Browse Tag: Vegetable

Vitamin A คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร

carotene-fruits-1“วิตามินเอ” (Vitamin A) เป็นวิตามินอีกตัวที่สำคัญและมีประโยชน์ไม่แพ้กับวิตามินชนิดอื่นๆ แต่ถึงจะมีประโยชน์มากมายเพียงใด การที่ได้รับวิตามินเอไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อร่างกายของเราโดยเฉพาะดวงตา ผิวหนัง และระบบภูมิต้านทานโรค แล้วทำอย่างไรจึงจะไม่ขาดวิตามินเอจนร่างกายเจ็บป่วยล่ะและถ้าหากได้รับในปริมาณที่มากเกินไปอีกล่ะ ดังนั้นเราจึงต้องมาทำความรู้จักกับประโยชน์และโทษของวิตามินชนิดนี้กันให้กระจ่างแจ้งกันค่ะ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ร่างกายของเราได้รับวิตามินชนิดนี้อย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุดและก็จะได้มั่นใจว่าจะไม่ก่อโทษต่อร่างกายตามมาในภายหลัง… วิตามินเอ (Vitamin A) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ค้นพบโดย ดร. อี.วี. แมคคอลลัม (E.V. McCollum) นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐอเมริกา ร่างกายของเราสามารถสะสมวิตามินเอได้นานมากอาจนานได้ถึง 1 หรือ 2 ปี โดยเก็บไว้ในชั้นเซลล์ไขมัน  

วิตามินเอจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

  1. อยู่ในรูปแบบวิตามินอยู่แล้ว (Proformed Vitamin A) หรือเรียกว่า Retinol ซึ่งได้มาจากเนื้อสัตว์ เช่น น้ำมันตับปลา อาหารประเภทเนื้อ ไข่ ตับและเครื่องใน
  2. กำลังจะเป็นวิตามินเอ (Provitamin A) หรือเรียกว่า เบต้า แคโรทีน (Beta-Carotene) เป็นสารที่เมื่อเข้าสู่รางกายจึงได้รับการเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ พบมากในผักสีต่างๆ เช่น แครอท ผักโขม

 

เกี่ยวกับวิตามินเอ หรือ Retinol

  • วิตามินเอ (Vitamin A) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน
  • วิตามินเอจะถูกดูดซึมไปใช้ในร่างกายได้ดีที่สุดเมื่อกินร่วมกับอาหารที่มีน้ำมันหรือไขมันเป็นส่วนประกอบ
  • เมื่อร่างกายใช้ไม่หมดก็จะเก็บสะสมไว้ที่ตับ
  • ถ้าได้รับวิตามินเอจากอาหารปกติ ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าร่างกายจะได้รับอันตรายแต่อย่างใดเพราะมันไม่เข้มข้น
  • การไดรับวิตามินเอจากอาหารเสริมต่างๆ มักจะมีความเข้มข้นสูง ซึ่งหากได้รับเป็นระยะเวลานาน ก็ส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่าประโยชน์
  • วิตามินเอมีหน้าที่ช่วยในการมองเห็น การเจริญเติบโตของกระดูก การแบ่งตัวของเซลล์ การกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค ซ่อมแซมผิวของตาและหลอดลมทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายยากขึ้น
  • วิตามินเอยังช่วยกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาวโดยเฉพาะ lymphocyte ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และระบบสืบพันธุ์
  • วิตามินเอ จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ Retinol และ Beta-carotene
  • วิตามินเอพบมากในอาหารประเภทเนื้อ ไข่ นม ตับและเครื่องใน ในรูปแบบของสารวิตามินที่ออกฤทธิ์ได้ทันที่ ที่เราเรียกว่า Retinal
  • ผักผลไม้ที่ให้วิตามินเอส่วนใหญ่จะมีสีเหลือง ส้ม แดง และเขียวเข้ม เช่น ผักปวยเล้ง  ผักโขม ข้าวโพด มันฝรั่ง ฟักทอง คะน้า เป็นต้น เพราะมีเบต้าแคโรทีนและแคโรนอยด์ที่อยู่ในรูปแบบสารตั้งต้น โดยร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอต่อไป
  • นมพร่องมันเนยจะมีวิตามินเอต่ำเพราะวิตามินเอละลายในไขมัน โดยในขณะที่วิตามินเอจากเนื้อสัตว์จะดูดซึมได้ดี
  • เนื่องด้วยวิตามินเอในผักผลไม้มีความไวต่อออกซิเจนมาก ดังนั้นวิธีการต้มที่ป้องกันการสูญเสียวิตามินได้ดีทีสุดคือ ควรปิดฝาภาชนะขณะต้มและใส่น้ำน้อยๆ
  • ร่ายกายคนเราต้องการวิตามินเอในแต่ละวันอยู่ที่วันละ 4,000-5,000 IU
  • การได้รับวิตามินเอไม่เพียงพอจะส่งผลต่อร่างกายของเราโดยเฉพาะดวงตา ผิวหนัง และระบบภูมิต้านทานโรค
  • วิตามินเอ ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตได้อย่างปกติ ไม่ชะงัก หรือหยุดการเจริญเติบโตก่อนวัย
  • วิตามินเอ ช่วยป้องกันอาการเบื่ออาหาร (แต่ถ้าได้รับมากเกินไปก็จะมีผลตรงกันข้าม)

 

 

ประโยชน์ของวิตามินเอ

คุณค่าของ “วิตามินเอ” เป็นที่รู้กันดีว่า คุณค่าทางโภชนาการของวิตามินเอนั้นที่เราต่างก็จะรู้จักกันในนามของวิตามินที่บำรุงสายตาที่สำคัญตัวหนึ่งนั้น โดยจะมีส่วนประกอบที่สำคัญของ “คอร์เนีย” ช่วยให้มีสายตาที่เป็นปรกติ เนื่องจากวิตามินเอจะช่วยในการบำรุงสายตา ช่วยให้ตาปรับสภาพในที่มืดได้ดี หรือช่วยป้องกันโรคตามัวตอนกลางคืนที่เราเรียกกันว่า Night Blindness ทำให้มองเห็นในที่มืดได้ดีขึ้น แต่นอกจากในเรื่องของการบำรุงสายตาแล้ววิตามินเอยังมีประโยชน์อีกมากมายที่เราอาจจะยังไม่ทราบกันค่ะ

 

วิตามินเอ ช่วยให้ไม่เป็นโรคตาฟาง คนที่เป็นโรคนี้จะมองเห็นในที่มืดได้ไม่ค่อยชัดทั้งๆที่มีแสงพอที่จะมองเห็นได้ ถ้าขาดวิตามินเอมากๆ ก็จะทำให้ไม่สามารถมองเห็นในที่มืดได้เลย ซึ่งมักเรียกคนที่มีอาการเหล่านี้ว่า “พวกตาบอดกลางคืน” โดย Retinol จะรวมตัวกับโปรตีนชื่อ ออพซิน (opsin) เป็นสารประกอบโรดอพซิน (rhodopsin) ซึ่งมีคุณสมบัติดูดแสงและปรับสายตาให้มองเห็น สารประกอบนี้จะสลายไปเมื่อถูกใช้แล้ว ดังนั้น การบริโภคอาหารที่ให้วิตามินเอที่เพียงพอในการสร้างโรดอพซินได้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

 

วิตามินเอ ช่วยให้ตาสู้แสงในเวลากลางวัน คนที่ขาดวิตามินชนิดนี้ จะทำให้ตาไม่ค่อยสู้แสงในเวลากลางวัน ตาไวต่อแสงทำให้แสบตาง่าย และทำให้น้ำตาไหลได้ง่ายด้วย

