Browse Tag: ลดน้ำหนัก

18 สัญญาณบ่งบอกว่าคุณดื่มน้ำเปล่าไม่เพียงพอ

Source: Flickr (click image for link)

เคยได้เขียนเรื่องราวของประโยชน์จาก”การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ”ให้เหมาะสมในแต่ละวันและเรื่องควรดื่มน้ำเปล่าอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพและร่างกายของเรามากที่สุดไปแล้ว หลายๆ คนก็คงจะทราบเป็นอย่างดีหรือเคยอ่านผ่านตามาบ้างแล้วใช่ไหมล่ะคะ ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยสิ่งแวดล้อมรอบข้างตัวเราหลายอย่างที่อาจจะเป็นตัวส่งผลให้เรามีตัวเลือกมากขึ้นในปัจจุบัน แค่เพียงก้าวเท้าเดินออกมาจากบ้านก็มีเครื่องดื่มหลากชนิดหลายรสชาติให้เลือกมากมาย ในบางคนถึงขั้นดื่มจัดจนเป็นนิสัยหรือไม่ก็เสพติดไปโดยไม่รู้ตัว วันไหนไม่ได้ดื่มแล้วจะมีอาการหงุดหงิดไม่มีความสุขไปทั้งวันเลยก็ว่าได้ อย่างเช่น ฉันต้องดื่มกาแฟทุกเช้านะ ไม่งั้นไม่มีสมาธิทำงานแน่วันนี้ หรือ ฉันต้องดื่มชานมไข่มุกทุกเย็นนะ ไม่อย่างนั้นนอนไม่หลับแน่คืนนี้ รวมถึงในบางคนที่ชื่นชอบกับดื่มน้ำอัดลมแทนน้ำเปล่าเลยก็ว่าได้ เป็นต้น อาหารเครื่องดื่มที่ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาบนโลกใบนี้ ด้วยรสชาติที่ถูกปากชวนอยากให้ลิ้มรสในทุกๆ วัน นั่นก็ไม่ผิดค่ะที่เราจะชอบดื่มแบบนั้นหรือแบบไหน แต่อย่าลืมว่าเครื่องดื่มเหล่านั้นมีส่วนผสมมากมายกว่าจะได้รสชาติที่กลมกล่อมจนยากที่จะข่มใจลืมได้ นอกจากจะนำน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาฝากแบบไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งยังนำพาน้ำตาลที่เหลือไปเพิ่มในกระแสเลือดจนโรคเบาหวานมาเยือนแบบไม่รู้ตัวซะอย่างนั้น เราไม่ได้อยากจะบอกคนที่ติดเครื่องดื่มเหล่านั้นว่าเครื่องดื่มพวกนี้ไม่ดีหรอกนะ หรือไม่ก็ไม่ควรดื่ม ให้เลิกกับมันซะ เพราะเราทราบดีว่ามันเป็นเรื่องที่ยากค่ะ ซึ่งก็มีเหมือนอยู่อีกปัจจัยที่ทำให้ใครหลายคนดื่มน้พเปล่าไม่เพียงพอ คือในคนที่ไม่ชอบดื่มน้ำเปล่าเลย อาจจะเพราะไม่ชอบดื่มน้ำเปล่าเนื่องด้วยน้ำเปล่านั้นไม่มีรสชาติอะไรเลย น่าเบื่อ หรืออาจจะไม่มีเวลา ซึ่งแม้กระทั้งการ…ลืม? ไม่ว่าจะจากเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ซึ่งปัจจัยเหล่านั้นอาจจะนำพาสู่ปัญหาของโรคภัยไข้เจ็บโดยไม่รู้ตัวได้โดยทั้งสิ้น และหลายๆ คนก็อาจะไม่ทราบว่ากะแค่การไม่ดื่มน้ำเปล่าก็สามารถเจ็บป่วยได้ด้วยหรอเนี่ย? ที่จริงแล้ว ในร่างกายของมนุษย์เราประกอบไปด้วยน้ำถึง 70% ซึ่งระบบภายในของร่างกายมนุษย์ ต้องใช้น้ำในการทำหน้าที่ของระบบต่างๆ ในร่างกาย ดังนั้นถ้าร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอในแต่ละวัน เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกายของเราเป็นอย่างแแน่นอนค่ะ เนื่องจากในแต่ละวันร่างกายเราจะเสียน้ำวันละ 2 ลิตร จากการหายใจ ขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ ทำให้ร่างกายต้องได้รับน้ำจากการดื่มน้ำเปล่าให้ได้วันละประมาณ 2-3 ลิตร หรือ 6-8 แก้วต่อวันนั่นเองค่ะ

 

18 สัญญาณบ่งบอกว่าคุณดื่มน้ำเปล่าไม่เพียงพอ

Source: Flickr (click image for link)

