมีวิตามินอีที่เป็นตัวช่วยในการปกป้องผิวอีกทั้งกรดไขมันในผลอะโวคาโดที่เป็นกรดไขมันตามธรรมชาติ จะไปช่วยให้ผิวมีการหล่อลื่นทำให้นุ่มนวลและช่วยเสริมสร้างผิวให้อ่อนเยาว์มันวาวแบบมีน้ำมีนวลตามธรรมชาติค่ะ

 

4.มะเขือเทศ

มะเขือเทศขึ้นชื่อในเรื่องของสารไลโคปีนที่มีในมะเขือเทศทีเป็นตัวพระเอกอยู่ในมะเขือเทศเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันปัญหาริ้วรอยแห่งวัยหรือชะลอผิวให้คงความอ่อนเยาว์รวมถึงปกป้องความเสื่อมของเซลล์ผิว ให้ผิวมีความแข็งแรงต่ออนุมูลอิสระรอบกาย รวมถึงแสงยูวีที่ร้อนแรงและช่วยบำรุงผิวพรรณให้มีความเนียนนุ่มชุ่มชื่นอีกด้วยค่ะ

 

5.ฝรั่ง

หลายคนคงไม่ทราบกันว่าฝรั่งลูกสีเขียวๆ แบบนี้จะมีวิตามินซีอยู่สูงมาก อีกทั้งยังมีวิตามินเอและแร่ธาตุโพแทสเซียมอยู่อีกด้วยค่ะ และด้วยประโยชน์จากสารอาหารเหล่านั้นเมื่อร่างกายเราได้รับเข้าไปแล้วจะทำให้ผิวพรรณที่สดใสเปล่งปลั่งจากวิตามินซีที่ไปช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นใต้ผิวหนังของเราด้วยค่ะ

 

6.มะละกอ

ความจริงแล้วผิวคนเราจะดูไม่สดใสอาจจะมาจากการที่ไม่ได้ขับของเสียออกจากร่างกาย คืออาการท้องผูกไม่มีการขับถ่ายที่สม่ำเสมอเหมือนเป็นการสะสมของเสียไว้ในร่างกาย ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ผลดีต่อสุขภาพไปด้วยแต่มะละกอมีเส้นใยอาหารสูงรวมทั้งยังมีเอ็นไซส์ปาเปนที่เป็นตัวต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องให้เรามีผิวพรรณที่เยาว์วัยขึ้นอีกด้วยค่ะ

 

7.กีวี่

ผลไม้รสเปรี้ยวอย่างกีวี่เต็มล้นไปด้วยวิตามินซีที่มากถึง 98 มิลลิกรัมต่อปริมาณ 100 กรัม วิตามินซีนอกจากช่วยในเรื่องของสุขภาพได้ด้านการเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงแล้วยังช่วยทำให้ผิวของเราดูอ่อนเยาว์และสดใสขึ้นแบบนี้ไม่ควรพลาดค่ะ

 

8.ทับทิม

ผลไม้ที่มีเมล็ดสีชมพูอมแดงใสๆ รสชาติอร่อยที่ใครหลายคนชอบกัน นอกจากความอร่อยแล้วยังเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารที่จัดเต็มอย่างวิตามินซี วิตามินเอ รวมถึงวิตามินอีที่สูงปริ๊ด โดยวิตามินที่กล่าวมานั้นล้วนช่วยในเรื่องของผิวพรรณเราโดยตรง ช่วยต้านอนุมูลอิสระและคืนความชุ่มชื่นให้กับผิวทำให้ผิวพรรณของเรามีน้ำมีนวลเปล่งปลั่งมากขึ้นค่ะ

 

9.สตรอเบอร์รี่

นอกจากปริมาณวิตามินซีสูงแล้วสตรอเบอร์รี่ยังมีกรดที่สำคัญอยู่คือ alpha hydroxyl หรือที่เราเรียกกันว่ากรด salicylic อาจจะเคยได้ยินชื่อกรด salicylic เป็นกรดที่ใช้สำหรับการรักษาสิวนั่นเองค่ะ โดยการทำงานของกรด salicylic นั้นจะทำการเจาะลึกเข้าไปในรูขุมขนของเราและทำความสะอาดรูขุุมขน อีกทั้งยังช่วยขจัดรูขุมขนและหยุดสิวที่กำลังอักเสบได้ค่ะ นอกจากนั้นสตรอเบอร์รี่ยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่เรียกว่ากรด Ellagic ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าสามารถป้องกันการทำลายคอลลาเจนที่นำไปสู่การเกิดริ้วรอย และกรด Ellagic มีผลที่ทำให้ป้องกันอันตรายจากแสงแดดรังสียูวีด้วยค่ะ

 