 

วิตามินเอ ช่วยป้องกันเยื้อบุนัยน์ตาแห้ง คนที่ขาดวิตามินเอมากๆ เยื่อบุนัยน์ตาจะแห้งและมีโอกาสอักเสบได้ง่าย เปลือกตาบวม มีจุดขาวๆ ที่ตาเหมือนมีฟองน้ำเกาะที่เยื่อบุตา และมีเม็ดขึ้นบนผิวกระจกตา ซึ่งถ้าไม่รักษาและปล่อยให้ขาดวิตามินเอนานๆ อาจทำให้ตาบอดได้

 

วิตามินเอ ช่วยป้องกันผิวหนังแห้ง หยาบ และพุพอง คนที่ขาดวิตามินชนิดนี้ขั้นรุนแรงจะเป็นโรคหนังคางคก ซึ่งเป็นโรคที่ผิวหนังจะมีลักษณะเป็นตุ่มๆ สากๆ เกิดได้ทุกบริเวณของร่างกาย เช่น แขน ขา หลัง หน้าอกและหน้าท้อง เป็นต้น

 

วิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยไม่ให้เกิดสิวได้ง่าย เนื่องจากวิตามินชนิดนี้ เป็นวิตามินที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีผลช่วยให้ลดการเกิดสิวได้ง่าย บางคนที่รักษาสิวมาหลากหลายวิธีแต่สิวก็ยังคงไม่หายซักที อาจเป็นเพราะมีสาเหตุมาจากการขาดวิตามินชนิดนี้ก็เป็นได้

 

วิตามินเอช่วยให้เหงื่อไม่ออกง่าย เนื่องจากวิตามินเอ ทำให้รูปขุมขนที่ผิวหนังชั้นนอกมีการสะสมของเคราติน ทำให้เยื่อบุเป็นเกล็ดหนาและไม่ค่อยมีเหงื่อ

 

วิตามินเอ ช่วยป้องกันผิวแห้งแตกลายงา ถ้าหากไม่อยากให้ผิวแห้งแตกลายงาเหมือนดินที่ขาดน้ำ หรือแตกเป็นเกล็ดคล้ายคนขาดไขมัน ก็หมายความว่า คุณกำลังขาดวิตาเอ และไขมัน (เพราะวิตามินชนิดนี้ละลายในไขมัน)

 

วิตามินเอ ช่วยป้องกันเซลล์ชนิดเยื่อบุต่างๆ ของร่างกายไม่ให้เกิดการผิดปกติ ซึ่งถ้าเยื่อบุต่างๆ ของร่างกายผิดปกติ ก็จะทำให้อวัยวะต่างๆ ของร่างกายเกิดผิดปกติไปด้วย เช่น มีการอักเสบของทางเดินหายใจ เพราะเยื่อบุบริเวณช่องจมูกเกิดผิดปกติ เป็นต้น

 

วิตามินเอเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย มีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยต่อสู้กับโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และปรสิต จึงทำให้ไม่ติดเชื้อง่าย ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่ายจนเกินไป

 

วิตามินเอกับผิวพรรณ ในแง่ของสุขภาพผิวและความสมดุลของฮอร์โมนนั้น วิตามินเอ มีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยได้มีงานวิจัยยืนยันว่าผู้ที่เป็นสิวรุนแรงนั้นมีระดับวิตามินเอในเลือดต่ำ มีรายงานว่า หญิงที่มีภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลและเป็นสิว เมื่อได้รับได้รับอาหารเสริมวิตามินเอ สิวก็สามารถหายภายในไม่กี่สัปดาห์ รวมถึงรอยแผลสิวก็เริ่มลดลงหลังจากได้รับอาหารเสริมวิตามินเอ 2 สัปดาห์

 

 

อันตรายจากการขาดวิตามินเอ

โรคผิวหนัง เนื่องจากวิตามินเอมีส่วนสำคัญในการรักษาสภาพเยื่อบุผิวหนัง ขาดวิตามินเอทำให้ผิวพรรณขาดความชุ่มชื้น หยาบกร้าน แห้งแตก โดยเฉพาะผิวหนังบริเวณข้อศอก ตาตุ่มและข้อต่อด่างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคผิวหนัง เช่น สิวและโรคติดเชื้ออื่นๆ ได้

ตาฟาง หน้าที่ของวิตามินเอคือช่วยในการสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็น หากขาดจะทำให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย และทำให้เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามินเออย่างรุนแรงอาจทำให้ตาบอดได้

ความต้านทานโรคต่ำ วิตามินเอเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราทำงานตามปกติ การขาดวิตามินเอจึงทำให้เกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้เกิดการอักเสบในโพรงจมูก ช่องปาก คอ และที่ต่อมน้ำลาย

อันตรายจากการได้รับวิตามินเอเกิน

แท้งลูกหรือพิการ หญิงมีครรภ์ที่ได้รับวิตามินเอมากเกินไปมีความเสี่ยงต่อภาวะทารกในครรภ์คลอดออกมาพิการหรือแท้งได้ เนื่องจากวิตามินเอมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์ ซึ่งอาจทำให้เด็กมีความผิดปกติที่ทางเดินปัสสาวะ กระดูกผิดรูป หรือมีติ่งปูดออกมาที่บริเวณหู

อ่อนเพลีย หากร่างกายได้รับวิตามินเอเกินครั้งละ 15,000 ไมโครกรัม จะมีผลทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและอาเจียนได้

เจ็บกระดูกและข้อต่อ เบื่ออาหาร เซื่องซึม นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ผมร่วง ปวดศีรษะ ท้องผูก ทั้งหมดนี้เป็นโทษในระยะยาวที่เกิดจากการรับประทานวิตามินเอมากเกินไป

ในสัตว์กระเพาะเดี่ยว เมื่อได้รับเกินความต้องการ 4-10 เท่า จะทำให้โครงกระดูกผิดปกติ

ในสัตว์เคี้ยวเอื้อง เมื่อได้รับเกิน 30 เท่า จะเกิดอาการผิดปกติ

 

www.flickr.com/photos/jalb/117560810/

Coenzyme Q10 คืออะไร มีความสำคัญแค่ไหน

girl-with-sun
Source: Flickr (click image for link)

Hello สวัสดีค่ะ..  วันนี้จะมาพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ “โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ” (Coenzyme Q10) กันค่ะ หลายคนคงสงสัยกันจังว่ามันคืออะไรกันนะ ทำไมชอบเห็นบ๊อยบ่อยในผลิตภัณฑ์ต่างๆ และมันช่วยในเรื่องอะไรกันแน่นะ ทำไมถึงเห็นคนเค้าซื้อกันจัง เราก็มีอารมณ์แบบเออๆลองซื้อดูมั่งซิ เห็นเค้าบอกว่าดี บอกว่าช่วยเรื่องผิวพรรณ!!  พูดถึงเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ อย่าให้ได้ยินเชียว เพราะถ้าได้ยินถึงหูแล้วล่ะก็…เป็นอันต้องรีบไปหา ไปซื้อกันเลยทีเดียวใช่ไหมล่ะคะ ในบ้านเรา เราก็จะเห็นกันอยู่ในหลายรูปแบบเลยทีเดียวค่ะ บ้างก็มีอยู่ในรูปแบบยาบำรุงหรืออาหารเสริม บ้างก็แชมพู เครื่องดื่ม ครีม สกินแคร์ต่างๆ แล้วอย่างนี้ถ้ามีใครมาถามเราว่ามันคืออะไร ช่วยในเรื่องอะไรบ้าง เราก็ดันตอบเค้าไม่ได้..เพราะตัวเราเองก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องเหมือนกันอ่ะเนอะ ไม่เป็นไรค่ะ คำถามนั้นเรามีคำตอบให้เรียบร้อย เพราะฉะนั้นวันนี้ HealthGossip จึงไปหาข้อมูลคลายความสงสัยกันค่ะ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เดี๋ยวเรามาทำความรู้จักกับเจ้าตัวนี้ไปด้วยกันว่าที่จริงแล้วมันคืออะไรกันนะและช่วยอะไรเราบ้างค่ะ