1.ปาก ผิวหนัง และตาแห้ง

จัดว่าเป็นสัญญาณขั้นพื้นฐานที่จะช่วยบอกให้เราทราบได้ว่าร่างกายของเราขาดน้ำหรือได้รับน้ำไม่เพียงพอนั่นเอง นอกจากรู้สึกว่าตาแห้ง ตาบวม ปากและผิวแห้งแตกเป็นขุยทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าหนาว ก็ควรหันไปหยิบน้ำมาดื่มให้ไวเพราะการขาดน้ำคือการขาดเหงื่อซึ่งจะนำไปสู่ร่ายกายไม่สามารถชำระล้างสิ่งสกปรกหรือน้ำมันส่วนเกินที่สะสมตลอดทั้งวันออกไปได้ ถ้าช่วงไหนรู้สึกว่าผิวแห้งแบบขาดน้ำมาหล่อเลี้ยงมีสิวขึ้นแบบผิดปกติแล้วล่ะก็ น้ำเปล่าคือทางออกที่ดีที่สุดค่ะ

 

2.ปวดหัวบ่อยๆ

บางครั้งพบว่าอาการที่เรารู้สึกปวดหัวอยู่บ่อยๆ นั้นไม่ใช่ไมเกรนหรือโรคอะไรแต่กลับกลายเป็นว่าเราดื่มน้ำเปล่าไม่เพียงพอ การดื่มน้ำไม่เพียงพอจะไปทำให้เกิดการขาดออกซิเจนและมีความดันโลหิตเพิ่มขึึ้นซึ่งไปทำให้เกิดการอาการปวดหัวอยู่บ่อยครั้ง แค่เพียงลองดื่มน้ำให้มากขึ้นในแต่ละวันเพื่อไปลดความตรึงเครียดในสมอง เลือดลมไหลเวียนดีขึ้นสมองก็ปลอดโปล่งโล่งสบายค่ะ

 

3.รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลียตลอดเวลา

ถ้าคิดว่าช่วงไหนรู้สึกเฉื่อยช้า อ่อนเพลีย ทำอะไรก็รู้สึกเหนื่อยง่ายไม่สดชื่นสดใสแบบไม่มีเหตุผลแล้วล่ะก็อาจจะเกิดจากการที่ร่างกายขาดน้ำก็เป็นได้ค่ะ การที่ร่างกายได้รับน้ำเปล่าไม่เพียงพอจนนำไปสู่การขาดเลือดจะต้องทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนไปทั่วร่างกาย ในกรณีที่รุนแรงอาจทำให้เวียนศีรษะและคลื่นไส้ได้ เนื่องจากเลือดและของเหลวในร่างกายจะประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ เมื่อคุณขาดน้ำเลือดก็จะเพิ่มขึ้นและหัวใจก็ต้องใช้พลังงานมากขึ้น เพื่อที่จะให้ออกซิเจนและสารอาหารเคลื่อนที่ไปทั่วระบบไหลเวียนโลหิตค่ะ

 

4.น้ำหนักขึ้น

เชื่อหรือไม่ว่ารอบเอวที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นสัญญาณบอกว่าเราดื่มน้ำเพียงพอ พบว่าการดื่มน้ำเพียง 500 มล. (ประมาณ 17 ออนซ์) สามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญของคุณได้ถึง 30% ไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไมผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจำนวนมากแนะนำการดื่มน้ำให้มากขึ้นที่เป็นหนึ่งในเคล็ดลับของการลดน้ำหนักและการรักษาน้ำหนักค่ะ อีกทั้งการที่ร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอยังสามารถส่งผลต่อระบบย่อยให้ไม่สามารถทำงานได้เท่าที่ควร แม้แต่การขาดน้ำที่ไม่รุนแรงยังมีการส่งสัญญาณไปสู่สมองและทำให้เราคิดว่าเรานั้นหิว ทั้งที่จริงสิ่งที่เราต้องการจริงๆ นั้นคือ การดื่มน้ำเท่านั้น

 

5.วิงเวียนศรีษะ

อาการวิงเวียนศีรษะ สับสน มึนงง เหม่อลอย ไม่มีสมาธิ ยากต่อการโฟกัสในสิ่งใดๆ นั้นเป็นสัญญาณทั้งหมดที่บ่งบอกว่าร่างกายของเราขาดน้ำค่ะ ด้วยร่างกายของเราต้องการขับถ่ายของเหลวทุกวันไม่ว่าจะผ่านทางเหงื่อหรือปัสสาวะ อีกทั้งยังไปกระทบต่อการทำงานของระบบร่างกายอื่นๆ จนทำให้เกิดความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์(สารอาหารหรือแร่ธาตุที่มีอยู่ในร่างกาย) และเราต้องการอิเล็กโทรไลต์เพื่อให้ร่างกายและจิตใจของเราทำงานได้อย่างถูกต้องนั่นเองค่ะ

 

