Browse Tag: healthy foods

14 ชนิดของอาหารที่มีฟลาโวนอยด์สูง

Source: Flickr (click image for link)

ฟลาโวนอยด์ “Flavonoid” หรือบางครั้งเราอาจจะเรียกมันว่า  Vitamin P เป็นสารพฤกษเคมีในกลุ่มพอลิฟีนอล ( Polyphenol ) ที่พบและเจอได้อย่างธรรมชาติในเม็ดสีของพืช ผัก ธัญพืช และผลไม้ ซึ่งสีเฉพาะทางพฤษเคมีของฟลาโวนอยด์แล้วจะเป็นสีม่วง น้ำเงินเข้มและดำ ฟลาโวนอยด์จะมีสารประกอบหลายชนิดที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) อย่างเช่นจำพวก ฟลาโวน ( Flavone ) และคาเทชิน ( Catechin ) โดยจะสามารถป้องกันไม่ให้เซลล์หรือเนื้อเยื่อในร่างกายของเราเสื่อมหรือถูกทำลายค่ะ เราจะเข้าใจได้ว่าสารฟลาโวนอยด์ที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายของเราจริงๆ แล้วอยู่ในรูปแบบไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoid) ที่มีผลต่อร่างกายเราดังนี้ค่ะ

  • สารต้านอนุมูลอิสระ
    Flavonoids บางชนิดพบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่ามีวิตามินซีอยู่สูงถึงห้าสิบเท่า จึงไปช่วยในการต่อต้านริ้วรอยและปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจโรคอ้วนโรคเบาหวานและป้องกันโรคเรื้อรังอีกมากมาย
  • ต้านการอักเสบ
    Flavonols (flavonoid ที่พบในโกโก้) ช่วยลดการอักเสบและการยึดเกาะของโมเลกุลที่ทำให้เกิดคราบจุลินทรีย์ในหลอดเลือดแดง Flavonoids ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจโดยเฉพาะหลอดเลือดแดงที่แข็งตัวของเส้นเลือด
  • ป้องกันการเจริญ
    การศึกษาแสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากหัวหอมที่อุดมด้วยฟลาโวนอยด์มีฤทธิ์ต้านการขยายตัวของเซลล์มะเร็งตับและมะเร็งลำไส้ใหญ่ การชะลอตัวหรือการหยุดยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้รับการบันทึกไว้ในการศึกษาหลายชิ้น แต่ต้องการการวิจัยเพิ่มเติม

จึงจะเห็นได้ว่า สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) นอกจากจะเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระแล้วยังช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นได้อีกด้วยค่ะ

 

14 ชนิดของอาหารที่มีฟลาโวนอยด์สูง

Source: Flickr (click image for link)

1.สตรอเบอร์รี่

สตรอเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่นอกจากมีรสชาติอร่อยและอาจเป็นผลไม้ที่โปรดปรานของใครหลายคนแล้ว สตรอเบอร์รี่ยังมีวิตามินซีและคุณค่าทางโภชนาการสูงอีกด้วยค่ะ

 

2.พริกหยวกสีแดง

พริกหยวกสีแดงสดใสนี้มีปริมาณวิตามินซีถึงสามเท่าขของน้ำส้มคั้น และก็ไม่มีน้ำตาลอรกด้วยค่ะ การรับประทานพริกหยวกแบบสดๆ เป็นวิธีที่ดีและง่ายโดยร่างกายของเราจะได้รับ bioflavonoids อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

 

3.กระเทียม

โชคดีที่บ้านเราประกอบอาหารส่วนใหญ่ด้วยกระเทียม เนื่องจากกระเทียมถือเป็น  superfood ในเรื่องของการต้านการอักเสบที่ยอดเยี่ยม กระเทียมยังเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระและเป็นแหล่งที่ดีของ bioflavonoids เช่นกันค่ะ

 

4.กะหล่ำปี
พืชผักอย่างกะหล่ำปลี ก็เป็นอีกทางเลือกในการนำมาประกอบอาหารรับประทานเพื่อให้ได้รับสารไบโอฟลาโวนอยด์ที่ดี

 

5.ส้ม

ส้มเป็นผลไม้ตระกูลกรดซิตริก ที่เป็นแหล่งของวิตามินซีที่ยอดเยี่ยม โดยสาร bioflavonoids ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีจะดอยู่เปลือกของส้ม ดังนั้นแทนที่จะซื้อน้ำส้มแบบเป็นกล่องพลาเจอไรส์มาดื่ม การรับประทานแบบสดๆ จากผลจะได้รับสารไบโอฟลาโวนอยด์ที่เข้มข้นมากกว่าค่ะ

 

6.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ทั้งหลายนั้นจะมีความเข้มข้นสูงของสารฟลาโวนอยด์ โดยเฉพาะผลเบอร์รี่สีแดง สีน้ำเงินและสีม่วง จะพบว่าผลเบอร์รี่ที่มีสีเข้มขึ้นก็จะมีแนวโน้มที่จะมีค่าฟลาโวนอยด์สูงขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง

 

7.มะนาว

มะนาวก็จัดเป็นผลไม้ตระกูลกรดซิติกเช่นเดียวกับส้ม เพราะฉะนั้นการรับประทานสดๆ จากผลจะได้รับประโยชน์โดยตรงรวมถึงวิตามินต่างๆ อีกด้วยค่ะ

 

8.ชาเขียว

ชาเขียวเป็นที่รู้จักกันกันอยู่แล้วในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี จากสาร catechin ที่มีอยู่ในชานั่นเองค่ะ

 

9.บล็อคโคลี่
บล็อคโคลี่เป็นผักที่หลายคนโปรดปรานซึ่งนั้นก็มาถูกทางแล้วค่ะ ใครจะรู้ล่ะคะว่าผักที่มีสีเขียวเข้มอย่างบล็อคโคลี่จะมีวิตามินซีที่สูงและคุณค่าทางโภชนาการที่มากล้นแล้ว ยังเป็นแหล่งชั้นยอดของไบโอฟลาโวนอยด์อีกด้วยค่ะ

 

10.ผักปวยเล้ง
ผักปวยเล้งใบสีเขียวเข้มเป็นผักที่อุดมไปด้วยไบโอฟลาโวนอยด์ที่สูงค่ะ ไม่ว่าจะนำมาปั่นแล้วดื่มแบบสมูทตี้หรือนำประกอบอาหารก็ดีทั้งนั้นค่ะ

 

11.แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยและหารับประทานได้ง่ายทั่วไป อีกทั้งควรที่จะรับประทานทั้งลูกพร้อมเปลือกเพื่อที่จะได้รับสารฟลาโวนอยด์ที่สมบูรณ์ค่ะ