10.กล้วย

กล้วยเป็นผลไม้สารพัดประโยชน์ช่วยทั้งทางด้านสุขภาพและด้านผิวพรรณความงาม กล้วยขึ้นชื่อว่าเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมในปริมาณมาก จึงช่วยทำให้ผิวที่แห้งกลับมีความชุ่มชื่นขึ้นและนั่นก็เป็นผลพวงที่ทำให้ผิวเรามีความอ่อนนุ่มและอ่อนเยาว์ขึ้นค่ะ โดยในกล้วยนั้นยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพผิวของเรา อย่างเช่นวิตามินเอ วิตามินบี และวิตามินอี ซึ่งสารอาหารเหล่านั้นจะทำงานโดยการรักษาความยืดหยุ่นของผิวให้มีความชุ่มชื้น และป้องกันริ้วรอยที่เกิดก่อนวัยรวมทั้งจุดด่างดำที่เกิดจากสิวจางลงด้วยค่ะ

 

11.ส้ม

ส้มผลไม้ที่หารับประทานได้ง่ายทั่วโลกขึ้นชื่อในเรื่องที่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยธรรมชาติ มีกรดธรรมชาติจากวิตามินซีในการไปช่วยส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังช่วยกระชับผิวให้เรียบเนียนขึ้น รวมทั้งช่วยสร้างภูมิกันป้องกันหวัดได้อีกด้วยค่ะ  ซึ่งส้มปริมาณ 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 54 มิลลิกรัม

 

12.แตงโม

แตงโมเนื้อสีแดงๆ รสชาติหวานชุ่มฉ่ำเมื่อรับประทานสามารถดับกระหายคลายร้อนได้เลยทีเดียวค่ะ นอกจากจะช่วยในเรื่องของดับกระหายแล้วยังช่วยในเรื่องสุขภาพและผิวพรรณอีกด้วย ด้วยสารอาหารจำพวกวิตามินแร่ธาตุต่างๆ ที่มีมากมายหลายชนิดในแตงโมจะไปช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้น ในด้านสุขภาพกฌสามารถช่วยทำหน้าที่ล้างไต ขับสารพิษและช่วยขับปัสสาวะ ไม่ทำให้เกิดโรคในทางเดินปัสสาวะค่ะ

 

13.สับปะรด

สับปะรดเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อว่าช่วยในเรื่องสุขภาพในด้านของการต้านการอักเสบที่มากจากสาร Bromelain ในสับปะรดที่จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกบนผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเอนไซม์ตัวนี้มีประโยชน์ช่วยทำผิวพรรณที่อ่อนโยน อีกทั้งสับปะรดยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอย่าง เบต้าแคโรทีน วิตามินซี ที่ทำให้ผิวมีความชุ่มชื่นและนุ่มเนียนรวมทั้งลดจุดด่างดำทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น

 

14.แคนตาลูป

ทราบหรือไม่คะว่าแคนตาลูปเพียงแค่ 1 ถ้วย มีค่าของวิตามินเอและวิตามินซีถึง 100 เปอร์เซ็นต์ต่อค่าที่แนะนำให้ควรได้รับวิตามินเหล่านั้นต่อวันเชียวค่ะ ถึงกับยกให้ผลไม้อย่างแคนตาลูปนั้นมีคุณสมบัติเป็น ผลไม้แห่งความงาม เลยทีเดียว ด้วยเนื้อสีส้มของแคนตาลูปก็เต็มไปด้วยเบต้าแคโรทีนที่จะไปเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกายและช่วยส่งเสริมสุขภาพผิวโดยการทำให้ชั้นนอกของเซลล์ผิวที่ตายแล้วบางลงโดยไม่ทำให้รูขุมขนอุดตันจนก่อให้เกิดสิวได้ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าวิตามินเออาจสามารถช่วยปกป้องผิวหรือต่อต้านรังสียูวีและโอโซนที่เป็นอันตรายได้ค่ะ

 

15.องุ่น

องุ่นเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดที่สำคัญที่เรียกว่า สาร Reservatrol นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ องุ่นเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยและคุณค่าทางโภชนาการก็มีไม่น้อยเช่นกันค่ะ สารต้านอนุมูลสระที่มีในองุ่นจะช่วยในเรื่องชะลอความแก่ เช่นเรื่องริ้วรอย ผิวหมองคล้ำและกระชับผิวให้เต่งตึงเรียบเนียนดูอ่อนเยาว์ขึ้นค่ะ

 

16.มะพร้าว

มะพร้าวเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ทั้งลูกโดยเฉพาะน้ำมะพร้าวที่ได้จากมะพร้าวอ่อนเมื่อดื่มแล้วจะช่วยในเรื่องของผิวพรรณให้เปล่งปลั่งและเนียนนุ่ม เนื่องจากในน้ำมะพร้าวนั้นมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ที่จะทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยนั่นเองค่ะ

 

 

www.flickr.com/photos/kartaba/32923446374/

20 สุดยอดผลไม้ที่ช่วยระบบขับถ่ายให้ดีขึ้น

painful-1
Source: Flickr (click image for link)