 

โคเอ็นไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10) คืออะไร

Coenzyme Q 10  หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Ubiquinone เป็นสารคล้ายวิตามินที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นสารที่มีบทบาทในการเพิ่มพลังงานให้แก่เซลล์ เพื่อใช้เป็นพลังงานในร่างกาย เป็นสารสำคัญในการสังเคราะห์ Adenosinetriphosphate (ATP) ซึ่งเปรียบได้กับขุมพลังงานของเซลล์ทั่วร่างกายเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์จากการทำลายโดยอนุมูลอิสระและยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคร้าย Coenzyme Q10 เป็นสารที่ร่างกายสามารถผลิตได้เองโดยธรรมชาติและมีความจำเป็นต่อร่างกาย Coenzyme Q10 พบในเซลล์ทุกเซลล์ที่มีชีวิตในร่างกายโดยจะอยู่ที่ส่วนเยื่อหุ้ม (Membrane) ของไมโตคอนเดรีย ซึ่งไมโตคอนเดรีย (Mitochondrial) นี้ทำหน้าที่ในการผลิตพลังงานให้กับเซลล์ โดยพลังงานดังกล่าวจะอยู่ในรูปของ ATP (AdenosineTriphosphate ) ซึ่งเป็นพลังงานพื้นฐานของเซลล์ Coenzyme Q10 ถูกพบมากในอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูงซึ่งจะมีจำนวนไมโตคอนเดรีย(Mitocondrial) มาก เช่น หัวใจ ตับ กล้ามเนื้อ สมอง ส่วนอวัยวะอื่นๆก็พบ Coenzyme Q10 เช่นกันแต่พบค่อนข้างน้อยเนื่องจากอวัยวะดังกล่าวต้องการพลังงานน้อยจึงมีจำนวนไมโตคอนเดรีย (Mitochondrial) น้อยตามไปด้วย ถัาระดับของ Coenzyme Q10 ลดลง ร่างกายจะไม่สามารถแปลงพลังงานจากอาหารให้อยู่ในสภาพที่ร่างกายจะนำไปใช้ได้ เลยทำให้เกิดการเจ็บป่วย ร่างกายอ่อนเพลีย ระบบภูมิคุัมกันเสื่อมสภาพตามมาได้

 

โคเอ็นไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10) มาจากไหน

Coenzyme Q10 ตามธรรมชาตินั้น เกิดขึ้นเองภายในเซลล์ของอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูงเช่น หัวใจ ตับ ไต และยังพบที่เซลล์อื่นๆอีก เช่น ที่ผิวหนังโดยที่ชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้แต่จะมีจำนวนลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้รับจากการรับประทานอาหารจำพวกปลาที่มีไขมันมาก เช่น น้ำมันปลา ปลาทะเลน้ำลึก ปลาทู ปลาซาบะ ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน เนื้อสัตว์ประเภทไก่ ไข่ เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ตับ ไต หัวใจ ถั่ว เมล็ดธัญพืชที่ไม่ขัดขาวผลไม้เปลือกแข็งผักเช่น บร๊อคโคลี่ ปวยเล้ง  อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์จากนม น้ำมันถั่วเหลือง ผัก รำข้าว ซีเรียล

 

ทำไมโคเอ็นไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10) ถึงดีต่อร่างกายของเราล่ะ

คุณสมบัติเด่นของ Coenzyme Q10 เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั่นเอง คือสามารถชะลอความแก่ได้โดยที่ Coenzyme Q10 สามารถสร้างพลังงานให้กับผิวเพื่อในการแบ่งเซลล์ ทำให้ริ้วรอยต่างๆสามารถลดลงและเลือนหายไป นอกเหนือจากคุณสมบัติในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และชะลอความแก่ได้แล้วนั้น   Coenzyme Q10 ยังมีคุณสมบัติต่างๆเช่นในการทำงานของหัวใจดีขึ้น ช่วยเสริมเกราะภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นป้องกันและรักษาโรคเหงือกความดันเลือดสูง คลอเรสเตอรอลสูง และ Coenzyme Q10 นั้นยังมีประโยชน์อีกมากมายดังนี้