 

12.ถั่ว

พืชตระกูลถั่วนอกจากมีโปรตีนสูงแล้วยังมีสารฟลาโวนอยด์อยู่สูงอีกด้วยค่ะ

 

13.มะม่วง

ผลไม้ในเขตร้อนในบ้านเราที่พอจะหารับประทานได้ง่ายและราคาไม่แพงก็จะเป็นมะม่วงแสนอร่อยนั่นเอง มะม่วงนอกจากรสชาติอร่อยถูกปากแล้วยังเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารไบโอฟลาโวนอยด์อีกด้วยนะคะ

 

14.มะละกอ

มะละกอไม่ว่าจะกินแบบสุกหรือดิบก็ถือได้ว่าเป็นเมนูหลักของบ้านเราเลยค่ะ มีประโยชน์และหามารับประทานไม่ยากแบบนี้ก็เลือกรับประทานได้ตามสะดวกเลยค่ะ

 

 

www.flickr.com/photos/chiotsrun/4752190466/

www.flickr.com/photos/30478819@N08/37437108442/

6 ข้อจากประโยชน์ของอาหารคลีน (Clean Food)

steak-beef-1
Source: Flickr (click image for link)

ตอนนี้ถ้าพูดถึงการลดน้ำหนักโดยการควบคุมการรับประทานอาหาร จะว่าไปก็มีหลายรูปแบบจะเป็นการควบคุมการทานให้น้อยลง หรือการเลือกรับประทานเฉพาะอาหารบางประเภทให้มากกว่า และในช่วงนี้กระแสที่มาแรงก็หนีไม่พ้นอาหารที่เราเรียกกันว่า “อาหารคลีน” (Clean Food) นั่นเอง บาวคนก็ยังไม่เข้าใจถึงหลักการการรับประทานกันเท่าไหร่นัก แต่ก็อยากลองทำบ้าง บางคนก็บอกว่าดี นอกจากลดน้ำหนักได้แล้วยังช่วยในเรื่องของสุขภาพอีกด้วย ก่อนอื่นเลยวันนี้เรามาทำความเข้าใจหลักการของอาหารที่เราเรียกว่าอาหารคลีนกันค่ะ เพื่อเป็นแนวทางให้คนที่กำลังสนใจและไม่รู้จะเริ่มยังไง การรับประทานอาหารคลีนเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดที่จะนำไปสู่ ชีวิตที่มีสุขภาพดี การรับประทานอาหารคลีนคือสิ่งพื้นฐาน ที่ไม่ใช่การควบคุมอาหารตามกระแส การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะใส่ใจเพราะมันไม่ได้มาตามธรรมชาติอีกต่อไป อาหารอเมริกันโดยส่วนใหญ่มีปริมาณไขมันสูง น้ำตาลสูง และอาหารที่มีโซเดียมสูงเป็นส่วนใหญ่ก่อนบรรจุ,ในกระบวนการผลิตและความหลากหลายของอาหาร จานด่วน การรับประทานอาหารคลีนไม่ใช่การลดน้ำหนัก มันเป็นการใช้ชีวิตที่ให้ผลลัพธ์คือสุขภาพที่ดีที่มาจากสารอาหารที่เต็มเปี่ยม นี่คือประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อที่มีความสัมพันธ์กับการรับประทานอาหารสุขภาพที่ดีค่ะ ความจริงแล้วหากพูดกันตามตรงแล้วล่ะก็ การทานคลีนนั้นมีหลายระดับ อยู่ที่เป้าหมายว่าทานเพื่ออะไร โดยไล่ระดับความยากและรายละเอียดต่างๆตามเป้าหมาย คือ ทานเพื่อสุขภาพ  ทานเพื่อลดน้ำหนัก ลดไขมัน ทานเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งทั้งสามกลุ่มเป้าหมายนี้จะมีรายละเอียดในการจัดอาหารที่แตกต่างกันออกไปแต่จะมีหลักการใกล้เคียงกัน

อาหารคลีนคืออะไร ? อาหารคลีน (Clean Food) หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า กินคลีน (Eat Clean, Clean Eating) คือ การทานอาหารที่สด สะอาด โดยเน้นการทานอาหารแบบธรรมชาติไม่ผ่านการปรุงแต่งและขัดสีด้วยสารเคมีต่างๆ หรือกระบวนการหมักดอง รวมถึงอาหารขยะและอาหารสำเร็จรูป ที่จะมีปริมาณแป้ง ผงชูรสและโซเดียมในปริมาณสูง เป็นอาหารที่ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่เสริม หรือดัดแปลงผ่านกรรมวิธีอะไรที่มากมาย อีกทั้งต้องสดสะอาด ไม่ใส่สารกันบูด ไม่เค็มหรือหวานจัด ตัวอย่างเช่น หากเป็นผลไม้ก็จะรับประทานแบบผลสดไม่นำไปดองหรือแช่อิ่มหรือหากเป็นเนื้อสัตว์ก็ต้องเป็นเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน ขาหมู คากิ ตัดออกไปได้เลย เป็นต้น ซึ่งอาหารคลีนนั้นอาจจะมีรสชาติที่ไม่ได้จัดจ้านแบบอาหารปกติสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้จืดชืดจนรับประทานไม่ได้เลย  การรับประทานคลีนนั้นไม่จำเป็นต้องบริโภคผักหรือผลไม้เพียงเดียว แต่ต้องรับประทานให้ครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่พอเหมาะพอดีกับที่ร่างกายต้องการด้วย ซึ่งส่วนนี้เองที่มีส่วนแตกต่างจากการรับประทานมังสวิรัติโดยปริยาย หรืออาจพูดให้เข้าใจได้ง่ายว่า การทานอาหารคลีนนั้นเป็นการกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ โดยทานอาหารอย่างพอเพียงครบสัดส่วนทั้ง 5 หมู่ และอาหารเหล่านั้นต้องไม่มีสารปนเปื้อนนั่นเอง ซึ่งอาหารคลีนนั้นอาจผ่านการปรุงแต่งบ้างเล็กน้อยหรืออาจจะไม่ผ่านการปรุงแต่งเลยก็เป็นได้ เช่นใช้เกลือในการปรุงอาหารรสเพียงเล็กน้อยแทนน้ำปลา หรืออาจจะเป็นซีอิ๊วขาวชนิดที่ไม่มีผงชูรสเจือปน และจะไม่ใช้ผงชูรสในการปรุงอาหาร เป็นต้น