สมัยนี้ปัญหาสุขภาพมากมายรุมล้อมรอบกาย ตั้งแต่เบาไปจนถึงหนักและที่แปลกส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการรับประทานอาหารที่ผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะด้วยเนื่องจากปัจจัยต่างๆที่เป็นผลกระทบต่อการรับประทานอาหารให้ถูกต้องเช่น สภาพสิ่งแวดล้อม เวลา การที่ไม่รู้ว่าต้องทานแบบไหนหรือแม้แต่การใช้ชีวิตประจำวันที่ทำให้เลือกรับประทานสิ่งที่ง่ายและสะดวกที่สุดจากร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน จะอย่างไรก็แล้วแต่ยังไงเมื่อเกิดปัญหาก็ควรที่จะแก้ที่ต้นเหตุ ถึงแม้จะเป็นปัญหาเล็กๆ แต่ป้องกันไว้ก่อนก็ดีกว่าปล่อยให้ลุกลามใหญ่โตหรือแย่ไปกว่านี้ค่ะ วันนี้จะพูดถึงการขับถ่ายที่แสนยากลำบากและคงไม่มีใครอยากจะพบเจอ ไม่ว่าจะลองทำมาทุกวิถีทางก็แล้วแต่ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นให้ขับถ่ายออกมาได้อย่างสะดวกได้เลย ไหนจะเกิดปัญหาอุจจระแข็ง เบ่งลำบาก สุดท้ายการไม่อุจจระนานๆ ก็อาจจะนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ในที่สุด การเลือกรับประทานอาหารที่ถูกต้องและถูกเวลาก็สามารถช่วยคุณได้ค่ะ และ HealthGossip จึงอยากจะนำเอาข้อมูลของสุดยอดผลไม้ที่ช่วยให้คุณขับถ่ายง่าย สบายโล่งมาเสนอให้เลือกสรรค์กันนอกจากจะเป็นผลไม้ใกล้ตัว หาง่ายแล้วยังดีต่อสุขภาพขนาดนี้ ไปดูกันค่ะว่ามีผลไม้อะไรบ้าง ….

 

20 สุดยอดผลไม้ที่ช่วยระบบขับถ่ายให้ดีขึ้น

fruits-for-sale-1
Source: Flickr (click image for link)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1.ลูกพรุน

หลายคนคงรู้จักลูกพรุนกันดีว่าเป็นผลไม้ที่มีคุณสมบัติช่วยระบายโดยธรรมชาติ ด้วยคุณสมบัติเด่นของลูกพรุนที่ไปช่วยในเรื่องการขับถ่ายนั่นเอง โดยลูกพรุนจะช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่มและขับถ่ายออกได้ง่ายขึ้น และยังอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยชะลอความแก่ บำรุงหัวใจ บำรุงสายตา ทั้งยังช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงอีกด้วย

 

2.กล้วยสุก

ผลไม้กล้วยๆ ที่คุณสมบัติไม่กล้วยซึ่งถือว่าเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะสายพันธุ์ไหนก็ถือว่ามีประโยชน์ทั้งนั้น ดังนั้นการเลือกรับประทานกล้วยในเวลาที่ยากจะขับถ่ายจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีค่ะ นอกจากจะช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้นจากเส้นใยอาหารในกล้วยสุกแล้ว สารอาหารในกล้วยยังไปช่วยลดอาการท้องผูกได้อย่างเห็นผลดีเลยทีเดียว อีกทั้งยังช่วยปรับสมดุลของระบบขับถ่ายให้เป็นปกติได้อีกด้วย โดยเฉพาะในผลกล้วยน้ำว้าสุกที่ประกอบไปด้วยเพกตินค่อนข้างสูงและไฟเบอร์ที่ช่วยเพิ่มกากอาหารให้ลำไส้แล้ว ในกล้วยน้ำว้ายังมีเมือกลื่นที่ช่วยให้การขับถ่ายสะดวกยิ่งขึ้น

 

4.แอปเปิ้ล

ความจริงแล้วแอปเปิ้ลเป็นผลไม้อีกชนิดที่หารับประทานได้ง่ายและประโยชน์ล้นปริ่มไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแอปเปิ้ลสีไหนก็มีคุณค่าไม่ต่างกัน โดยเฉพาะในแอปเปิ้ลเขียวนั้นอุดมไปด้วยไฟเบอร์ถึง 4.4 กรัม ต่อ 1 ผล ยิ่งกินแอปเปิลเขียวทั้งเปลือกก็จะช่วยเรื่องระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดีค่ะ แอปเปิ้ลนั้นมีสารแพคตินที่ช่วยเพิ่มกากใยให้กับทางเดินอาหาร จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้วิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคหวัด ป้องกันโรคลักปิดลักเปิดและยังช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

 