  1. โคเอนไซม์คิวเทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ในทุกเซลล์ของสิ่งมีชีวิต มีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างพลังงาน ดังนั้นจึงมีการนำ โคเอนไซม์ Q10 มาใช้เป็นเครื่องสำอางค์สำหรับลดการเกิดริ้วรอย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังจากแสงแดด (Photo aging) กล่าวคือ รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จะทำให้เกิดการผลิตอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นนี้ก็จะทำอันตรายต่อไขมัน โปรตีน และสารพันธุกรรมในเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดริ้วรอย หมองคล้ำได้ มีงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับผลของ โคเอนไซม์ Q10 ว่าสามารถทำให้ความลึกของริ้วรอยลดลง โดยให้กลุ่มทดลองใช้ครีมที่มีส่วนผสมของโคเอนไซม์ Q10 อยู่ 0.3% ทารอบดวงตาเป็นเวลานาน 6 เดือน พบว่าความลึกของริ้วรอยลดลงถึง 27% เมื่อเปรียบเทียบกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมซึ่งไม่ได้ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของโคเอนไซม์Q10 อยู่ ดังนั้นโคเอนไซม์ Q10 จึงมีส่วนช่วยลดริ้วรอยและชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังได้เป็นอย่างดี และโคเอนไซม์ Q10 ยังเป็นสารสำคัญในการสร้างพลังงานให้กับเซลล์ผิว ช่วยให้เซลล์ผิวแข็งแรง นอกจากนี้โคเอนไซม์ Q10 ยังช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนในเซลล์ผิวทำให้ผิวแน่น ยืดหยุ่นได้ดี ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น
  2. มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เพราะถ้าหากร่างกายขาด Coenzyme Q10 เซลล์ในร่างจะหยุดทำงานทันที!!
  3. มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดริ้วรอย และชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง
  4. Coenzyme Q10 มีคุณสมบัติคล้ายกับวิตามินอี ช่วยเสริมการทำงานของหัวใจ เพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  5. โรคเกี่ยวกับเหงือก เหงือกทำหน้าที่ในการยึดและพยุงฟันให้คงอยู่ในช่องปาก โรคเหงือกที่เป็นปัญหาและพบได้บ่อยเกิดจากคราบจุลินทรีย์ที่ถูกปล่อยให้สะสมอยู่บนตัวฟัน ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อต่างๆ จากการวิจัยพบว่าการรับ โคเอนไซม์ Q10 เข้าไปในร่างกายจะช่วยลดและบรรเทาอาการเหงือกบวมรวมถึงอาการฟันโยก (Periodontitis) ได้ และช่วยรักษาโรคเหงือก ชะลอความผิดปกติและการดำเนินของโรคพาร์กินสันได้
  6. สำหรับผู้สูงอายุหลายๆคนแล้วการรับประทานโคคิว10 จะทำให้ร่างกายรู้สึกเหมือนมีพลังขึ้นมาทันที โรคที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ในร่างกายเช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์คินสัน เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาทที่พบได้มากที่สุด การได้รับโคเอนไซม์ Q10 เข้าไปในร่างกายสามารถช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ในร่างกายได้เนื่องจากใน โคเอนไซม์ Q10 มี ฟีนีลอะลานิน(Phenylalanine) ช่วยการทำงานของต่อมไทรอยด์ให้กระตุ้นการเผาผลาญของร่างกาย ทำให้รู้สึกสดชื่นตื่นตัว ลดความซึมเศร้า ช่วยให้ความจำและระบบประสาททำงานได้ดีขึ้น  และเนื่องจากคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระของโคเอนไซม์ Q10 ซึ่งสามารถช่วยปกป้องการทำลายของอนุมูลอิสระในสมองได้ จากการศึกษาพบว่าการให้โคเอนไซม์ Q10 เป็นอาหารเสริมช่วยชะลอความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อระบบประสาทและสมองได้
  7. เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เพราะโคคิว10 จะไปช่วยบรรเทาอาการเจ็บหน้าอกได้ดีกว่ายาแผนปัจจุบัน ในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือดสูงเกินไป Q10 จะยับยั้งไม่ให้โคเลสเตอรอลจับเป็นก้อนอุดตันเส้นเลือด ใช้ในการรักษาโรคหัวใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจล้มเหลวเนื่องจากเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ (Congestive heart failure) ทั้งนี้เนื่องจากความรุนแรงของโรคผู้ป่วยโรคหัวใจดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะสัมพันธ์กับการขาดโคเอนไซม์ Q10 ดังนั้นเมื่อผู้ป่วยโรคหัวใจได้รับโคเอนไซม์ Q10 จึงทำให้หัวใจทำงานได้ดียิ่งขึ้น เคยมีการศึกษาในผู้ป่วยโรคหัวใจมากกว่า 2,500 คนแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม โดยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจกลุ่มหนึ่งได้รับโคเอนไซม์ Q10 อีกกลุ่มหนึ่งให้ยาหลอกเป็นเวลา 12 เดือน ผลปรากฏว่า 80%ของผู้ป่วยที่ได้รับโคเอนไซม์ Q10 ทุกวันๆละ 100 มิลลิกรัมมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน ส่วนประเทศญี่ปุ่นมีการทำวิจัยไว้ถึง 25 ชิ้น พบว่าผู้ป่วยร้อยละ 70 มีอาการดีขึ้นจากโรคหัวใจ โดยมีการศึกษาครั้งหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Therapeutics พบว่าการใช้โคเอนไซม์ Q10 เป็นอาหารเสริมทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตได้มากกว่า 15.7 เปอร์เซ็นต์ และทำให้การออกกำลังกายได้นานขึ้น 25.4 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง พบว่าผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมักมีอาการขาดโคเอนไซม์ Q10 ร่วมด้วย ดังนั้นการรับประทานโคเอนไซม์ Q10 อาจจะช่วยให้อาการความดันโลหิตสูงดีขึ้น
  8. เชื่อว่าสามารถช่วยรักษาและป้องกันโรคมะเร็งได้ เนื่องคุณสมบัติของการมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของโคเอนไซม์ Q10 ทำให้สามารถช่วยป้องกันและรักษาโรคมะเร็งได้ ยังมีการศึกษาบางชิ้นที่แสดงว่าโคเอนไซม์ Q10 ให้ผลดีต่อการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย อีกทั้งมีงานวิจัยพบว่าในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระดับโคเลสเตอรอลสูงในกระแสเลือด และผู้ที่ได้รับยากลุ่ม Statin ผู้ป่วยดังกล่าวควรจะรับประทานโคเอนไซม์ Q10 เพราะยากลุ่มดังกล่าวส่งผลต่อการยับยั้งสร้างโคเอนไซม์ Q10ในร่างกาย

Coenzyme Q10 กับความสวยความงาม

ลดริ้วรอย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง (Anti-aging/Skin care)

ผิวหนังมีหน้าที่ในการป้องกันสารพิษเชื้อโรคและรังสีอัลต้าไวโอเลต (Ultraviolet) จากแสงอาทิตย์ โดยรังสีอัลตร้าไวโอเลตนี้มี 2 ชนิด คือ UVA และ UVB แต่ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดริ้วรอยจะเป็นรังสี UVA โดย UVA สามารถทะลุผ่านชั้นผิวหนังถึงชั้นหนังแท้ และจะเริ่มต้นในการสร้างอนุมูลอิสระ (Free Radical) ซึ่งอนุมูลอิสระนี้เป็นผลิตผลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการออกซิเดชั่น (Oxidation) อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นนี้ก็จะทำอันตรายต่อไขมัน โปรตีน และสารพันธุกรรม(DNA) ในเซลล์ผิวหนังรวมถึงทำให้เกิดการทำลายของคอลลาเจน(Collagen)และโครงสร้างอื่นๆของผิวหนัง สูญเสียความยืดหยุ่นขาดความกระชับเกิดริ้วรอยและความหมองคล้ำ CoQ10 เป็นสารต้านออกซิเดชั่น (Antioxidant) โดยจะไปป้องกันไม่ให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่จะทำให้อนุมูลอิสระซึ่งจะทำอันตรายต่อผิวหนัง  นอกจากนี้ CoQ10 พบมากที่ผิวหนังชั้นนอก(Epidermis)มากกว่าที่ผิวหนังชั้นใน(Dermis) ซึ่งเป็นผิวหนังชั้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากรังสี UVA จึงเป็นข้อดีอีกประการที่จะช่วยขจัดอนุมูลอิสระ(FreeRadical) ซึ่งเป็นสาเหตุของริ้วรอยและความหมองคล้ำนอกจากหน้าที่ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระของผิวแล้ว Coenzyme Q10 คิวเท็นเปรียบเสมือนแหล่งผลิตพลังงานให้กับเซลล์ผิวหนัง หากเซลล์ผิวหนังได้รับพลังงานไม่เพียงพอก็จะทำให้เซลล์ทำงานผิดปกติก็จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร มีงานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลของ CoQ10 ต่อการลดริ้วรอยมากมายว่าสามารถทำให้ความลึกของริ้วรอยลดลง เช่นการศึกษาของ Gerson Unna พบว่าภายหลังที่กลุ่มทดลองได้รับ CoQ10 ในระยะเวลา 6 สัปดาห์ ริ้วรอยลดลงกว่า 27% และเมื่อได้รับ CoQ10 ต่อไปเป็นระยะเวลา 10 สัปดาห์ริ้วรอยลดลงกว่า 43%

 

ปริมาณของโคเอนไซม์ คิวเทนที่แนะนำ

  • การรับประทาน Coenzyme Q 10 เป็นอาหารเสริมควรบริโภคในปริมาณ 30-50 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะหากกินมากเกินไปจะเกิดอาการ คลื่นไส้อาเจียน ผื่นคัน ปวดหัว ท้องเสีย เจ็บหน้าอก เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ มึนงง หงุดหงิด กระสับกระส่าย ตาแพ้แสง อ่อนเพลีย ครั่นเนื้อครั่นตัว โคเอนไซม์คิวเทนในรูปของอาหารเสริม เป็นสารอาหารที่ละลายได้ดีในไขมัน ควรเลือกที่อยู่ในรูปของน้ำมันซึ่งจะดูดซึมได้ดีมาก โดยในรูปเจลที่อยู่ในรูปของน้ำมันถั่วเหลือง จะดูดซึมได้ง่ายและดีที่สุด ( ทานง่ายด้วย) และควรรับประทานแคปซูลขนาด 30 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด ได้ถึงวันละ 3 เวลา ทั้งนี้ควรเก็บให้พ้นแสง ควรเก็บไว้ในอุณภูมิปกติหรือเย็น (ห้ามแช่แข็ง)
  • สำหรับผู้ที่รับประทานยาลดระดับคอเลสเตอรอลเพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ (สเตติน) จะทำให้โคคิว10 ในร่างกายลดลงได้ ซึ่งจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากยิ่งขึ้น!! ดังนั้นควรรับประทานโคคิว10 ร่วมกับสเตตินด้วย
  • การรับประทานอาจจะต้องใช้ระยะเวลานานกว่า 2 เดือนขึ้นไป กว่าจะเห็นผล
  • ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับวัยผู้ใหญ่คือ 30 มิลลิกรัม แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคชรา หรือเป็นโรคอื่น ๆควรรับประทาน 50 – 100 มิลลิกรัมต่อวัน