แล้วอาหารแบบไหนที่ไม่ใช่อาหารคลีน ?  อาหารที่ไม่คลีน ง่ายๆ เลยก็คือเป็นอาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูป อาทิ อาหารกระป๋อง,อาหารกึ่งสำเร็จรูป,อาหารแช่แข็ง,อาหารฟาสต์ฟู้ด จั๊งค์ฟู้ด, ขนมกรุบกรอบ, เครื่องดื่มน้ำอัดลม ฯลฯ

การทานอาหารคลีน การทานอาหารคลีนนั้นคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า เป็นการเน้นทานอาหารจำพวกผักในปริมาณเยอะๆ แต่แท้จริงแล้วนั้น การกินอาหารคลีนเป็นการทานอาหารให้ครบสัดส่วน 5 หมู่ โดยเน้นทานอาหารทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ผักและผลไม้ ให้มีปริมาณที่พอเหมาะพอเพียงต่อความต้องการของร่างกาย อาหารคลีนนั้นส่วนใหญ่จะไม่ยึดติดกับรสชาติ แต่จะเน้นความเป็นธรรมชาติมากกว่า ดังนั้นผู้ที่ทานอาหารคลีนจึงต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารใหม่ทั้งหมด โดยค่อยๆ ปรับตัวไปเรื่อยๆ ในขั้นแรกนั้นควรเลือกทานอาหารที่คงความเป็นธรรมชาติไว้ให้มากที่สุด ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด เช่น จากเดิมเคยทานข้าวขาวก็เปลี่ยนเป็นข้าวกล้อง หรือเคยทานผลไม้กระป๋องเป็นประจำก็หันมาเลือกทานผลไม้สดแทน จากที่เคยดื่มชากาแฟก็เปลี่ยนมาดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้แทน นอกจากนี้การทานอาหารคลีนนั้นเวลาจะเลือกซื้อวัตถุดิบหรืออาหาร ควรเลือกที่ปลอดสารเคมี ไม่ใช้วัตถุกันเสีย สารกันบูด วัตถุปรุงแต่ง หรืออาจจะเลือกซื้อวัตถุดิบที่เป็นออร์แกนิคก็ได้ เพราะเป็นของที่ปลอดสารเคมีนั่นเอง อีกทั้งยังควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูงเช่น น้ำอัดลม เบเกอรี่ เป็นต้น รวมทั้งอาหารมันอีกด้วย

  • ทานผักผลไม้มากขึ้น เนื่องจากผักและผลไม้ให้พลังงานต่ำจึงสามารถทานได้ในปริมาณมาก มีเส้นใยสูงช่วยให้อยู่ท้องและช่วยในการขับถ่าย นอกจากนี้ผักและผลไม้ยังมีวิตามินและแร่ธาติสารอาหารมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
  • ตัดไขมันอิ่มตัวออกจากมื้ออาหาร โดยหลักแล้วไขมันที่แนะนำให้งดคือไขมันที่มาจาก นม เนย ชีส และเนื้อสัตว์บางชนิด โดยไขมันดีที่ยังแนะนำให้รับประทานอยู่คือไขมันที่มาจาก น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนล่า เนื้อปลา และถั่วต่างๆ เนื่องจากไขมันเหล่านี้ดีสำหรับหัวใจ และช่วยเพิ่มระดับคอเรสเตอรอลตัวดีอย่าง HDL ในขณะที่ไขมันอิ่มตัวนั้นเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดจึงแนะนำให้จำกัดปริมาณ
  • ลด งด ละ เลิก เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด การดื่มแอลกอฮอลในปริมาณที่พอเหมาะอาจดีต่อสุขภาพ (ประมาณ 1 แก้วต่อวัน(ผู้หญิง)หรือประมาณ 2 แก้วต่อวัน (ผู้ชาย)) มากกว่านั้นอาจทำให้เกิดอาการขาดน้ำและจะทำให้เกิดความอยากอาหารมากกว่าปรกติ
  • ควบคุมความหวาน ปริมาณน้ำตาลที่ทานได้ต่อวันนั้นสำหรับผู้หญิงไม่เกิน 4 ช้อนชา และผู้ชายไม่เกิน 6 ช้อนชา
  • ปริมาณเกลือก็ต้องใส่ใจ ต้องไม่เกิน 2300 มิลลิกรัม หรือประมาณแค่ 1 ช้อนชาต่อวัน
  • เลือกข้าวกล้อง และธัญพืช โดยช้าวกล้องนั้นเป็นข้าวที่ยังไม่ผ่านการขัดสีส่วนของจมูกข้าวออกจึงทำให้ข้าวและธัญพืชเหล่านี้มีคุณประโยชน์จากสารอาหารมากมาย และนอกจากนี้การทานข้าวกล้องและธัญพืชจะทำให้ร่างกายมีกระบวนการดึงไปใช้งานที่เป็นไปอย่างช้าๆ สามารถทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี แถมยังมีกากใยสูงช่วยให้อิ่มนานอีกด้วย
  • อย่าลืมโปรตีน การทานอาหารแบบคลีนนั้นการเลือกแหล่งโปรตีนเป็นเรื่องสำคัญ ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องทาน เป็นอันดับหนึ่ง โดยรองลงมาคือ คาร์โบไฮเดรต และ ไขมัน ตามลำดับ ซึ่งวิธีการเลือกแหล่งโปรตีน ควรเลือกโปรตีนที่มีไขมันดี โดยแนะนำให้เป็นอาหารทะเล เช่นเนื้อปลา สำหรับกุ้ง ปลาหมึก และหอย ควรควบคุมปริมาณ หรือ แหล่งโปรตีนไขมันต่ำที่มีราคาพอซื้อหาได้ เช่น อกไก่ ไข่ เนื้อวัวไม่ติดมัน
  • ดูแลเรื่องสัดส่วนของจานอาหาร ควรจำกัดปริมาณ โดยการชั่งตวง และ แบ่งสัดส่วนจานอาหารให้สมดุล

 

6 ข้อจากประโยชน์ของอาหารคลีน (Clean Food)

 

1.ให้ความรู้สึกที่ดีขึ้น

การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพจะทำให้รู้สึกดีขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบไปด้วย ผัก ผลไม้และโปรตีนไขมันต่ำซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้จะสร้างพลังในตัวที่สมดุลและทำให้คุณรู้สึกดีตลอดทั้งวันสมองปลอดโปร่ง, มีกล้ามเนื้อที่ดีขึ้น  ดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพและระดับพลังงานเพิ่มขึ้น อาหารเพื่อสุขภาพนอกจากนี้ยังส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์และด้วยเหตุนี้ผิว ผม และ เล็บของคุณจึงมีสุขภาพที่ดี

 