5.มะละกอสุก

มะละกอมีน้ำย่อยธรรมชาติในตัวเอง ที่เรียกว่าเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ที่สามารถช่วยกำจัดคราบโปรตีนเก่าๆ ที่ย่อยไม่หมดจนขัดขวางการขับถ่ายของลำไส้ออกไปได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นยาระบายอ่อนๆ กันเลยทีเดียว คราวนี้ของเสียก็จะถูกลำเลียงอย่างสะดวกไม่ต้องนั่งแช่ในห้องน้ำให้ทรมานต่อไป

 

6.มะม่วงสุก

ในประเทศไทยเรามีผลไม้มากมายให้เลือกรับประทานกันอยู่ตลอดๆ นับว่าเป็นโชคดี ผลไม้ขึ้นชื่อของไทยที่ใครๆ ก็รู้จักคงหนีไม่พ้นมะม่วงสุข ถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะมีมะม่วงให้กินได้ตลอดทั้งปี แต่โดยธรรมชาติมะม่วงจะออกผลในช่วงฤดูร้อน และถ้าได้กินมะม่วงสุกคาต้นล่ะก็หวานอร่อยกว่ามะม่วงนอกฤดูเป็นไหนๆ ในมะม่วงสุหนั้นมีเอนไซม์ที่ชื่อปาเปน มีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ที่จะช่วยทําให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วเช่นเดียวกับโปรเมลิน และถึงมะม่วงจะไม่ได้มีสรรพคุณที่ช่วยย่อยโดยตรงแต่ก็มีสารเพกทินที่ทำให้อุจจาระนิ่มขึ้น ทำให้ง่ายต่อการขับถ่ายค่ะ

 

7.มะขามเปียก

ถ้าเกิดอาการท้องผูกถึงขนาดที่ถ่ายยากหรือถ่ายไม่ออกมาเป็นเวลานานแล้วล่ะก็ ลองดื่มน้ำมะขามเปียกโดยการนำมะขามเปียก 1 ก้อนขนาดพอดีมือต่อน้ำอุ่นประมาณ 3 แก้ว จากนั้นใช้ช้อนบี้ ๆ จนได้น้ำมะขามข้นๆ แล้วก็นำมาดื่มให้หมดแก้วก่อนเข้านอนสัก 2-3 ชั่วโมง ตื่นเช้ามารับรองว่าจะโล่งสบายท้อง แต่หากท้องผูกแบบเบาๆ ไม่หนักมาก ก็อาจนำมะขามเปียกที่แกะเมล็ดออกแล้วมาจิ้มเกลือกินเล่นๆ สัก 5-10 ฝักก็สามารถช่วยได้ค่ะ และอย่าลืมดื่มน้ำตามมาก ๆ ด้วยล่ะ

 

8.ส้ม

ส้มเป็นผลไม้ที่หลายคนจะติดภาพเมื่อได้ยินชื่อจะนึกถึงวิตามินซี ส้มอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคหวัด อีกทั้งยังมีโพแทสเซียมและกรดโฟลิก ช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้เคลื่อนตัว ลดอาการอาหารไม่ย่อย ถ้าต้องการทานส้มเพื่อช่วยเรื่องของระบบขับถ่าย ก็ควรทานทั้งกากใยส้มเมื่อปลอกเปลือกมาจะเห็นเส้นใยขาวๆ นั่นแหละค่ะเป็นส่วนที่จะช่วยเรื่องระบบขับถ่ายก็คือเจ้ากากใยของส้มนี่ล่ะ เพราะฉะนั้นหากทานเพียงน้ำส้มคั้นก็อาจจะได้ประสิทธิภาพดีไม่เท่าทานทั้งผลนะคะ

 

9.สับปะรด

ในส่วนของสับปะรดนั้นก็มีน้ำย่อยธรรมชาติในตัวเองเช่นกัน นอกจากความฉ่ำที่ช่วยดับกระหายให้ความขุ่มช่ำแล้ว วิตามินซีในสับปะรดยังมีประโยชน์เป็นตัวที่ส่งเสรืมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงขึ้น มีมีส่วนช่วยในเรื่องของการย่อยอาหารและระบบขับถ่าย นอกจากนั้นสับปะรดยังมีกากใยอาหารอยู่มาก โดยกากใยอาหารนั้นมีส่วนสำคัญในการช่วยลดไขมันในเลือดหรือคลอเรสเตอรอลอีกด้วย และแน่นอนว่าเมื่อมีกากใยเยอะย่อมต้องทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นอีกด้วยเช่นกันค่ะ

 

10.กีวี่

กีวี่เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่หลายคนชอบทาน มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานฉ่ำอีกทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยระบายโดยธรรมชาติ โดยกีวี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยประโยชน์ต่างๆ มากมายที่ให้วิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 74% มีวิตามินอีที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระช่วยลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆในร่างกาย มีไฟเบอร์สูงมากกว่ากล้วย 15% มากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25% นอกจากช่วยในเรื่องควบคุมน้ำหนักปรับสมดุลในร่างกายหรือช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดแล้ว เหตุผลที่ควรเลือกทานตอนนี้ก็เพราะว่าช่วยป้องกันอาการท้องผูกและช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นไปอีกค่ะ