ผลข้างเคียง หากกินมากเกินไปจะเกิดอาการ คลื่นไส้อาเจียน ผื่นคัน ปวดหัว ท้องเสีย เจ็บหน้าอก เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ มึนงง หงุดหงิด กระสับกระส่าย ตาแพ้แสง อ่อนเพลีย ครั่นเนื้อครั่นตัว

ข้อห้ามใช้ ผู้ที่ต้องระวังคือผู้ป่วยโรคเบาหวานน้ำตาลต่ำเพราะจะทำให้น้ำตาลลด  และคนที่เป็นโรคเลือดเพราะ Coenzyme Q 10 จะไปลดประมาณเกล็ดเลือดทำให้เลือดออกง่าย รวมถึงคนที่เป็นความดันต่ำ คนท้อง และแม่ที่ให้นมลูก

 

จะเห็นได้ว่า Coenzyme Q10 นั้นมีความสำคัญอย่างมากต่อร่างกายของเรา ไม่ใช่แค่ในเรื่องของผิวพรรณความสวยความงามอย่างที่เราเข้าใจกันมาตลอดเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อเรื่องของสุขภาพของเรามากมายเช่นกัน วันนี้ได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว ต่อไปเราคงสามารถบอกคนอื่นได้ซะทีสินะว่ามันดีอย่างไร จบปิ้ง

 

www.flickr.com/photos/22545218@N06/14989592943/

15 มหัศจรรย์ของอาหารที่ช่วยชะลอความแก่

morning-foods-1
Source: Flickr (click image for link)

พูดถึงความแก่….ผู้หญิงซะส่วนใหญ่ที่กลัวและเครียดจริงไหมล่ะคะ แต่ก็อย่ากังวลไปเลยค่ะความเครียดนี่แหละตัวดีที่ทำให้เราแก่เร็วขึ้น จะยังไงซะการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นเรื่องธรรมชาติเนอะ คงไม่มีใครหลีกหนีพ้น แต่…เรามีวิธีชะลอความแก่ที่เรากลัวนักกลัวหนามาบอกกันค่ะ และก็ไม่เป็นความลับใดๆทั้งสิ้น แค่ง่ายๆด้วยการหันมาใส่ใจในการเลือกรับประทานอาหารเท่านั้นเอง ไม่ต้องไปเสียเงินมากมายในการเข้าคอร์สทำหน้าหรือซื้อครีมที่ราคาแสนจะแพงกันหรอกค่ะ ว่าแต่ ..แล้วจะต้องรับประทานอาหารอะไรยังไง และอาหารแบบไหนที่จะทำให้แก่ช้า..มีด้วยหรอ? อาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวันนั้น คุณทานเพื่อดับความหิวกระหาย หรือต้องการลิ้มรสชาติที่แสนอร่อยในราคาที่แสนแพง… ต้องยอมรับนะคะว่าอาหารที่ดีแต่ไม่แพงก็อร่อยส่วนอาหารที่แพงแต่ได้คุณภาพดีเยี่ยมนั่นก็ดีเช่นกัน แต่ถ้าแพงแล้ว รสชาติดีเยี่ยมแล้ว แต่ไม่ได้ให้คุณประโยชน์อะไรเลย นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง เอาล่ะยังไงการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกต้องและให้ประโยชน์ต่อร่างกายเราถึงแม้รสชาติจะไม่ถูกปากหรือบางอย่างราคาก็แสนแพง แต่บางทีนั้นเราก็ต้องยอมปรับเปลี่ยนเมนูเพื่อแต่ละวันจะได้รับอาหารที่มีประโยชน์ที่สุด แต่ขอบอกเลยว่าอาหารแต่ละชนิดที่จะมาบอกในวันนี้ นอกจากจะเป็นสิ่งที่เราๆชอบทานกันแล้วยังให้ประโยชน์ล้มหลามเลยแหละค่ะ อาหารแต่ละชนิดคุ้นหูแล้วยังต้านแก่อีกแหน่ะ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ความลับ ขยับเข้ามาใกล้ๆ อยู่แค่นี้เอง นี่ไง HealthGossip กำลังบอกคุณว่า ต่อไปนี้เราจะไม่กลัวแก่กันแล้วค่ะ มาดูกันเลยดีกว่าว่าอาหารเหล่านั้นมีอะไรบ้างเอ่ย แท่น แท๊น….

 

15 สุดยอดอาหารต้านความแก่

 

1.ปลา

มีผลการวิจัยว่าการทานปลาเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ ชาวอลาสก้าไม่มีปัญหาเกี่ยวเรื่องโรคหัวใจเลย เพราะพวกเขาทานปลากันกันทุกวัน เนื้อปลาอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันต่ำที่จำเป็นต่อสมองและการทำงานของหัวใจ สารอาหารจากปลายังช่วยลดความดันโลหิต ลดระดับโคเลสเตอรอล และยังชะลอความแก่ได้อีกด้วย ปลาที่แนะนำก็จะเป็น ปลาแซลมอน  สารสีส้มที่ผิวของปลาแซลมอน เป็นสารในกลุ่มคาโรตีน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ทำให้หัวใจมีสุขภาพดี ช่วยป้องกันโรคไตเสื่อมจากเบาหวานอีกด้วยค่ะ

 

2.เบอร์รี่

ผลไม้ในตระกูลเบอรี่ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ แบล็คเบอรี่ ราสเบอรี่ แครนเบอร์รี่ ล้วนอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยทำให้เซลล์มีสุขภาพดีและช่วยปกป้องคุณจากโรคด้วย นอกจากนี้ แบล็คเบอรี่ยังช่วยปกป้องคุณจากมะเร็งและโรคเบาหวานได้ด้วย

 

3.ดาร์กช็อกโกแลต

พูดถึงช็อกโกแลตแล้วคงยิ้มกันเลยสินะคะ และช็อคโกแลตที่ดีเพื่อสุขภาพนั้นต้องผสมโกโก้ไม่ต่ำกว่า 70% ที่มีความเข้มข้นสูง ที่เราเรียกกันว่าดาร์กช็อกโกแลตนั่นแหละค่ะ ดาร์กช็อกโกแลต มีสาร “ฟลาโวนอยด์” (Flavonoid) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และเป็นชนิดเช่นเดียวกับไวน์แดง พืชผัก ผลไม้ และใบชา จึงช่วยปกป้องผิวจากแสงยูวีได้นั่นเองรวมถึงช่วยปกป้องผิวของเราจากอาการอักเสบเนื่องมาจากการสัมผัสแสงอัลตราไวโอเลตซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งผิงหนัง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน ลดไขมันอุดตันในเส้นเลือดที่หัวใจ  ป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคเส้นเลือดสมองได้  โกโก้มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง นี่คือเหตุผลที่ทำให้สาวๆ ที่โปรดปรานการทานช็อคโกแลตปลื้มปริ่มตามกัน นอกจากของโปรดที่แสนจะอร่อยแล้วนั้นยังช่วยให้สาวๆแก่ช้าลงด้วยค่ะ