6.อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย

รู้สึกว่าช่วงนี้คุณมีอารมณ์แปรปรวนง่ายหรือหงุดหงิดบ่อยขึ้นจนคนรอบข้างส่ายหน้าไหมคะ นอกจากนี้ยังมีผลกระทบอื่นๆ ที่เป็นไปได้เกี่ยวกับสมองและอวัยวะต่างๆ ที่เกิดจากการการขาดน้ำแบบต่อเนื่อง สามารถไปทำให้ความสมดุลของฮอร์โมนลดลงและทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความผิดปกติอื่นๆ ตามมาได้ค่ะ

 

7.ท้องผูก

อาการท้องผูกปัจจัยที่อาจจะเกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่มีกากใยเพียงพอหรือแม้ระทั่งการรับประทานอาหารธรรมดาทั่วไป เพื่อให้ได้อาหารที่เราได้กินอย่างถูกต้องแล้ว ระบบการย่อยหรือลำไส้ของเราก็จำเป็นต้องใช้น้ำด้วย หากของเหลวมีไม่เพียงพอต่อการย่อยอาหารก็จะไปส่งผลทำให้เกิดอาการท้องผูก มีแก๊ส และท้องอืดเช่นกันค่ะ

 

8.ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

การดื่มน้ำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทำงานที่เหมาะสมของระบบทางเดินปัสสาวะของเรา เมื่อร่างกายเริ่มขาดน้ำจะไปส่งผลให้ไตและกระเพาะปัสสาวะพยายามเก็บน้ำที่มีอยู่น้อยนิดให้นานเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่กลับพบว่าถ้าไม่มีการขับปัสสาวะออก ก็ยิ่งส่งผลให้แบคทีเรียมีเวลาในการเจริญเติบโตภายในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นภายในท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะเพิ่มขึ้นจนนำไปสู่การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในที่สุดค่ะ

 

9.ปัสสาวะมีสีเข้ม

เมื่อเราดื่มน้ำน้อย น้ำไม่เพียงพอ จนกลายเป็นร่างกายขาดน้ำนั้น สัญญาณที่จะเห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คงจะเป็นปัสสาวะที่มีสีเข้มหรือปัสสาวะน้อย ให้รู้ไว้เลยว่าตอนนี้ไตและกระเพาะปัสสาวะของเราทำงานหนักและมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบก็เป็นได้ อย่ารอช้าหยิบน้ำสักแก้วมาดื่มก็ยังดี!

 

10.ความดันโลหิตสูงหรือต่ำ

ความดันเลือดไม่ว่าจะสูงหรือต่ำจัดว่าไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ค่ะ ซึ่งถ้าเกิดการลดลงของปริมาณเลือดที่เป็นผลมาจากการขาดน้ำ อาจมีผลกระทบต่อความดันโลหิตต่ำอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไปการเพิ่มขึ้นของคอเลสเตอรอลในเลือดอาจทำให้เกิดการสะสมของหลอดเลือดและในที่สุดอาจทำให้ความดันของโลหิตเพิ่มขึ้นไปถึงระดับที่ไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพอย่างแน่นอนค่ะ

 

11.ความไม่สมดุลของระดับคอเลสเตอรอล

การขาดน้ำส่งผลให้ร่างกายของเราผลิตคอเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้นเพื่อที่จะไปขจัดผิวที่หนาขึ้นของเซลล์ และรักษาของเหลวที่มีอยู่ในตัวอันเป็นผลที่มาจากกระบวนการป้องกันนี้ โดยระดับคอเลสเตอรอลในเลือดยังเพิ่มขึ้นและสามารถกลายเป็นขาดความสมดุลได้อย่างง่ายดาย

 

12.อาการปวดข้อ

น้ำคือระบบหล่อลื่นและระบายความร้อนตามธรรมชาติของร่างกาย กระดูกอ่อนและกระดูกสันหลังของเราประกอบไปด้วยน้ำประมาณ 80% ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อมวลกระดูกของเราค่ะ ดังนั้นการไม่ทำให้ร่างกายของเราขาดน้ำก็จะช่วยให้ข้อต่อของเราสามารถรองรับแรงกระแทกจากการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน เช่น การวิ่ง กระโดด หรือหกล้มแบบไม่ทันตั้งตัว

 

13.กล้ามเนื้อเป็นตะคริวหรือกระตุกบ่อยๆ

เมื่อเรามีเหงื่อไหลออกมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างการออกกำลังกาย ซึ่งจะไปทำให้เกิดการลดระดับของโซเดียมลง โดยในช่วงที่เหงื่อมีความเข้มสูงซึ่งเป็นของเหลวเพียงอย่างเดียวที่ขับออกมาและนั่นคือการที่เราเริ่มที่จะสูญเสียน้ำ จึงเป็นผลทำให้ร่างกายมีการจัดลำดับความสำคัญของของเหลวที่เหลือในร่างกายว่าส่วนไหนควรจะทำงานก่อน และบ่อยครั้งที่ระบบไหลเวียนเลือดจะเป็นตัวที่ถูกเลือกก่อน ซึ่งหมายความว่าถัดมาก็จะเป็นกล้ามเนื้อของเรา ถ้าหากกล้ามเนื้อไม่ได้รับน้ำและโซเดียมที่เพียงพอก็จะไปส่งผลทำให้กล้ามเนื้อหดตัวหรือกระตุกนั่นเองค่ะ