 

11.มะเดื่อฝรั่ง

มะเดื่อฝรั่งมีประโยชน์อยู่ที่ไฟเบอร์สูง ดีต่อกระบวนการกำจัดของเสียในร่างกาย โดยในผลมะเดื่อสดจะมีเส้นใยอาหารอยู่ประมาณ 1.2% ส่วนในผลมะเดื่อฝรั่งอบแห้งมีเส้นใยอาหารสูงถึง 5.6% เลยทีเดียว ฉะนั้นคนที่มีปัญหาท้องผูกก็สามารถหาเลือกซื้อเจ้ามะเดือฝรั่งมาทานได้ค่ะ

 

12.มะเฟือง

มะเฟืองผลไม้ที่ไม่ค่อยได้เห็นตามท้องตลาดทั่วไปนัก แต่ในผลมะเฟืองนี้มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ ที่สามารถบรรเทาอาการท้องผูกได้ดีไม่น้อยหน้าผลไม้แก้ท้องผูกชนิดอื่น ๆเลยค่ะ ที่สำคัญมะเฟืองยังช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย

 

13.มะขามแขก

มะขามแขกก็มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ  โดยเราอาจจะใช้ใบมะขามแขกแห้ง 1-2 หยิบมือ หรือใช้ฝักมะขามแขก 4-5 ฝักหักเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มกับน้ำ 1 ถ้วย แล้วดื่มก่อนนอน 15 นาที สูตรนี้เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีอาการท้องผูก ทว่าหากกินมะขามแขกแล้วมีอาการจุกเสียดแน่นท้อง อาจต้องดื่มน้ำขิงตามไปด้วย และพยายามอย่าแก้ท้องผูกด้วยมะขามแขกติดต่อกันนาน ๆ เนื่องจากมะขามแขกอาจทำให้ขาดธาตุโปรแตสเซียม และทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการบีบตัวของลำไส้ได้

 

14.องุ่น

องุ่นผลไม้ที่เป็นของทานเล่นเพลินๆ แต่เปี่ยมไปด้วยประโยชน์มากมายด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่สูง ยังพบว่าในองุ่นดำนั้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) ช่วยขับล้างสารพิษในลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ปกติ นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาท้องผูกเรื้อรังได้อีกด้วย แต่อย่างไรองุ่นก็ยังคงมีพลังงานที่สูงอยู่ เลือกรับประทานแต่พอดีน่าจะดีกว่า

 

15.แก้วมังกร

คงไม่มีใครไม่รู้จักกับผลไม้เพื่อสุขภาพที่เรียกว่าแก้วมังกร นอกจากควาหวานอร่อยแบบไม่เหมือนใครแล้ว แก้วมังกรยังอุดมไปด้วยวิตามินแร่ธาตุต่างๆ มากมายแก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่ต่ำ จึงเป็นเมนูของผลไม้ชนิดต้นๆที่ควรเลือกรับประทานช่วงควบคุมน้ำหนัก เสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้และไปช่วยแก้ปัญหาการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดีค่ะ

 

16.แตงโม

แตงโม เป็นผลไม้ที่มีน้ำเยอะและด้วยรสชาติหวานฉ่ำ คนไทยจึงนิยมรับประทานเพื่อดับความกระหายคลายร้อนกัน นอกจากนี้ยังมีคุณค่าทางสารอาหารอีกมากมายเช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี กรดโฟลิก แร่ธาตุแคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส  สารอาหารเหล่าจะช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็ง ช่วยบำรุงสายตาและล้างพิษออกจากร่างกาย แตงโมเหมาะสำหรับคนที่รักสุขภาพต้องการควบคุมน้ำหนักเพื่อลดความอ้วน เพราะในแตงโมจะให้แคลอรี่ต่ำอีกทั้งยังช่วยให้ขับถ่ายคล่องอีกด้วย

 

17.ฝรั่ง

ฝรั่ง ผลไม้สีเขียวที่จัดว่าเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง อีกทั้งกากใยมากมายของผลไม้ที่ชื่อว่าฝรั่งนี้เองที่ไปช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ส่วนวิตามินซีที่สูงปรื๊ดของฝรั่งนั้นก็จะไปช่วยทำให้สุขภาพผิวพรรณของเราให้ขาวใสขึ้นไปอีก ซึ่งเมื่อมีการขับถ่ายอย่างสม่ำเสมอและตรงเวลาแล้ว ก็จะสามารถบ่งบอกได้ว่าระบบการย่อยอาหารของเรานั้นยังทำงานได้ดีและเป็นปกติค่ะ

 