 

4.น้ำมันมะกอก

ถูกนำมาใช้ในการปรุงอาหารชนิดต่างๆ มีอัตราไขมันอิ่มตัวต่ำช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและป้องกันโรคหัวใจได้ คนที่ทานน้ำมันมะกอกเป็นประจำจะช่วยชะลอวัย เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินอีที่จะช่วยทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นสูง ผิวเปล่งปลั่ง และลดริ้วรอยเหี่ยวย่น

 

5.ชาเขียว

ชาเขียวที่เราชอบดื่มกันดีๆนี่เองแหละค่ะ เพราะในชาเขียวนั้นมีสาร epigallocatechin gallate (EGCG) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการขับสารพิษในร่างกาย สามารถกวาดล้างอนุมูลอิสระที่เป็นตัวกัดกร่อน DNA ในกระแสเลือดลงได้ จึงส่งผลในการช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายและสามารถช่วยชะลอความแก่ชราและช่วยคงความอ่อนเยาว์ไว้ได้นั่นเองค่ะ

 

6.ธัญพืชประเภทถั่ว

ธัญพืชประเภทถั่ว เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง และถั่วเหลือง ประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดรวมไปถึง ธาตุเหล็ก วิตามินบี และโพแทสเซียม ถั่วเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัว ล่าสุดได้พบว่าคนกินถั่วทุกวันอายุยืนยาวกว่าคนที่ไม่กิน ถั่วมีสารอาหารมากมายทั้งแร่ธาตุและวิตามินอีที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระสูง จึงเป็นสุดยอดอาหารชะลอความแก่ได้อย่างดี ขอบอกว่าทานถั่ววันละ 1 กำ ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้

ถั่วเหลืองจะมีสารอาหารที่ชื่อว่า ไอโซหลาโวน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประเภทหนึ่ง เหมาะสำหรับคนที่อยู่ในช่วงวัยทอง โดยสรรพคุณของมันจะเข้าไปทำหน้าที่ลดปัญหาและอาการผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงวัยนี้ เทียบได้กับฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ขาดแคลนไป ช่วยชะลอการเสื่อมของกระดูก ลดการเกิดโรคกระดูกพรุน ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง และดูอ่อนเยาว์มากขึ้น

ถั่วแดงมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ และมีโปรตีนช่วยช่อมแซมร่างกาย มีธาตุเหล็กช่วยในการกระตุ้นพลังงาน วิตามินบี และแมกนีเซียม กากใยยังช่วยลดคอเลสเตอรอล

ถั่วเขียวเป็นแหล่งของโปรตีนไขมันต่ำที่สำคัญซึ่งดีต่อหัวใจของคุณด้วย

 

7.ไวน์แดง

คุณอาจไม่อยากเชื่อเมื่อรู้ว่าไวน์แดงดีต่อสุขภาพของคุณ สารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารต่าง ๆ ในไวน์แดงช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ ช่วยปกป้องเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดฝอย นอกจากนี้ยังพบสารประกอบอื่นอย่างเรสเวอราโทรลในไวน์แดงที่ช่วยป้องกันเส้นเลือดขอด ลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง ลดการอักเสบ และช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลด้วย ไวน์เป็นเครื่องดื่มที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก ถ้าเราดื่มไวน์ในปริมาณที่พอดีก็จะช่วยป้องกันโรคภัยได้มากมาย สำหรับผู้หญิงควรดื่มไวน์แดงประมาณหนึ่งแก้วต่อวัน จะช่วยลดโรคความจำเสื่อม โรคเบาหวาน และช่วยให้หลับง่ายขึ้น

 

8.อะโวคาโด

การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และปกป้องผิวจากอันตรายที่เกิดจากแสงแดด เนื่องจากอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี และกลูทาไธวัน อโวคาโดยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ต้านความแก่ที่ดีที่สุดอีก นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี 6 และวิตามินซี กับแร่ธาตุแมกนีเซียมซึ่งช่วยในการสร้างฮอรโมน ความสุขเซโรโทนินและโดพามีน เพราะฉะนั้นถ้าเรารับประทานอโวคาโดเป็นประจำ ก็จะส่งผลต้านความชราอย่างสูงสุด อาจจะบดอะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็นของทานเล่นดูก็ได้ หรือจะเป็นสลัดอะโวคาโดดีน้า

 

9.กระเทียม

กระเทียมเป็นที่รู้จักกันว่ามีสารชะลอความแก่ ซึ่งรวมไปถึงสามารถลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดและความดันโลหิตด้วย ลดการอักเสบและปกป้องเซลล์ให้มีสุขภาพดี กระเทียมช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ด้วย ในสมัยก่อนมีการใช้กระเทียมเพื่อกำจัดอาการติดเชื้อทั้งไวรัสและแบคทีเรียในระบบร่างกายมนุษย์ นอกจากนี้ กระเทียมยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร ลำไส้ เต้านม และตับอ่อนด้วย

 

10.ผักใบเขียว

ผักสดมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง วิตามินและแร่ธาตุในผักจะช่วยต่อสู้กับอนุมูลอิสระจึงช่วยชะลอความแก่ได้ ผักที่ดีที่สุดคือผักใบเขียวและมีลักษณะเป็นใบ เช่น ผักปวยเล้งและคะน้า ซึ่งจะช่วยต่อสู้กับการถูกทำร้ายเนื่องจากรังสียูวีได้ นอกจากนี้ทั้งพริกแดง พริกเขียวและพริกเหลืองต่างก็มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำๆจากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรง ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศกระเทียม พริกแดง แตงกว่า น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์มหาศาลจากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ดจากฝีมือของคุณเองอีก

 

11.ส้ม

ส้ม ซึ่งเป็นผลไม้ที่รับประทานง่าย เพราะเรารู้ว่าในส้มมีวิตามินซี และวิตามินซีนี้ จัดว่าดีต่อการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิว จึงทำให้ผิวแน่น และอิ่มเอิบ ทางออสเตรเลียได้ค้นคว้าและพบว่า ส้มมีไฟโตเคมิเคิลต่างๆรวมกว่า 170 อย่าง ส้มจึงมีประโยชน์ช่วยป้องกันการอักเสบ ต่อสู้กับโรคมะเร็ง และยังสามารถป้องกันโรคโลหิตอุดตันอีกด้วย

 

12.แอปเปิ้ล

การทานแอปเปิ้ลเพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนเต็มที่นั้น ควรทานทั้งเปลือกเนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องสมองจากการถูกทำลาย ดังนั้น เวลาเราเคยทานแอปเปิ้ลแบบที่ต้องปลอกเปลือกก่อนทุกครั้งนั้นก็ต้องลองปรับเปลี่ยนมาทานแบบไม่ต้องปลอกเปลือกกันดูนะคะ และนอกจากนี้แอปเปิ้ลยังมีสารเกอซิตินซึ่งเป็นแอนตี้แดนท์ต้านการอักเสบ และยังช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่อยู่ในร่างกาย ถ้าเรารับประทานแอปเปิ้ลเป็นประจำจะช่วยให้ปอดแข็งแรง และลดความเสี่ยงของโรคหอบหืดอีกด้วยค่ะ