2.ควบคุมน้ำหนักและสุขภาพดี

อาหารคลีนเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของคนอยากผอมเพราะนอกจากจะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพแล้วยังช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วยซึ่งถ้าเลือกทานอาหารคลีนในปริมาณที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายไปด้วย นอกจากจะช่วยลดน้ำหนักแล้ว ยังช่วยให้สุขภาพดีอีกด้วยนอกจากนี้อาหารคลีนยังเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งเป็นสารที่พบมากในอาหารที่ไม่ผ่านการขัดสีโดยมีส่วนช่วยให้ระบบขับถ่ายสามารถทำงานได้ดีนั่นเอง

 

3.สร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น

อาหารที่มีประโยชน์ช่วยป้องกันโรคโดยการสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งและลำไส้ การสร้างระบบภูมิคุ้มกันของคุณด้วยอาหารที่ดีต่อสุขภาพช่วยให้สามารถที่จะต่อสู้กับความเจ็บป่วยตามธรรมชาติและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ระบบย่อยอาหารเปรียบสเมือนบ้านของแบคทีเรียมากกว่า500ชนิด แบคทีเรียเหล่านี้จะทำให้ลำไส้มีสุขภาพดีและยังช่วยในการย่อยอาหาร แบคทีเรียเหล่านี้ (โปรไบโอติก)จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงโดยการควบคุมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย คุณสามารถมั่นใจได้ว่าร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันของคุณทำงานในระดับที่เหมาะสมโดยการรับประทานอาหารที่อุดมสมบูรณ์เช่นผลไม้ ผัก  รวมถึงอาหารหมัก โยเกิร์ตและ น้ำ 8-10 แก้วต่อวัน

 

4. สมองโล่ง สดใสตลอดวัน

กระบวนการแปรรูป การบรรจุอาหารขยะเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายรู้สึกเฉื่อยชา การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพทั้งอาหารที่มีไขมันเพื่อสุขภาพปริมาณที่สูง (โอเมก้า 3 กรดไขมัน) จะทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น  สมองต้องการสารอาหารที่เหมาะสม เช่นโปรตีน ไขมันที่ดีต่อสุขภาพและน้ำตาลบางประเภทเพื่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ  อาหารเช่นผักใบเข้ม(ผักคะน้า, ผักขม, ผักชนิดหนึ่ง, หัวผักกาด, มะเขือ, พริกหยวก) มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูงและผลไม้เช่นลูกพรุนลูกเกด, บลูเบอร์รี่, แบล็กสตรอเบอร์รี่, ราสเบอร์รี่, องุ่น, เชอร์รี่มีส่วนช่วยในการปกป้องเซล์สมอง ปลาแซลมอนและปลาทูน่ามีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีประโยชน์ และถั่วซึ่งมีปริมาณวิตามินอีสูงนอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีสำหรับสมองอีกด้วย

 

5. เพิ่มระดับพลังงานในตัว

คนส่วนใหญ่หันไปหาที่พึ่งจากน้ำตาลหรือคาเฟอีนสำหรับการเพิ่มพลังงานในตัว พลังงานเร่งด่วนเหล่านี้เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้มีการตอบสนองต่ออินซูลิน และทำให้เกิดความผิดพลาด ส่งผลให้คุณรู้สึกแย่มากกว่าเดิม ยิ่งกระบวนการมากขึ้น สารอาหารจะยิ่งน้อยลงจนกระทั่งปราศจากสารอาหาร ถึงขั้นนี้ร่างกายจะไม่รู้สึกถึงการถูกกระตุ้นตลอดทั้งวัน การเพิ่มระดับพลังงานในตัวที่มีประสิทธิภาพ คือการรับประทานอาหารให้ช้าลงเพื่อที่จะมีการปล่อยระดับน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสม ทำได้โดยการรวมโปรตีนและเส้นใย อย่างเช่น  ข้าวโอ้ต และผลไม้  โยเกิร์ต และผลไม้ ชีส และ แครกเกอร์ แอปเปิ้ลและเนยถั่ว ชีสกับผัก หรือ ครีมกับผัก เป็นต้น

 

6. ช่วยในการนอนหลับพักผ่อน

วิตามินและแร่ธาตุที่พบในอาหารนอกจากจะช่วยให้ร่างกายของคุณสามารถควบคุมการทำงานของฮอร์โมนตลอดทั้งวันยังส่งเสริมการนอนหลับในเวลากลางคืนได้ดีอีกด้วย การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพจะทำให้ระบบประสาททำงานอย่างเป็นปกติและกระตุ้นการตอบสนองของฮอร์โมนที่ช่วยให้คุณพักผ่อนได้ดีในเวลากลางคืน เป็นที่รู้จักกันดีที่เกิดขึ้นระหว่างการอดนอนและอัตราโรคอ้วนพุ่งสูงขึ้นเป็น การนอน 7-9 ชั่วโมง จะทำให้ร่างกายของคุณมีเวลาเพียงพอในการสร้างกล้ามเนื้อ และซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ได้อย่างตรงจุด และสามารถเพิ่มพลังงาน  ไม่มีคำอื่นใดนอกจาก การรับประทานอาหารที่สะอาด การพักผ่อนที่เพียงพอ เพื่อการมีสุขภาพที่ดีกว่า

 

www.flickr.com/photos/foodswings/4590404802/

10 ชนิดของอาหารที่มีเอสโตรเจนสูง

eating-strawberry-1
Source: Flickr (click image for link)