 

14.ช่องปากและลมหายใจมีกลิ่น

เรื่องของกลิ่นปากใครว่าไม่สำคัญจริงไหมล่ะคะ หนึ่งในอาการที่พบบ่อยที่สุดของการขาดน้ำคืออาการปากแห้ง เนื่องจากเป็นผลที่มาจากการลดการผลิตน้ำลายที่เกิดจากการสูญเสียน้ำ น้ำลายเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นสำหรับการควบคุมจำนวนของเชื้อจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในช่องปากของเรา เมื่อร่างกายขาดน้ำและการน้ำลายก็จะไปทำให้ยีสต์และแบคทีเรียสามารถเจริญรเติบโตได้ ตามรอบฟัน เหงือก และลิ้น ซึ่งสามารถเปลี่ยนจากสุขภาพช่องปากที่ดีกลายเป็นปัญหาในช่องปากก็ว่าได้ค่ะ นอกจากสุขภาพช่องปากที่มีปัญหาจากการขาดน้ำแล้วก็ลามลงไปถึงส่วนล่างของหลอดลมนั่นก็คือระบบทางเดินหายใจ การขาดความชุ่มชื้นที่เพียงพอจะเป็นอุปสรรคต่อการผลิตน้ำมูกทำให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เมื่อกลิ่นปากไม่พึงประสงค์ระบบลมหายใจไม่สดชื่นจากการขาดน้ำก็คงไม่ต้องเดาแล้วว่าทำไมไม่มีใครอยากคุยด้วย

 

15.หิว กระหายมากขึ้น

เมื่อเรามีอาการขาดน้ำร่างกายของเราก็อาจเริ่มคิดว่าต้องการรับประทานอาหารบางอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นแบบนี้ตลอดทั้งวันทั้งคืนจนต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อหาอะไรกิน ถึงแม้ว่าการกินอาหารจะทำให้ร่างกายของคุณทำงานได้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันการได้น้ำดื่มสะอาดๆ สักแก้วสอแก้วจะไปช่วยให้อวัยวะภายในพร้อมที่จะสร้างการเผาผลาญผ่านกระบวนการอื่นๆ ในร่างกาย นอกจากนี้การขาดน้ำยังทำให้การเผาผลาญอาหารช้าลงอาจจะไปส่งผลเสียต่อร่างกายในการเผาผลาญไขมันอีกด้วยค่ะ

 

16.ปัญหาระบบทางเดินอาหาร

เราได้พูดก่อนเกี่ยวกับเมือกในปากและลำคอของเราและวิธีการรักษา hydrated ช่วยให้เมมเบรนทำงานได้อย่างถูกต้อง นี้ยังใช้กับระบบย่อยอาหารทั้งหมด หากไม่มีความชุ่มชื่นเพียงพอปริมาณและความแข็งแรงของน้ำมูกในกระเพาะอาหารจะลดลงทำให้กรดในกระเพาะอาหารมีความเสียหายที่สำคัญต่อ insides ของคุณ นี้นำไปสู่สิ่งที่เรามักเรียกว่าอิจฉาริษยาและไม่ย่อย

 

17.มีกลิ่นตัว

การมีกลิ่นตัวที่เหม็นอาจจะเป็นสิ่งที่หลายคนไม่ชอบใจนักซึ่งถ้าหากว่าช่วงไหนรู้สึกว่าทำไมเรามีกลิ่นตัวแรง การแก้ปัญหาเบื้องต้นคือย้อนถามตัวเองว่าเราดื่มน้ำเพียงพอหรือยัง? เนื่องจากน้ำจะเป็นตัวช่วยที่ทำให้เกิดการขนส่งนำของเสียให้ออกจากร่างกาย และเมื่อร่างกายมีของเสียที่ค้างไว้จำนวนมากแทนที่จะถูกจัดเก็บไว้ในเซลล์เพื่อไว้จัดการหรือกำจัดในอนาคต แต่พอเวลาผ่านไปสิ่งที่หลงลืมและเหลือก็จะถูกเปลี่ยนคุณสมบัติทางเคมีทางร่างกายให้แย่ลงได้ นอกจากนี้ผิวที่แห้งและเกิดความเสียหายที่เกิดจากการสูญเสียน้ำ จนไปก่อให้เกิดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นนั่นเองค่ะ

 