18.ละมุด

ละมุด ผลไม้ที่คนไทยหลายคนชื่นชอบที่ไม่ว่าจะพบที่ไหนเป็นต้องซื้อกลับมาติดตู้เย็นที่บ้าน ซึ่งนอกจากรสหวานฉ่ำน้ำในเนื้อของละมุดแล้วละมุดยังเป็นผลไม้ที่มีกากใยอาหารมากมายทีเดียว ดังนั้นจึงไปช่วยป้องกันโรคท้องผูกได้อย่างดี อย่างไรก็ตามละมุดยังถูกจัดอยู่ในผลไม้ที่มีรสชาติหวานซึ่งไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคเบาหวานหรือกำลังลดความอ้วนอยู่นะคะ

 

19.ข้าวโพด

ข้าวโพดมีหลากหลายให้เลือกซื้อ ด้วยกรรมวิธีที่หลากหลายในการสร้างสรรค์เมนูข้าวโพดนั่นก็ทำให้เรามีตัวเลือกในการรับประทาน ด้วยเส้นใยอาหารแบบไม่ละลายน้ำในข้าวโพดนั้นจะไปช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารได้ดี สำหรับคนที่ถ่ายยากและลำบากถึงขั้นเป็นริดสีดวงทวารจากโรคทางเดินอาหาร หรืออาการท้องผูกนั้นก็จะมีอาการทุเลาลง เนื่องจากเส้นใยจะช่วยดูดซับน้ำและช่วยระบบขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้นค่ะ

 

20.ถั่วดำ

เมล็ดถั่วดำถือเป็นธัญพืชที่มีปริมาณของใยอาหารอยู่สูงมาก และการเลือกรับประทานถั่วดำนั้น โดยการนำถั่วดำมาต้มหรือนึ่ง ซึ่งถั่วดำปริมาณ 1 ถ้วยจะมีเส้นใยอาหารถึง 15 กรัมค่ะ

 

 

www.flickr.com/photos/tipstimesadmin/11438060575/

www.flickr.com/photos/akarkhanis/3391797502/

12 เหตุผลที่ควรเข้านอนให้เร็วขึ้น

beauty-sleep-1
Source: Flickr (click image for link)

ถ้าหากถามว่าการพักผ่อนที่ดีที่สุดคืออะไร ก็คงจะหนีไม่พ้นการนอนหลับไปได้อย่างแน่นอน ก็เพราะการนอนหลับนั้นถือเป็นการได้พักระบบทุกส่วนของร่างกายของคนเรา ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายโดยเฉพาะธรรมชาติสร้างมาให้เรานอนหลับตอนกลางคืน เราต้องอย่าฝืนธรรมชาติ และในบางคนแทนที่จะนอนตอนกลางคืนแต่ดันกลับมานอนตอนกลางวัน ไม่ยอมหลับยอมนอนกลางคืน ซึ่งก็ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายผิดเพี้ยน เพราะฮอร์โมนที่จำเป็นต่อร่างกายหลายตัวจะหลั่งเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น นั่นเองค่ะ คำว่านอนเร็วของแต่ละคนนั้นก็คงจะแตกต่างกันไป ถ้าวัยเด็กเราก็ควรที่จะนอนเร็วหน่อย คือนอนไม่เกิน 3 ทุ่ม เพราะ Growth Hormone จะหลั่งตอน 2-3 ทุ่มเท่านั้น (ซึ่งดึกๆแล้วจะไม่หลั่ง) และการนอนก็ควรนอนให้หลับสนิท (ไม่ฝัน) ด้วยเป็นเวลา 1.5 ชม.หลังเข้านอน ถ้า Growth Hormone หลั่งแล้วจะไปช่วยซ่อมสร้างร่างกายตั้งแต่ 5 ทุ่มจนถึงตี 5 สำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ฮอร์โมนตัวนี้มีผลต่อการเติบโตและอาจมีผลต่อความสูงด้วยค่ะ แต่ถ้าเราเข้าสู่วัยทำงาน กว่าจะเลิกงานแต่ละวันก็ปาเข้าไปเย็นมากแล้ว แถมยังต้องเสียเวลากับการเดินทางอีก เมื่อถึงบ้านก็ต้องอาบน้ำ เคลียร์งานอื่นๆ ถ้าจะให้มานอน 2 หรือ 3 ทุ่ม ก็คงเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นการนอนเร็วสำหรับวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ จึงจัดให้อยู่ในช่วงเวลาก่อน 4 ทุ่ม คนที่อยากสวย หน้าใส ดูดี มีเสน่ห์ ลองเปลี่ยนการใช้ชีวิต เป็นคนนอนเร็วขึ้น เพื่อสุขภาพภายในและภายนอกของเราค่ะ

 

 

12 เหตุผลที่ควรเข้านอนให้เร็วขึ้น

 