หลายคนคงมึนงงกับหัวข้อบล็อควันนี้กันว่าเอ๊ะ ชนิดของอาหารเอสโตรเจนคืออะไร? และมีประโยชน์ยังไง แต่อย่าเพิ่งกังวลไปค่ะวันนี้ผู้หญิงอย่างเราๆจะได้รับรู้ข้อมูลที่มีประโยชน์มากมายจากหัวข้อนี้แน่นอนค่ะ ทุกวันนี้การที่จะหาเวลารับประทานอาหารที่ว่ายากแล้วยังไม่เท่ากับการที่จะกินอะไรดีเพื่อให้ได้ประโยชน์และคุณค่าต่อร่างกาย และก็ดูเหมือนว่าสมัยนี้โรคต่างๆนั้นอยู่ไม่ห่างจากเราสักเท่าไหร่ อาหารที่ว่าดีบางทีกินไปแล้วยังทำให้เกิดโรค เอ๊ะทำไมโลกเรามันช่างอยู่ยากขึ้นทุกวันนะ นอกจากอาหารที่เป็นปัจจัยหลักในการดำรงค์ชีวิตของเราแล้ว มลภาวะรอบด้านในแต่ละวันก็ยังก่อปัญหาให้เราอีกอยู่ร่ำไป… เอาล่ะเรามาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่าเนอะ เลยเถิดไปใหญ่แล้ว อิอิ  อาหารที่เรารับประทานในแต่ละวันนั้นมีผลต่อร่างกายเราโดยตรงเพราะในอาหารนั้นมีสารอาหารที่แตกต่างกันไป แต่วันนี้เราจะมารู้จักกับสารตัวหนึ่งที่อยู่ในอาหารและทำให้เราแก่ช้าลงค่ะ นั่นก็คืออาหารที่มีฮอร์โมนเพศหญิงหรืออาหารที่มีเอสโตรเจนสูงนั่นเองค่ะ เหมาะกับสุขภาพผู้หญิงที่ต้องการปรับฮอร์โมนเพศหญิงให้อยู่ในระดับสมดุลกับร่างกาย คืนความสดใสและ healthy ดีดี๊ที่ผู้หญิงคู่ควรกันค่ะ ก็ยังคงมีความงุนงงกันไปอีกว่าเอ..เจ้าฮอร์โมนที่ว่านี้มันคืออะไรกันนะ งั้นก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเจ้าฮอร์โมนตัวนี้กันก่อนเลยค่ะ ฮอร์โมนเอสโตรเจน คือ ฮอร์โมนเพศหญิงที่มีความสำคัญกับสุขภาพผู้หญิงทุกคน เพราะฮอร์โมนเพศหญิงจะช่วยในเรื่องการบำรุงดูแลผิวพรรณ เป็นสารสำคัญของความดูม ๆ ที่หน้าอกหน้าใจ โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ เอสโตรเจนก็จะช่วยในการผลิตน้ำนม อีกทั้งยังมีความสำคัญกับการทำงานของมดลูกและรังไข่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป อายุมากขึ้นเรื่อย ๆ ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายก็จะลดระดับลง ยิ่งเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน เจ้าเอสโตรเจนของสาว ๆ ก็จะหายหน้าหายตาไปซะเฉย ๆ ส่งผลให้เกิดอารมณ์หงุดหงิด เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ผมร่วง หัวล้าน เป็นต้น โอ๊ย ตาย ๆ ถ้าชีวิตเดินไปถึงจุดนั้นขึ้นมา สาว ๆจะหาเอสโตรเจนมาเติมเต็มร่างกายได้จากที่ไหนกันบ้างล่ะ หรือจะเติมเอสโตรเจนให้ร่างกายจากอาหารเหล่านี้ดีนะ เห็นไม่ผิดหรอกค่ะ ในอาหารบางประเภทที่เราไม่เคยทราบมาก่อนเนี่ยแหละค่ะ สามารถที่จะเติมเต็มส่วนของเอสโตรเจนที่หายไปของเราได้ อย่างที่ทราบกัน “การ ลดลงของฮอร์โมนของผู้หญิงและของผู้ชายจะมีความแตกต่างกัน ผู้หญิงมีการลดลงของฮอร์โมนมากกว่าผู้ชาย เห็นได้ว่าในช่วงอายุใกล้กัน ผู้หญิงจะดูแก่กว่า เพราะเวลาฮอร์โมนลดลงจะลดเร็ว แต่สำหรับผู้ชายจะค่อยๆ ลดลง จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงของผู้ชายช้ากว่า แต่ของผู้หญิงจะชัดมาก” คงไม่ต้องเสียเวลาสงสัยกันล่ะค่ะ เราไปดูกันดีกว่าว่ามีอาหารชนิดไหนบ้างไปดูกันเลยค่ะ 

เอสโตรเจนจำเป็นต่อทั้งชายและหญิง เพราะเป็นตัวการสำคัญในการสร้างกระดูก และ มีผลต่ออารมณ์ แต่ถ้าจะเน้นเรื่องหน้าใสผิวพรรณผ่องใส เอสโตรเจนนี่แหละค่ะที่สำคัญกว่าการใช้เครื่องสำอางค์เป็นไหนๆ

เอสโตรเจนได้มาจาก
1. จิตใจ : จิตใจที่ไม่เครียด ไม่รีบร้อน เย็น ๆ รักของสวยงาม มีสมาธิ  จิตแบบนี้ก็จะสร้างเอสโตรเจนได้เอง

2. อาหาร : อาหารต่างๆเหล่านี้แหละที่ให้เอสโตรเจนสูง

 

 

10 ชนิดของอาหารที่ช่วยปรับฮอร์โมนเอสโตรเจน

 

1.น้ำมะพร้าว

น้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ช่วยกระชับผิวพรรณให้เต่งตึง มีความยืดหยุ่น ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย อีกทั้งน้ำมะพร้าวยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย คล้ายกับการทำดีท็อกซ์ จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในร่างกายเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีทั้งภายในและภายนอก

 

2.ลูกพรุน

ในลูกพรุนมีไฟโตเอสโตรเจน สารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงอยู่พอสมควร แถมยังเปี่ยมไปด้วยไฟเบอร์ ที่จะช่วยในเรื่องการขับถ่าย การปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด จะจัดเป็นของว่างอาหารคลีนที่กินแล้วไม่ต้องกลัวอ้วนก็เวิร์ก หรือกินเพื่อเติมฮอร์โมนเอสโตรเจนเข้าไปปรับสมดุลร่างกายก็เด็ด

 

3.เมล็ดแฟลกซ์

เมล็ดแฟลกซ์ก็เป็นซูเปอร์ฟู้ดที่อุดมไปด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนเช่นกัน โดยนอกจากจะช่วยเติมเต็มฮอร์โมนแห่งความเป็นเพศหญิงให้สาว ๆ แล้ว เมล็ดแฟลกซ์ยังมีดีในเรื่องช่วยลดน้ำหนัก ปรับสมดุลการทำงานของระบบย่อยอาหาร และช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกายได้อีกต่างหาก ประโยชน์สุดจี๊ดของเมล็ดแฟลกซ์แบบนี้สาว ๆ จะพลาดได้ยังไงล่ะเนอะ

 

4.งา

ธัญพืชมากประโยชน์อย่างงาก็มีโฟโตเอสโตรเจนสูงไม่แพ้ใคร โดยอยู่ในรูปสารลิกแนน โฟโตเอสโตเจนชนิดหนึ่ง ที่ออกฤทธิ์ไม่ต่างจากฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายเลยสักนิด ซึ่งเมื่อบวกกับปริมาณไฟเบอร์ที่สูง แร่ธาตุต่าง ๆ โดยเฉพาะธาตุเหล็กและแมกนีเซียม ธัญพืชอย่างงาจึงเป็นอาหารบำรุงสุขภาพผู้หญิงที่หากไม่กินก็ถือว่าพลาดเชียวล่ะ

 