18.ป่วยนานกว่าปกติ

ใครที่เป็นหวัดเรื้อรังไม่หายสักทีการดื่มน้ำเยอะๆ เป็นทางออกที่ดีค่ะ การดื่มน้ำจะช่วยให้ร่างกายของเราขับสารพิษออกมาได้อย่างต่อเนื่อง อวัยวะของเราทำงานเพื่อกรองเอาของเสียบางอย่างออกเปรียบดั่งเครื่องจักร์ โดยถ้าคุณไม่เติมน้ำมันให้เครื่องจักย์นั้นก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง เช่่นเดียวกับการเติมน้ำให้ร่างกายที่ขาดจะช่วยให้กลไกต่างๆ ในร่างกายขับเคลื่อนได้ต่อไปค่ะ

 

 

www.flickr.com/photos/siddienam/7718668456/

www.flickr.com/photos/jonavi/37509663536/

22 ชนิดของอาหารที่ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมัน

Source: Flickr (click image for link)

วันนี้จะมาพูดเกี่ยวกับหัวข้อเรื่อง “ชนิดของอาหารที่ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมัน” (Boost your metabolism) หัวข้อที่ฟังดูไม่น่าซีเรียสอะไรแต่แอบมีความสำคัญซ่อนอยู่ค่ะ ระบบที่ทำงานในทุกส่วนของร่างกายเราล้วนแต่มีความสำคัญต่อสุขภาพของเราโดยตรงเลยก็ว่าได้ รวมถึงระบบเผาผลาญในร่างกายที่เราจะมากล่าวถึงในวันนี้ด้วยค่ะ ซึ่งระบบเผาผลาญในร่างกายของเราถ้าทำงานได้ปกติหรือดีถือว่าเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของเราในเรื่องหลักๆ เลยคือ ช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนัก โดยใครที่มีระบบเผาผลาญในร่างกายที่ดีย่อมส่งผลให้การลดน้ำหนักนั้นง่ายขึ้นนั่นเองค่ะ ซึ่งก็แน่นอนค่ะว่าร่างกายของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราเลยนำหัวข้อนี้มาช่วยให้เป็นแนวทางอีกหนึ่งทางสำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีต่างๆ ในการลดน้ำหนัก หรือรู้สึกว่าทำไมร่างกายถึงได้เผาผลาญช้าและเผาผลาญไม่ดี เป็นต้น ใครจะรู้ล่ะคะว่ามีอาหารมากมายหลากหลายชนิดเลยให้เราได้เลือกมาปรับและรับประทานกันค่ะ ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มที่เรื่องง่ายๆ คือการดูแลและปรับการรับประทานอาหารนี้ก่อนเลยละกันค่ะ

 

 

22 ชนิดของอาหารที่ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมัน

Source: Flickr (click image for link)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1.โยเกิร์ต

โยเกิร์ตคือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนมอีกชนิดหนึ่งโดยขอแนะนำโยเกิร์ตชนิด โยเกิร์ตกรีก นอกจากแคลเซียมสูง ไขมันต่ำ มีเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิดช่วยในเรื่องการขับถ่ายแล้ว ยังมีโปรตีนและวิตามินดีที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อช่วยยับยั้งฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เป็นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความเครียดจนนำไปสู่การส่งผลต่อไขมันในช่องท้อง หรือเรียกว่าลงพุงนั่นเองค่ะ

 

2.เมล็ดอัลมอลด์

เลือกรับประทานเมล็ดอัลมอลด์แค่เพียงหนึ่งกำมือ ก็สามารถช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันได้อย่างไม่น่าเชื่อค่ะ อัลมอลด์นอกจากมีโปรตีนแล้วยังมีเส้นใยอาหารที่สูงเหมาะกับการเลือกเป็นอาหารทานเล่นได้เลยค่ะ อีกทั้งยังมีกรดอะมิโน L-arginine ที่ไปช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันแล้วคาร์โบไฮเดรตในร่างกายได้อีกด้วยค่ะ

 

3.ชาเขียว

พบว่านอกจากชาเขียวแล้วยังมีชาอีกหลายชนิดที่ช่วยในเรื่องของการเร่งเผาผลาญไขมันจากสาร catechin แต่ชาเขียวกลับเป็นตัวเลือกที่ดีกว่านอกจากมีสารคาเทชินที่สูงแล้วยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า ECGC ที่สูงมากอีกด้วย โดยสารตัวนี้จะไปช่วยเผาผลาญไขมันแล้วยังสามารถหยุดการสร้างไขมันได้อีกด้วยค้ะ

 

4.ข้าวโอ๊ต

ขึ้นชื่อว่าคาร์โบไฮเดรตหลายคนคงสงสัยว่ามันจะช่วยได้ยังไง การเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตไม่ได้แย่เสมอไปค่ะ โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรตที่มาจากธัญพืชอย่าง ข้าวโอ๊ต ข้าวโอ๊ตเป็นธัญพืชที่มีเส้นใหญ่อาหารสูงช่วยทำให้ชะลอการย่อยให้ช้าขึ้นจึงอิ่มได้นานและช่วยให้มีไขมันในท้องน้อยกว่าคนที่กินคาร์โบไฮเดรตชนิดที่ผ่านการขัดสีในปริมาณที่เท่ากันจำพวก ข้าวขาว ขนมปังขาวค่ะ