 

13.เต้าหู้และนมถั่วเหลือง

ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ถือเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีเยี่ยมแถมยังมีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆมากมาย เช่น แคลเซียม เหล็ก สังกะสี วิตามินบี เป็นต้น ทั้งถั่วเหลืองและเต้าหู้ก็เป็นอาหารที่มีเอสโตรเจนหรือฮอร์โมนเพศหญิงที่จะช่วยในเรื่องการบำรุงดูแลผิวพรรณ และในน้ำเต้าหู้ยังมีโฟโตเอสโตรเจนแฝงอยู่ และข้อดีของการรับฮอร์โมนเอสโตรเจนจากน้ำเต้าหู้ก็คือ น้ำเต้าหู้แอบแฝงเอสโตรเจนมาในรูปของเหลว ทีนี้ร่างกายก็จะดูดซึมและนำฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ได้ไปใช้ได้อย่างรวดเร็วนั่นเองนะคะ และเต้าหู้และถั่วเหลืองยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ของร่างกายไม่ให้สูงจนเกินไป และช่วยให้การหลั่งอินซูลินอยู่ในระดับที่เหมาะสม ระดับน้ำตาลและอินซูลินที่สูงเกินไปนั้นจะทำให้เป็นโรคเบาหวาน เซลส์ต่างๆเสื่อมสภาพเร็ว และที่สำคัญทำให้แก่เร็วและแก่เกินวัย

 

14.ไข่

ให้ลืมข้อเสียเรื่องคอเลสเตอรอลที่เคยเชื่อกันมานานไปได้เลยค่ะ เพราะไข่นี่แหละมีครบทั้งเกลือแร่ วิตามิน และก็โปรตีน ไข่แดงนั้นยังอุดมไปด้วยคาโรทินอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยมยอดนั่นเอง

 

15.ขมิ้น 

ขมิ้นที่เราชอบนำมาทำเป็นเครื่องเทศในอาหารนี่แหละค่ะ ขมิ้นเป็นผงสีเหลืองที่ใส่ในแกงกะหรี่ ในขมิ้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันของโรคอัลไซม์เมอร์อีกด้วย แหมเอาใจคนที่ชอบข้าวแกงกะหรี่กันเลยแหละคราวนี้ ยังไงก็อย่าพลาดเมนูข้าวแกงกะหรี่กันนะคะ

 

“อาหาร” เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำหรับการดำรงค์ชีวิตในแต่ละวันของมนุษย์โลก การที่ได้รับประทารอาหารที่ดีอร่อยและราคาแพงใช่ว่าจะทำให้เราต้องมีสุขภาพที่ดีเสมอไป แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ค่ะเพราะว่าอาหารที่มีราคาแพงนั้นก็ย่อมเป็นส่วนที่ช่วยให้เราได้รับประทารอาหารที่มีคุณภาพดีเยี่ยมแต่ก็ต้องให้ถูกเมนูเช่นกัน และต่อจากนี้ หวังว่าอาหาร 15 ชนิดข้างต้นจะเป็นแนวทางในการเลือกรับประทานหรือแนวทางในการประกอบอาหารทานเองที่บ้านก็ดี แค่นี้ความแก่น่ะหรอ….เชิ่ดใส่เลยค่ะ 🙂

 

www.flickr.com/photos/sharisberries/16750735390/

11 สุดยอดอาหารที่ทำให้ผมสวยสุขภาพดี

pretty-hair-1
Source: Flickr (click image for link)

สาวหลายๆคน นอกจากรูปร่างหน้าตาที่เราต้องดูแลเป็นพิเศษแล้วนั้นเรื่องของเส้นผมหรือการมีผมที่สลวยสวยสุขภาพดีก็เป็นความใฝ่ฝันของผู้หญิงอย่างเราๆกันทั้งนั้น เพราะมันคือเสน่ห์สำคัญอย่างหนึ่งของเราเลยจริงไหมคะ บางคนมีผมที่บาง แห้ง เสีย อ่อนแอ หลุดร่วงง่าย หรือผมไม่มีน้ำหนัก เบาฟูฟ่อง หรือมีปัญหายาวช้าบ้างแหละ  แต่ถึงแม้ว่าคุณจะลงทุนไปมากมายกับผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมต่าง ๆ แชมพู คอนดิชั่นเนอร์ มาส์ก อบไอน้ำทุกสัปดาห์ ฯลฯ แต่ถ้ายังพบว่าผมยังคงแห้งและไม่มีชีวิตชีวา การดูแลเส้นผมของเราไม่ใช่แค่สรรหาผลิตภัณฑ์ต่างๆมาเพื่อบำรุงก็บำรุงได้แค่ภายนอกเท่านั้น ไม่ว่าจะใช้ราคาแพงแค่ไหนแล้วคุณจะมั่นใจได้ยังไงว่าไม่มีสารเคมีปนเปื้อน? ยังไงไม่ว่าอะไรก็ตามการที่เราบำรุงจากภายในนั้นย่อมเป็นปัจจัยที่สำคัญและเป็นพื้นฐานของความสวยสู่ภายนอกเสมอ  การเลือกรับประทานอาหารยังไงก็ยังเป็นวิธีที่ง่ายและไม่เสียเวลา เพราะฉะนั้นสเต็ปแรกเราควรทราบก่อนว่าเส้นผมของเรานั้นต้องการสารอาหารอะไรบ้าง และหลังจากนั้นเรามาปรับพฤติกรรมการกินของเรากันค่ะ

เส้นผม หมายถึง ขนที่งอกปกคลุมหนังศีรษะของมนุษย์ เป็นเคราตินที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน และแร่ธาตุ C, H, N, P และ S ผมถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เส้นผม (hair shaft) เป็นส่วนที่งอกเหนือหนังศีรษะ และรากผม (hair root) เป็นส่วนที่ฝังอยู่ใต้หนังศีรษะ

ริคาร์โด วิลา โนวา นักเกศาโลมาวิทยา (Trichologist) หรือผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านเส้นผมและหนังศีรษะ จากร้าน Urban Retreat ในห้างแฮร์รอด ประเทศอังกฤษ แจงว่า การมีผมที่สุขภาพดีนั้นจะอาศัยการบำรุงจากภายนอกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องใส่ใจในอาหารที่บริโภคเข้าไปด้วย หากคุณกินอาหารที่มีสารอาหารสำหรับเส้นผมไม่เพียงพอก็จะทำให้ผมแห้งบาง ขาดง่าย ไร้ประกาย มีภาวะผมแห้งมากหรือผมมันง่าย และหากเกิดอาการเช่นนี้ขึ้นกับเส้นผมแล้ว อาจต้องใช้เวลามากที่สุดถึง 4 ปีทีเดียว กว่าเส้นผมจะค่อย ๆ ฟื้นฟูสู่สภาพเดิม

 

กินอะไรผมถึงสวยสุขภาพดี

 

1. แซลมอน (Salmon Fish) : ผมแข็งแรงไม่ขาดร่วง
เนื่องจากปลาแซลมอน มีกรดไขมันที่จำเป็นโอเมก้า 3 (omega – 3 fatty acid) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดี และยังมี วิตามิน บี 12 และธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณมาก ประชากรของประเทศญี่ปุ่นมีอัตราการเป็นผมร่วง ผมบาง ต่ำกว่าประชากรในประเทศแถบตะวันตก และต่ำสุดในเอเซีย การนิยมบริโภคปลาแซลมอนมากเป็นเหตุผลสนับสนุนสถิตินี้ส่วนหนึ่ง แม้ในปัจจุบันจะพบว่าวัยรุ่นชาวญี่ปุ่นนิยมทำแฟชั่นเกี่ยวกับทรงผมมากเป็น พิเศษทั้งการใช้สารเคมีต่างๆกับเส้นผม ทั้งยืดผม ดัดผม เปลี่ยนสีผมนานาสี ก็ยังพบว่าชาวญี่ปุ่นมีอัตราการเกิดปัญหาผมร่วง ผมบางต่ำมาก นั่นแสดงว่าอาหารการกินมีส่วนทำให้เส้นผมมีความแข็งแรงได้จริงๆ