5.ถั่วชนิดต่างๆ

โฟโตเอสโตรเจนคือสารที่เราหาได้จากถั่วหลาย ๆ ชนิด ซึ่งแปลได้ว่าหากอยากกินอาหารเพื่อปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิง ถั่วก็เป็นอาหารที่ควรคู่กับครัวบ้านคุณพอสมควร นอกจากนี้ถั่วยังอุดมไปด้วยโปรตีน และไฟเบอร์สูง ดังนั้นสาว ๆ สามารถกินถั่วหมุนเวียนกันไป ในแต่ละวันได้ชิล ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นถั่วชนิดฝัก ถั่วลิสง ถั่วพิตาชิโอ ถั่วแระ ถั่วลันเตา ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง ถั่วเขียว หรือแม้กระทั่งถั่วงอก

 

6.เต้าหู้

เต้าหู้มีไอโซฟลาโวน ฮอร์โมนเอสโตรเจนชนิดหนึ่งจากธรรมชาติ ที่ร่างกายจะดูดซึมได้ดี ที่สำคัญในเต้าหู้ยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็กและโปรตีนที่สูงเทียบเท่าเนื้อสัตว์ได้ชิล ๆ แถมกินแล้วไม่อ้วนด้วยนะ

 

7.น้ำเต้าหู้

ทั้งถั่วเหลืองและเต้าหู้ก็เป็นอาหารมีเอสโตรเจนอยู่แล้ว น้ำเต้าหู้เลยไม่ขอยอมแพ้ แอบมีโฟโตเอสโตรเจนแฝงอยู่ในน้ำเต้าหู้สีขาวนวลด้วย และข้อดีของการรับฮอร์โมนเอสโตรเจนจากน้ำเต้าหู้ก็คือ น้ำเต้าหู้แอบแฝงเอสโตรเจนมาในรูปของเหลว ทีนี้ร่างกายก็จะดูดซึมและนำฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ได้ไปใช้ได้อย่างรวดเร็วนั่นเองนะคะ

 

8.ข้าวสาลีและโฮลเกรน

ข้าวสาลีและโฮลเกรนทุกชนิดมีฮอร์โมนเอสโตรเจนธรรมชาติชนิดไอโซฟลาโวน ซึ่งช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายได้อีกทาง โดยนอกจากข้าวสาลีและโฮลเกรนแล้ว ผักอย่างบรอกโคลีและกะหล่ำม่วงก็มีโฟโตเอสโตรเจนด้วยเช่นกัน

 

9.แครอท

แครอทมีสารลิกแนน โฟโตเอสโตรเจนชนิดหนึ่งที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ทางโภชนาการจึงจัดแครอทให้เป็นอาหารที่มีฮอร์โมนเพศหญิงด้วย ซึ่งนอกจากแครอทแล้ว ยังมีกะหล่ำ สตรอเบอร์รี แอปริคอต และซูกินี ที่เป็นอาหารมีเอสโตรเจนด้วยเหมือนกัน

 

10.องุ่นและผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

ผลไม้ตระกูลเบอร์รีมีสารเรสเวอราทรอล (Resveratrol) ซึ่งการศึกษาจาก Experimental and Therapeutic Medicine พบว่า สารเรสเวอราทรอลมีหน้าที่คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน มีวิตามินซีสูง ดีต่อสุขภาพผิว และเป็นผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วนด้วยนะจ๊ะ

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนรับประทานอาหารที่มีเอสโตรเจนเหล่านี้ ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือนักโภชนาการด้วยนะคะ เพราะการมีฮอร์โมนเพศหญิงมากเกินไป อาจส่งผลให้ระบบฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน จนส่งผลกระทบและความเสี่ยงทางด้านสุขภาพมากกว่าผลดี ดังนั้นเราจึงควรแน่ใจก่อนว่า ร่างกายของเราขาดแคลนฮอร์โมนเพศหญิงจนต้องรับประทานอาหารเสริมเหล่านี้หรือเปล่า 🙂

 

www.flickr.com/photos/anabadili/3375657138/

15 มหัศจรรย์ของอาหารที่ช่วยชะลอความแก่

morning-foods-1
Source: Flickr (click image for link)

พูดถึงความแก่….ผู้หญิงซะส่วนใหญ่ที่กลัวและเครียดจริงไหมล่ะคะ แต่ก็อย่ากังวลไปเลยค่ะความเครียดนี่แหละตัวดีที่ทำให้เราแก่เร็วขึ้น จะยังไงซะการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นเรื่องธรรมชาติเนอะ คงไม่มีใครหลีกหนีพ้น แต่…เรามีวิธีชะลอความแก่ที่เรากลัวนักกลัวหนามาบอกกันค่ะ และก็ไม่เป็นความลับใดๆทั้งสิ้น แค่ง่ายๆด้วยการหันมาใส่ใจในการเลือกรับประทานอาหารเท่านั้นเอง ไม่ต้องไปเสียเงินมากมายในการเข้าคอร์สทำหน้าหรือซื้อครีมที่ราคาแสนจะแพงกันหรอกค่ะ ว่าแต่ ..แล้วจะต้องรับประทานอาหารอะไรยังไง และอาหารแบบไหนที่จะทำให้แก่ช้า..มีด้วยหรอ? อาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวันนั้น คุณทานเพื่อดับความหิวกระหาย หรือต้องการลิ้มรสชาติที่แสนอร่อยในราคาที่แสนแพง… ต้องยอมรับนะคะว่าอาหารที่ดีแต่ไม่แพงก็อร่อยส่วนอาหารที่แพงแต่ได้คุณภาพดีเยี่ยมนั่นก็ดีเช่นกัน แต่ถ้าแพงแล้ว รสชาติดีเยี่ยมแล้ว แต่ไม่ได้ให้คุณประโยชน์อะไรเลย นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง เอาล่ะยังไงการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกต้องและให้ประโยชน์ต่อร่างกายเราถึงแม้รสชาติจะไม่ถูกปากหรือบางอย่างราคาก็แสนแพง แต่บางทีนั้นเราก็ต้องยอมปรับเปลี่ยนเมนูเพื่อแต่ละวันจะได้รับอาหารที่มีประโยชน์ที่สุด แต่ขอบอกเลยว่าอาหารแต่ละชนิดที่จะมาบอกในวันนี้ นอกจากจะเป็นสิ่งที่เราๆชอบทานกันแล้วยังให้ประโยชน์ล้มหลามเลยแหละค่ะ อาหารแต่ละชนิดคุ้นหูแล้วยังต้านแก่อีกแหน่ะ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ความลับ ขยับเข้ามาใกล้ๆ อยู่แค่นี้เอง นี่ไง HealthGossip กำลังบอกคุณว่า ต่อไปนี้เราจะไม่กลัวแก่กันแล้วค่ะ มาดูกันเลยดีกว่าว่าอาหารเหล่านั้นมีอะไรบ้างเอ่ย แท่น แท๊น….