 

5.พริก

พริกเม็ดสีแดงๆ มีรสเผ็ดร้อนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะนี้ มีสารที่เรียกว่า แคปไซซิน เป็นสารประกอบที่จะทำให้เกิดความเผ็ดร้อน ช่วยไปเร่งการเผาผลาญแคลอรี่ได้เป็นอย่างดีเชียวค่ะ

 

6.ปลาแซลมอล

จะเห็นได้ว่าการเผาผลาญไขมันที่ดีโดยการสร้างกล้ามเนื้อด้วยโปรตีนทำให้กล้ามเนื้อมากขึ้นเท่ากับว่าการเผาผลาญไขมันก็มากขึ้นเช่นกันค่ะ และโปรตีนจำพวกเนื้อปลานี่แหละเป็นแหล่งชั้นยอดอย่าง ปลาแซลมอล โดนเฉพาะปลาแซลมอลที่เกิดเองตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยต้านการอักเสบและช่วยเผาผลาญไขมันค่ะ

 

7.เนื้อไก่งวง

เนื้อไก่งวงเป็นเนื้อสัตว์ชนิดที่มีโปรตีนสูงและไขมันต่ำ และที่สำคัญเมื่อเรารับประทานเข้าไประหว่างทำการย่อยยังไปช่วยเพิ่มระบบการเผาผลาญแคลอรี่ของเราไปในตัวอีกด้วยค่ะ

 

8.ดาร์คช็อกโกแลต

ช็อกโกแลตเป็นของหวานที่หลายคนชอบและกลัวที่จะรับประทานในตอนที่เรากำลังลดควบคุมน้ำหนัก แต่ไม่ใช่กับดาร์คช็อกโกแลตค่ะเนื่องจากพบว่าจุลินทรีย์ในลำไส้ของคนเราได้ทำการบ่มช็อกโกแลตในกระเพาะอาหาร จนไปเพิ่มการผลิตสารประกอบโพลีฟีนอลิกในกระเพาะอาหาร รวมทั้งบิวทิล และกรดไขมันที่จะช่วยกระตุ้นร่างกายให้ไปเร่งการเผาผลาญไขมันและยับยั้งยีนส์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบค่ะ

 

9.ควีนัว

เมล็ดควีนัว (Quinoa) เป็นพืชที่ได้ถูกยกให้เป็นซูปเปอร์ฟู้ดส์โดยมีส่วนประกอบจากโปรตีนที่สมบูรณ์ ซึ่งหมายความว่ามีโซ่สมบูรณ์ของกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและยังไปลดไขมันอีกด้วย พบว่าร่างกายที่ได้รับโปรตีนจากพืชมีความเสี่ยงน้อยต่อการเกิดโรค metabolic syndrome (ที่เป็นกลุ่มของคอเลสเตอรอลสูง น้ำตาลในเลือดสูง และโรคอ้วน) นอกจากนี้ควีนัวยังมีกรดอะมิโนไลซีนสูง ซึ่งไปช่วยในการเผาผลาญไขมันและบำรุงกระดูก ทำให้ผิวหนังแข็งแรงขึ้นอีกด้วยค่ะ

 

10.ถั่วดำ

ธัญพืชอย่างเมล็ดถั่วดำจัดเป็นแหล่งของแป้งชนิดที่ดีค่ะ ถั่วดำเป็นแป้งที่ทำให้ย่อยช้ามีเส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำจึงเป็นอาหารชั้นดีของแบคทีเรียที่ดีในลำใส้ของเรา ทำให้เกิดการผลิตสารเคมีบิวเรท ซึ่งจะไปช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเร่งการเผาผลาญไขมัน และช่วยลดไขมันได้ดีด้วยค่ะ

 

11.ลูกพรุน

ลูกพรุนเป็นผลไม้ที่มีสีเฉพาะคือ สีแดง ที่เกิดจากปริมาณสารต้านอนุมูอิสระที่เรียกว่า ฟลาโวนอยด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอนโธไซยานินซึ่งทำให้การทำงานของยีนที่เก็บไขมันได้ดีขึ้น ช่วยเร่งการเผาผลาญในการลดน้ำหนักได้ดีนักแลค่ะ

 

12.ไข่

ไข่จัดเป็นหนึ่งในอาหารที่เป็นแหล่งที่ดีที่สุดของโคลีน ซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญในการเผาผลาญไขมัน โดยจะไปช่วยยับยั้งยีนส์ที่รับผิดชอบในการจัดเก็บไขมันหน้าท้องค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นไข่ยังเป็นแหล่งโปรตีนชั้นยอดที่สามารถกำหนดอัตราการเผาผลาญไขมันได้ตลอดทั้งวันเมื่อเราเลือกทานเป็นอาหารเช้า ไม่ว่าจะเลือกรับประทานในรูปแบบไหนก็มีประโยชน์ทั้งนั้นค่ะ