2. ดาร์กช็อกโกแลต (Dark Chocolate) : ผมหงอกก่อนวัย

ยับยั้งได้ด้วยการกินช็อกโกแลต โดยเฉพาะดาร์กช็อกโกแลต เพราะในช็อกโกแลตมีสาร “เมลานิน” ซึ่งเป็นเม็ดสีในผิวและผม จะช่วยทำให้ผมดกดำและเป็นประกายมากขึ้น

3. ผักใบเขียว (Dark green vegetables) : ผมนุ่มสวย ไม่ต้องพึ่งครีมนวด

จำพวกบล็อกโคลี่ ผักโขม คะน้า ผักบุ้ง เป็นแหล่งของวิตามินเอ วิตามินซีและธาตุเหล็ก ซึ่งธาตุเหล็กมีส่วนช่วยสร้างไขมัน เพื่อทำหน้าที่สร้างความชุ่มชื้นปกป้องผิว และผม เสมือนเป็นคอนดิชันเนอร์จากธรรมชาติ และป้องกันไม่ให้เส้นผมเปราะบาง 

4. ไข่ (Egg) : ผมแตกปลาย

เพราะไข่สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลายรูปแบบ ได้หลายเมนู ทำง่าย กินก็ง่าย แถมอุดมไปด้วยสารอาหาร ทั้งโปรตีน ไบโอติน และวิตามินบี12 ที่ทำให้เส้นผมแข็งแรง และยังช่วยบำรุงไม่ให้เส้นผมแตกปลายนั่นเองค่ะ

5. ธัญพืช (Whole Grains) เช่น ขนมปังที่มีกาก (Whole – wheat bread), ซีเรียล (cereals) : ผมดำเงางามด้วยพืชตระกูลถั่ว

สามารถหาได้จากขนมปังโฮลวีท ซีเรียลผสมธัญพืช (นำมากินกับนมเป็นอาหารเช้า เข้าท่ามากๆ เลยจ้า^^) ธัญพืชนี้อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยบำรุงสุขภาพเส้นผม ได้แก่ ธาตุเหล็ก สังกะสี วิตามินบี และ ซีลีเนียม และซีลิเนียมถือเป็นอาหารผมที่สำคัญอีกตัว ที่ช่วยเสริมสร้างเส้นผมให้แข็งแรง มีสุขภาพดี  ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะทำให้เส้นผมหนานุ่ม เป็นเงางามและมีสุขภาพดีด้วยค่ะ

6. หอยนางรม (Oyster) : รังแคไม่มากวนใจ

หอยนางรมนี้อุดมไปด้วยสังกะสี (แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระด้วยนะเออ) นอกจากนี้หอยนางรมยังช่วยป้องกันรังแคและการขาดร่วงของเส้นผมด้วยค่ะ ถ้าสาวๆ คนไหนไม่ได้รับประทานหอยนางรมบ่อยๆ ก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะ จมูกข้าว งา เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสง และในเนื้อวัวหรือเนื้อแกะก็มีสังกะสีเช่นเดียวกันจ้า เพราะงั้นสามารถเลือกรับประทานอาหารข้างต้นแทนหอยนางรมได้ตามสะดวกเลยจ้า

7. นม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต, ชีส  :  เส้นผมแข็งแรง

เพราะในนมนอกจากมีแคลเซียมเป็นหลักแล้วซึ่งแคลเซียมจะช่วยบำรุงเส้นผมให้มีสุขภาพดี มีชีวิตชีวา และนมยังประกอบไปด้วย เคซีน (Casein) และเวย์ (Whey) ซึ่งเป็นสารอาหารประเภทโปรตีน มีส่วนสำคัญมากที่ช่วยในเรื่องการเจริญเติบโตของเส้นผม และช่วยบำรุงให้เส้นผมแข็งแรง สาวๆ ห้ามละเลยการดื่มนมเด็ดขาดจ้า เพราะนอกจะหาซื้อดื่มได้ง่ายแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายและเส้นผมของเราด้วยนะเออ (ชีสกับโยเกิร์ตก็มีประโยชน์คล้ายๆ นมเหมือนกันจ้า)

8. แครอท (Carrots) : สุขภาพดี เส้นผมแข็งแรง

แครอทเป็นแหล่งรวมของวิตามินเอ ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงให้หนังศีรษะมีสุขภาพดีและแข็งแรง ช่วยให้ผมเป็นประกายเงางามและบำรุงรากผมให้แข็งแรง เพราะฉะนั้นสาวๆ คนไหนไม่ชอบแครอท งานนี้ก็ห้ามงอแงแล้วจ้า ต้องหัดกินแครอทได้แล้วนะ

9. กล้วย (Banana) : เส้นผมไม่ขาดหลุดร่วง

กล้วยเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินบี6 และแร่ซิลาก้า ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง นอกจากนี้กล้วยยังช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงซึ่งเป็นส่วนช่วยทำให้หนังศีรษะแข็งแรง ป้องกันการขาดหลุดร่วงของเส้นผม ใครที่ผมร่วงเยอะๆ ต้องหันมารับประทานกล้วยกันได้แล้วน้า

10. เนื้อไก่ (Chicken meat)  : เส้นผมสีสวย

เนื้อไก่อุดมไปด้วยโปรตีนไบโอตินและธาตุเหล็ก สังกะสี  ซึ่ง ไบโอตินช่วยลดอาการผมขาดร่วง ช่วยในกระบวนการการสร้างเซลล์ใหม่ของเส้นผม ช่วยบำรุงผมให้แข็งแรง ไม่เปราะบางและขาดง่าย และยังช่วยรักษาสีของเส้นผมสำหรับคนที่ทำสีผมด้วยค่ะ

11. น้ำ (Water) : ผมแห้งขาดความชุ่มชื้น

ใครจะรู้ล่ะคะ ว่าน้ำเปล่าที่เราดื่มทุกวันนี่แหละมีประโยชน์มากมายดื่มกันง่ายๆได้ทุกวัน แค่เพียงอย่ามองข้ามกันก็พอค่ะ เพราะเส้นผมของเราขาดน้ำไม่ได้เป็นอันขาด ก็เพราะว่าเส้นผมมีน้ำเป็นองค์ประกอบอยู่ถึง 1 ใน 4 ของน้ำหนักเส้นผม ดังนั้น จึงควรดื่มน้ำประมาณ 8 – 10 แก้วต่อวัน เพื่อให้เส้นผมมีความชุ่มชื้นในระดับที่พอเหมาะ และป้องกันไม่ให้ผมแห้ง

 

การดูแลสุขภาพตัวเองเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้วค่ะ แต่ยังไงการดูแลเส้นผมให้มีสุขภาพดีก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน แค่เราลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารกันสักหน่อยแค่นี้เราก็จะมีสุขภาพผมที่ดีจากภายในแล้วใยภายนอกจะไม่ดีตามล่ะคะ หวังว่า HealthGossip มาบอกเล่ากันวันนี้จะช่วยสาวๆกันได้นะคะ

 

www.flickr.com/photos/martinaphotography/7062111723/