 

15 สุดยอดอาหารต้านความแก่

 

1.ปลา

มีผลการวิจัยว่าการทานปลาเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ ชาวอลาสก้าไม่มีปัญหาเกี่ยวเรื่องโรคหัวใจเลย เพราะพวกเขาทานปลากันกันทุกวัน เนื้อปลาอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันต่ำที่จำเป็นต่อสมองและการทำงานของหัวใจ สารอาหารจากปลายังช่วยลดความดันโลหิต ลดระดับโคเลสเตอรอล และยังชะลอความแก่ได้อีกด้วย ปลาที่แนะนำก็จะเป็น ปลาแซลมอน  สารสีส้มที่ผิวของปลาแซลมอน เป็นสารในกลุ่มคาโรตีน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ทำให้หัวใจมีสุขภาพดี ช่วยป้องกันโรคไตเสื่อมจากเบาหวานอีกด้วยค่ะ

 

2.เบอร์รี่

ผลไม้ในตระกูลเบอรี่ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ แบล็คเบอรี่ ราสเบอรี่ แครนเบอร์รี่ ล้วนอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยทำให้เซลล์มีสุขภาพดีและช่วยปกป้องคุณจากโรคด้วย นอกจากนี้ แบล็คเบอรี่ยังช่วยปกป้องคุณจากมะเร็งและโรคเบาหวานได้ด้วย

 

3.ดาร์กช็อกโกแลต

พูดถึงช็อกโกแลตแล้วคงยิ้มกันเลยสินะคะ และช็อคโกแลตที่ดีเพื่อสุขภาพนั้นต้องผสมโกโก้ไม่ต่ำกว่า 70% ที่มีความเข้มข้นสูง ที่เราเรียกกันว่าดาร์กช็อกโกแลตนั่นแหละค่ะ ดาร์กช็อกโกแลต มีสาร “ฟลาโวนอยด์” (Flavonoid) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และเป็นชนิดเช่นเดียวกับไวน์แดง พืชผัก ผลไม้ และใบชา จึงช่วยปกป้องผิวจากแสงยูวีได้นั่นเองรวมถึงช่วยปกป้องผิวของเราจากอาการอักเสบเนื่องมาจากการสัมผัสแสงอัลตราไวโอเลตซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งผิงหนัง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน ลดไขมันอุดตันในเส้นเลือดที่หัวใจ  ป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคเส้นเลือดสมองได้  โกโก้มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง นี่คือเหตุผลที่ทำให้สาวๆ ที่โปรดปรานการทานช็อคโกแลตปลื้มปริ่มตามกัน นอกจากของโปรดที่แสนจะอร่อยแล้วนั้นยังช่วยให้สาวๆแก่ช้าลงด้วยค่ะ

 

4.น้ำมันมะกอก

ถูกนำมาใช้ในการปรุงอาหารชนิดต่างๆ มีอัตราไขมันอิ่มตัวต่ำช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและป้องกันโรคหัวใจได้ คนที่ทานน้ำมันมะกอกเป็นประจำจะช่วยชะลอวัย เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินอีที่จะช่วยทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นสูง ผิวเปล่งปลั่ง และลดริ้วรอยเหี่ยวย่น

 

5.ชาเขียว

ชาเขียวที่เราชอบดื่มกันดีๆนี่เองแหละค่ะ เพราะในชาเขียวนั้นมีสาร epigallocatechin gallate (EGCG) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการขับสารพิษในร่างกาย สามารถกวาดล้างอนุมูลอิสระที่เป็นตัวกัดกร่อน DNA ในกระแสเลือดลงได้ จึงส่งผลในการช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายและสามารถช่วยชะลอความแก่ชราและช่วยคงความอ่อนเยาว์ไว้ได้นั่นเองค่ะ

 

6.ธัญพืชประเภทถั่ว

ธัญพืชประเภทถั่ว เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง และถั่วเหลือง ประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดรวมไปถึง ธาตุเหล็ก วิตามินบี และโพแทสเซียม ถั่วเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัว ล่าสุดได้พบว่าคนกินถั่วทุกวันอายุยืนยาวกว่าคนที่ไม่กิน ถั่วมีสารอาหารมากมายทั้งแร่ธาตุและวิตามินอีที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระสูง จึงเป็นสุดยอดอาหารชะลอความแก่ได้อย่างดี ขอบอกว่าทานถั่ววันละ 1 กำ ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้

ถั่วเหลืองจะมีสารอาหารที่ชื่อว่า ไอโซหลาโวน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประเภทหนึ่ง เหมาะสำหรับคนที่อยู่ในช่วงวัยทอง โดยสรรพคุณของมันจะเข้าไปทำหน้าที่ลดปัญหาและอาการผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงวัยนี้ เทียบได้กับฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ขาดแคลนไป ช่วยชะลอการเสื่อมของกระดูก ลดการเกิดโรคกระดูกพรุน ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง และดูอ่อนเยาว์มากขึ้น

ถั่วแดงมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ และมีโปรตีนช่วยช่อมแซมร่างกาย มีธาตุเหล็กช่วยในการกระตุ้นพลังงาน วิตามินบี และแมกนีเซียม กากใยยังช่วยลดคอเลสเตอรอล

ถั่วเขียวเป็นแหล่งของโปรตีนไขมันต่ำที่สำคัญซึ่งดีต่อหัวใจของคุณด้วย

 

7.ไวน์แดง

คุณอาจไม่อยากเชื่อเมื่อรู้ว่าไวน์แดงดีต่อสุขภาพของคุณ สารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารต่าง ๆ ในไวน์แดงช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ ช่วยปกป้องเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดฝอย นอกจากนี้ยังพบสารประกอบอื่นอย่างเรสเวอราโทรลในไวน์แดงที่ช่วยป้องกันเส้นเลือดขอด ลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง ลดการอักเสบ และช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลด้วย ไวน์เป็นเครื่องดื่มที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก ถ้าเราดื่มไวน์ในปริมาณที่พอดีก็จะช่วยป้องกันโรคภัยได้มากมาย สำหรับผู้หญิงควรดื่มไวน์แดงประมาณหนึ่งแก้วต่อวัน จะช่วยลดโรคความจำเสื่อม โรคเบาหวาน และช่วยให้หลับง่ายขึ้น

 