 

13.ผักปวยเล้ง

ด้วยใบสีเขียวเข้มของผักปวยเล้งมีสารอาหารที่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานจำพวก วิตามินเอ ธาตุเหล็ก และโฟเลต นอกจากนี้ยังช่วยลดความอยากอาหารและยังช่วยลดปริมาณแคลอรี่รวมทั้งยังไปกระตุ้นให้ร่างกายเริ่มเผาผลาญไขมันด้วยสารประกอบธรรมชาติที่เรียกว่า thylakoids

 

14.อบเชย

อบเชยเป็นสมุนไพรไทยอีกชนิดที่คนไทยนิยมนำมาประกอบอาหารและต่างชาตินิยมปรุงในขนม ของหวาน หรือแม้แต่เครื่องดื่ม ด้วยอบเชยเป็นสมุนไพรที่จัดอยู่ในกลุ่มของเครื่องเทศรสเผ็ดร้อนนี้ จึงเป็นตัวเร่งการเผาผลาญให้กับร่างกายเราเป็นอย่างดีค่ะ ด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ได้จากอบเชยที่เรียกว่า โพลีฟีนอล ไปช่วยปรับสมดุลระดับอินซูลินทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ และยังสามารถลดไขมันในช่องท้องได้อีกด้วยค่ะ

 

15.เกรฟฟรุท

เกรฟฟรุทเป็นผลไม้ตระกูลเดียวกันกับส้มและมีลักษณะคล้ายกันค่ะ มีรชชาติเปรี้ยวอมหวานที่คุณเพิ่มโดยมีความสามารถในการเร่งการเผาผลาญไขมันของร่างกาย ช่วยลดความอยากของอาหารและลดไขมันด้วยค่ะ

 

16.เนยถั่ว

ส่วนใหญ่แล้วเนยถั่วจะนิยมนำมาเป็นเครื่องปรุงรสทาในแซนด์วิช หรือบนขนมปัง เนยถั่วเต็มไปด้วยสารอาหารที่ทำให้หน้าท้องเราแบนราบ คือไปช่วยลดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ลดคอเลสเตอรอล และเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีจากพืชอีกด้วยค่ะ พบว่าเมื่อโปรตีนเกิดการย่อยและเมื่อมันถูกย่อยสลายลงในกรดอะมิโนของร่างกาย โดยกรดอะมิโนหนึ่งในนั้นคือ phenylalanine จะไปกระตุ้นฮอร์โมนที่ช่วยลดความอยากอาหารและทำให้เร่งการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน และช่วยในการลดน้ำหนักค่ะ

 

17.กระเทียม

กระเทียมเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารไทยทั้งแบบสุกและสด ถึงแม้บางคนอาจจะไม่ชอบเมื่อรับประทานไปแล้วทำให้ลมหายใจไม่หอมสดชื่นเท่าที่ควร แต่ถ้าคุณรู้ถึงคุณค่าและประโยชน์จากกระเทียม คุณจะลืมเหตุผลนั้นไปโดยปริยายเลยล่ะค่ะ เพราะว่ากระเทียมจัดเป็นอาหารหรือตัวช่วยในการเร่งการเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว อีกทั้งยังสามารถป้องกันไม่ให้เกิดการสร้างไขมัน (lipids) หรือโมเลกุลของไขมันในเลือดนั่นเองค่ะ

 

18.น้ำเปล่า

น้ำเปล่าเป็นอีกตัวเลือกที่มหัศจรรย์ถึงขั้นที่หลายคนนำมาดื่มเพื่อบำบัดโรคกันเลยทีเดียวค่ะ หลายคนไม่ชอบดื่มน้ำเปล่าในแต่ละวันดื่มไม่เพียงพอต่อความต้องการร่างกายด้วยซ้ำไป แต่ทราบหรือไม่คะยิ่งคุณดื่มน้ำมากเท่าไหร่นอกจากทำให้ผิวใสเปล่งปลั่งแล้วยังไปทำให้ลดแคลอรี่ที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายลดลงง่ายขึ้นด้วย น้ำเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นและเป็นสิ่งสำคัญต่อระบบเผาผลาญของร่างกายช่วยทำให้ระบบเผาผลาญของคุณทำงานได้ดียิ่งขึ้น ลองใส่เลม่อนลงไปสักเสี้ยวแล้วดื่มยิ่งช่วยให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระที่ได้จากเปลือกของเลม่อนที่ไปช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายทั้งยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายได้อีกด้วยค่ะ

 