1.ร่างกายได้มีเวลาทำการซ่อมแซมตัวเองมากขึ้น

กิจกรรมที่เราได้ทำมาทั้งวัน ย่อมต้องทำให้มีจุดที่ร่างกายเกิดการสึกหรอที่เหมือนกับเครื่องยนต์ และในช่วงเวลาที่เราได้นอนก็เป็นช่วงที่เราให้เวลากับระบบต่างๆ ในร่างกายได้พัก ไม่ว่าจะเป็นสมอง กล้ามเนื้อได้เกิดการคลายตัว และเกิดการซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหายไปให้กลับคืนมาใหม่ ยิ่งได้นอนเร็วก็เท่ากับได้ตักตวงกำไรสำคัญที่จะทำให้ท่านมีสุขภาพดี คนที่นอนเร็วจะไม่เสี่ยงเจ็บป่วยง่ายจากร่างกายที่ทรุดโทรมเกินเยียวยานั่นเองค่ะ

 

2.ร่างกายสร้างภูมิต้านทานและทำให้มีความสุข
รู้หรือเปล่าคะว่าสมองของเราสามารถสร้างความสุขให้กับเราได้ ก็ในช่วงที่เรานอนหลับ ร่างกายของเราจะหลั่งสารเมลาโทนิน ซีโรโทนิน และฮอร์โมนที่เป็นประโยชน์กับร่างกายอื่นๆ ออกมาโดยที่ Hormone Melatonin จะหลั่งเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น ที่จะไปช่วยให้นอนหลับและสร้างภูมิต้านทาน เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาเราก็จะรู้สึกสดชื่น สดใส กระปรี้กระเปร่า และยังมีภูมิต้านทานไม่ให้เกิดอาการป่วยง่ายๆ อีกด้วยค่ะ โดยสถาบันการนอนหลับแห่งชาติ (National Sleep Foundation) ชี้ว่าการนอนหลับมีผลมหาศาลต่อคุณภาพชีวิตของเรา

 

3.ช่วยควบคุมน้ำหนัก
ในบางคนพยายามที่จะลดน้ำหนักเป็นอย่างหนักแต่ทำไมน้ำหนักถึงไม่ลดหรือลดยากเหลือเกิน แต่อย่าลืมนะคะว่านอกเหนือจากการออกกำลังกาย ควบคุมอาหารแล้ว ก็ยังต้องนอนให้เร็วขึ้นและหลับพักผ่อนให้เพียงพอค่ะ เนื่องจากการนอนเร็วจะช่วยสกัดอาการหิวดึกและกินดึกที่จะตามมา ถ้าเรานอนดึกร่างกายก็จะผลิตสารเลปติน (Leptin) น้อยลงซึ่งเลปตินมีบทบาทในการควบคุมความอยากอาหาร เพราะฉะนั้นยิ่งเราอดนอน เลปตินก็จะถูกผลิตออกมาน้อยลงทำให้เรามีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น เช่นอยากทานขนมหวาน และอาหารมันๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการควบคุมและลดน้ำหนักได้

 

4.ทำให้ความจำดีขึ้น
การศึกษาจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน หรือ APA ได้มีการระบุว่า คนที่นอนน้อยหรือหลับได้ประมาณ 4 ชั่วโมงต่อคืนติดต่อกันนานๆเข้าจะมีผลต่อความจำทำให้มีสมาธิสั้นและก่อให้เกิดอุบัติเหตุมากขึ้น นั่นก็เพราะเวลาเรานอน สมองจะมีกลไกช่วยในการจัดระเบียบ กำจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป แต่ถ้าเราอดนอน นอนน้อย นอนไม่พอ เราจะรู้สึกมึน ลืมง่าย หรือไม่ก็ลิ้นพันกันคิดอะไรแต่กลับพูดเป็นอีกอย่าง เพราะฉะนั้นต้องนอนให้เต็มอิ่มจะได้เป็นการชาร์จแบตให้สมอง พร้อมรับความจำใหม่ ๆ ที่เข้ามาในวันต่อๆ ไป

 

5.ช่วยชะลอความแก่
เห็นข้อนี้แล้วอย่ากรีดร้องล่ะ ใครจะรู้ว่าแค่นอนให้เร็วขึ้นก็ช่วยเสริมสร้างความเป็นอัมมะตะให้เราได้และยังป้องกันความเสื่อมชราที่มาหาได้จากพลังการต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสนิมแก่ที่เกิดขึ้นในร่างกายตามธรรมชาติในทุกลมหายใจ แต่การได้นอนจะช่วยให้สนิมแก่ทั้งหลายไม่ให้มาทำร้ายร่างกายก่อนวัยอันควรเป็นพอ ก่อนที่จะไปหาครีมที่ว่าแพงและดีมาใช้ ก็ลองกลับบ้านไปนอนให้เร็วขึ้นอีกนิดเอาให้แน่ใจว่าหลับสนิท และนอนหลับให้ได้ 8 ชั่วโมงต่อวัน รับรองว่าจะดูเด็กและอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

 