8.อะโวคาโด

การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และปกป้องผิวจากอันตรายที่เกิดจากแสงแดด เนื่องจากอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี และกลูทาไธวัน อโวคาโดยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ต้านความแก่ที่ดีที่สุดอีก นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี 6 และวิตามินซี กับแร่ธาตุแมกนีเซียมซึ่งช่วยในการสร้างฮอรโมน ความสุขเซโรโทนินและโดพามีน เพราะฉะนั้นถ้าเรารับประทานอโวคาโดเป็นประจำ ก็จะส่งผลต้านความชราอย่างสูงสุด อาจจะบดอะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็นของทานเล่นดูก็ได้ หรือจะเป็นสลัดอะโวคาโดดีน้า

 

9.กระเทียม

กระเทียมเป็นที่รู้จักกันว่ามีสารชะลอความแก่ ซึ่งรวมไปถึงสามารถลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดและความดันโลหิตด้วย ลดการอักเสบและปกป้องเซลล์ให้มีสุขภาพดี กระเทียมช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ด้วย ในสมัยก่อนมีการใช้กระเทียมเพื่อกำจัดอาการติดเชื้อทั้งไวรัสและแบคทีเรียในระบบร่างกายมนุษย์ นอกจากนี้ กระเทียมยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร ลำไส้ เต้านม และตับอ่อนด้วย

 

10.ผักใบเขียว

ผักสดมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง วิตามินและแร่ธาตุในผักจะช่วยต่อสู้กับอนุมูลอิสระจึงช่วยชะลอความแก่ได้ ผักที่ดีที่สุดคือผักใบเขียวและมีลักษณะเป็นใบ เช่น ผักปวยเล้งและคะน้า ซึ่งจะช่วยต่อสู้กับการถูกทำร้ายเนื่องจากรังสียูวีได้ นอกจากนี้ทั้งพริกแดง พริกเขียวและพริกเหลืองต่างก็มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำๆจากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรง ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศกระเทียม พริกแดง แตงกว่า น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์มหาศาลจากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ดจากฝีมือของคุณเองอีก

 

11.ส้ม

ส้ม ซึ่งเป็นผลไม้ที่รับประทานง่าย เพราะเรารู้ว่าในส้มมีวิตามินซี และวิตามินซีนี้ จัดว่าดีต่อการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิว จึงทำให้ผิวแน่น และอิ่มเอิบ ทางออสเตรเลียได้ค้นคว้าและพบว่า ส้มมีไฟโตเคมิเคิลต่างๆรวมกว่า 170 อย่าง ส้มจึงมีประโยชน์ช่วยป้องกันการอักเสบ ต่อสู้กับโรคมะเร็ง และยังสามารถป้องกันโรคโลหิตอุดตันอีกด้วย

 

12.แอปเปิ้ล

การทานแอปเปิ้ลเพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนเต็มที่นั้น ควรทานทั้งเปลือกเนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องสมองจากการถูกทำลาย ดังนั้น เวลาเราเคยทานแอปเปิ้ลแบบที่ต้องปลอกเปลือกก่อนทุกครั้งนั้นก็ต้องลองปรับเปลี่ยนมาทานแบบไม่ต้องปลอกเปลือกกันดูนะคะ และนอกจากนี้แอปเปิ้ลยังมีสารเกอซิตินซึ่งเป็นแอนตี้แดนท์ต้านการอักเสบ และยังช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่อยู่ในร่างกาย ถ้าเรารับประทานแอปเปิ้ลเป็นประจำจะช่วยให้ปอดแข็งแรง และลดความเสี่ยงของโรคหอบหืดอีกด้วยค่ะ

 

13.เต้าหู้และนมถั่วเหลือง

ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ถือเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีเยี่ยมแถมยังมีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆมากมาย เช่น แคลเซียม เหล็ก สังกะสี วิตามินบี เป็นต้น ทั้งถั่วเหลืองและเต้าหู้ก็เป็นอาหารที่มีเอสโตรเจนหรือฮอร์โมนเพศหญิงที่จะช่วยในเรื่องการบำรุงดูแลผิวพรรณ และในน้ำเต้าหู้ยังมีโฟโตเอสโตรเจนแฝงอยู่ และข้อดีของการรับฮอร์โมนเอสโตรเจนจากน้ำเต้าหู้ก็คือ น้ำเต้าหู้แอบแฝงเอสโตรเจนมาในรูปของเหลว ทีนี้ร่างกายก็จะดูดซึมและนำฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ได้ไปใช้ได้อย่างรวดเร็วนั่นเองนะคะ และเต้าหู้และถั่วเหลืองยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ของร่างกายไม่ให้สูงจนเกินไป และช่วยให้การหลั่งอินซูลินอยู่ในระดับที่เหมาะสม ระดับน้ำตาลและอินซูลินที่สูงเกินไปนั้นจะทำให้เป็นโรคเบาหวาน เซลส์ต่างๆเสื่อมสภาพเร็ว และที่สำคัญทำให้แก่เร็วและแก่เกินวัย

 

14.ไข่

ให้ลืมข้อเสียเรื่องคอเลสเตอรอลที่เคยเชื่อกันมานานไปได้เลยค่ะ เพราะไข่นี่แหละมีครบทั้งเกลือแร่ วิตามิน และก็โปรตีน ไข่แดงนั้นยังอุดมไปด้วยคาโรทินอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยมยอดนั่นเอง

 

15.ขมิ้น 

ขมิ้นที่เราชอบนำมาทำเป็นเครื่องเทศในอาหารนี่แหละค่ะ ขมิ้นเป็นผงสีเหลืองที่ใส่ในแกงกะหรี่ ในขมิ้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันของโรคอัลไซม์เมอร์อีกด้วย แหมเอาใจคนที่ชอบข้าวแกงกะหรี่กันเลยแหละคราวนี้ ยังไงก็อย่าพลาดเมนูข้าวแกงกะหรี่กันนะคะ

 

“อาหาร” เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำหรับการดำรงค์ชีวิตในแต่ละวันของมนุษย์โลก การที่ได้รับประทารอาหารที่ดีอร่อยและราคาแพงใช่ว่าจะทำให้เราต้องมีสุขภาพที่ดีเสมอไป แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ค่ะเพราะว่าอาหารที่มีราคาแพงนั้นก็ย่อมเป็นส่วนที่ช่วยให้เราได้รับประทารอาหารที่มีคุณภาพดีเยี่ยมแต่ก็ต้องให้ถูกเมนูเช่นกัน และต่อจากนี้ หวังว่าอาหาร 15 ชนิดข้างต้นจะเป็นแนวทางในการเลือกรับประทานหรือแนวทางในการประกอบอาหารทานเองที่บ้านก็ดี แค่นี้ความแก่น่ะหรอ….เชิ่ดใส่เลยค่ะ 🙂

 

www.flickr.com/photos/sharisberries/16750735390/

  • 1
  • 2