6.ช่วยควบคุมความดันโลหิตได้
ในขณะที่เราเลือกที่จะนอนหลับให้เร็วขึ้น ภายในร่างกายจะมีระบบประสาทอัตโนมัติทั้งหลายและกลไกทางชีววิทยาที่เป็นดั่งฟันเฟืองขนาดจิ๋วทั้งหลายเกิด การทำงานที่ซับซ้อนอย่างการไปควบคุมหัวใจและความดันโลหิตให้สงบลงไม่แกว่งขึ้นลงง่ายเหมือนกับตอนตื่น

 

7.ทำให้เป็นคนอารมณ์ดี ไม่วีน ไม่เหวี่ยง
การที่เรานอนให้เร็วขึ้นนั้น ก็จะทำให้ร่างกายของเราได้พักผ่อนได้เต็มอิ่มและเพียงพอต่อเวลาในการซ่อมแซมในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้สารต่างๆ ที่ร่างกายได้สร้างในขณะหลับนั้นก็ได้รับอย่างเต็มที่ ซึ่งตรงข้ามกับเมื่ออดนอนที่นำไปสู่ความอึมครึมของสุขภาพและสมอง ไม่มีสมาธิ ความจำไม่ดี ขี้หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน ความอดทนน้อยลงและอารมณ์เสียง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็คงไม่มีใครอยากที่จะเข้าใกล้เราแล้วแหละค่ะ สุขภาพกายก็เสื่อม สุขภาพจิตยังจะมาแย่อีก

 

8.ร่างกายได้รับการขับสารพิษ
ขณะที่เรานอนหลับเป็นการช่วยปรับให้อวัยวะช่วยล้างพิษทำงานได้ดีขึ้น อย่างตับ ไต และลำไส้ ซึ่งสังเกตได้ว่าคนที่อดนอนอาจมีปัญหาท้องผูก หน้าตาหม่นหมอง ดูไม่สดชื่นและที่สำคัญคือสุขภาพไม่ดี นั่นเพราะส่วนหนึ่งของพิษมาจากการนอนดึกด้วย โดยเฉพาะสาวๆที่ปวดรอบเดือนบ่อยถ้าสามารถปรับเปลี่ยนการนอนได้ก็จะช่วยคุมเคมีที่ทำให้ปวดรอบเดือนได้มากเลยล่ะค่ะ

 

9.ช่วยให้คงความหน้าใสอ่อนเยาว์
โดยปกติแล้วคนในวันหนุ่มสาวจะมีการผลิต “โกรทฮอร์โมน” ได้ดีและมากกว่าคนที่มีอายุมาก และสิ่งสำคัญอีกอย่าง ที่ทำให้ “โกรทฮอร์โมน” ลดลง ก็คือการนอนน้อย นอนดึก จะทำให้ฮอร์โมนตัวนี้ผลิตออกมาน้อยลง คนที่อยากหน้าใส อ่อนเยาว์ ดูเต่งตึง ไม่แก่เร็ว ควรจะเข้านอนเร็วๆ ก่อน 4 ทุ่ม เพื่อให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนตัวนี้ออกมาได้อย่างเต็มที่

 

10.ช่วยลดการเกิดความเสี่ยงโรคกำเริบ
โรคเก่าที่อาจกำเริบได้ในมนุษย์นอนดึกก็คือ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันสูง เบาหวาน ภูมิแพ้ โรคเครียดซึมเศร้ารวมไปถึงโรคมะเร็ง การที่เรานอนดึกนั้นจะไปทำให้ร่างกายเหนื่อยเพิ่มขึ้นอย่างไม่คุ้มค่าเอาซะเลย ร่างกายเมื่อทำงานเกินเวลาก็จะพาให้โรคที่พกอยู่ตามอวัยวะต่างๆพากันแผลงฤทธิ์ขึ้นหรือกำเริบนั่นเอง

 

11.ช่วยเรื่องของผิวพรรณ
ในด้านของผิวหนังนั้น การนอนหลับที่เพียงพอและเวลาที่เหมาะสม ในส่วนของสารเมลาโทนินซึ่งเป็นสารที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์ผิวหนังจากสารอนุมูลอิสระต่างๆ และสารเมลาโทนินจะถูกสร้างมากที่สุดในเวลากลางคืนขณะที่เรานอนหลับ ถ้าเราอดนอนหรือนอนน้อยก็จะทำให้มีการสร้างสารนี้ลดลง ส่งผลให้เกิดการอักเสบหรือภูมิแพ้ของผิวหนังได้ง่ายขึ้น

 

12.ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
การที่เรานอนดึกจะทำให้ระบบในร่างกายต่างๆ เกิดการแปรปรวน ระบบการย่อยอาหารผิดปกติ โดยร่างกายจะต้องใช้เวลามากขึ้นถึง 40 เปอร์เซนต์เพื่อจัดการกับระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต และการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงนานๆ ก็จะไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอนค่ะ

 

www.flickr.com/photos/sophiadphotography/8414241757/