19.เมล็ดฟักทอง

ก็อาจจะเป็นไปได้ที่หนึ่งในเหตุผลของระบบการเผาผลาญอาหารในร่างกายเราไม่สามารถเผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เนื่องจากเกิดจากระดับแมกนีเซียมในร่างกายของเรานั้นก็มีความจำเป็นต่อร่างกายเช่นกัน ซึ่งแมกนีเซียมจะไปช่วยในการผลิตและเก็บสะสมพลังงาน อีกทั้งยังช่วยเพิ่ม lipolysis (กระบวนการที่ร่างกายเราได้นำเอาไขมันออกไปใช้เป็นพลังงาน)

 

20.กิมจิ

ไม่น่าเชื่อว่ากิมจิที่เป็นอาหารประเภทผักดองก็จัดเป็นอาหารที่ช่วยในการเร่งการเผาผลาญได้อีกด้วยค่ะ ด้วยส่วนประกอบที่พบในกิมจิคือเชื้อโพรไบโอติกช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นและยังสามารถช่วยในเรื่องของการควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วยค่ะ

 

21.ขมิ้น

ขมิ้นที่ได้จัดเป็นเครื่องเทศอีกอย่างหนึ่งที่คนไทยนิยมนำมาปรุงอาหาร ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ก้าวไกลได้มีการค้นคว้าวิจัยต่างๆ จนเกิดมาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่เรียกว่าขมิ้นชันก็มีให้เห็นถมเถไป ด้วยความเป็นเอกลักษณ์จากสี กลิ่น และรสชาติของขมิ้นพบว่าสามารถต่อสู้กับไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากสารสำคัญที่มาจากขมิ้น เรียกว่า curcumin จัดเป็นตัวช่วยเร่งการเผาผลาญและช่วยในเรื่องท้องอืดท้องเฟ้อได้เป็นอย่างดีค่ะ

 

22.ผลไม้ตระกูลเบอรร์รี่

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จำพวก สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ จะเต็มไปด้วยสารโพลีฟีนอลซึ่งจะไปช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันและป้องกันยับยั้งไม่ให้เกิดขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของผิวพรรณอีกด้วย โดยเฉพาะบลูเบอร์รี่ที่จัดเป็นแหล่งที่มีฤทธิ์ของสาร resveratrol ที่เป็น สารต่อต้านอนุมูลอิสระ นั่นเอง

 

www.flickr.com/photos/echadwick/2691099334/

www.flickr.com/photos/aryaziai/8731999161/

เมล็ดเจียคืออะไร มีคุณค่าและประโยชน์อย่างไร

Source: Flickr (click image for link)

ปัจจุบันคนหันมารักสุขภาพกันมากขึ้นและในคนที่รักสุขภาพก็ต่างค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอาหารหรือผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพมารับประทานอยู่เสมอๆ จะไม่มีใครไม่รู้จักอาหารที่ถูกยกให้เป็นซูปเปอร์ฟู้ดส์อย่าง เมล็ดเจีย หรือ เมล็ดเชีย (Chia Seed) อย่างแน่นอน และจากที่พบประสบมาไม่ใช่แค่ในคนที่รักสุขภาพเลือกรับประทานแต่อาหารเพื่อสุขภาพเท่านั้น ในคนที่กำลังควบคุมอาหารหรืออยู่ในช่วงลดน้ำหนักก็ให้ความสนใจต่อเมล็ดตัวนี้เช่นกัน ได้มีการถามไถ่เข้ามาว่าเมล็ดตัวนี้คืออะไร ช่วยในเรื่องอะไรบ้างและเจ้าตัวเมล็ดเชียนี้มีความดีความชอบอย่างไรกันถึงได้ถูกยกให้เป็นหนึ่งในอาหารที่เรียกว่า สุดยอดอาหาร (Super Foods) กันได้ล่ะ ด้วยความสนอกสนใจของเจ้าเมล็ดตัวนี้กันถ้วนหน้ารวมถึงตัวเองด้วย เลยขออนุญาตินำข้อมูลมาแบ่งปันกันค่ะ สมัยนี้ใครๆ ก็รักสุขภาพตัวเองกันทั้งนั้นแหละค่ะ การไม่เจ็บป่วยนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนโหยหาและเป็นชีวิตที่ใครๆ ก็ปราถนากันทั้งนั้น ไม่ว่าจะโรคภัยไข้เจ็บจากการรับประทานอาหารไม่ถูกต้อง หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เรามีสุขภาพที่อ่อนแอลง ในเมื่อเราเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แต่รู้ไหมคะว่าการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกต้องนั้นช่วยได้ค่ะ เราห้ามสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวไม่ว่าจะจากคนอื่นหรือจากสิ่งที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติได้ไม่ง่าย แต่เราก็สามารถหันมาปรับและเปลี่ยนแก้ไขตัวเราเองได้และยังง่ายกว่าด้วยค่ะ ในคนที่ดูแลตัวเองดีอยู่แล้วก็เป็นสิ่งที่ดีค่ะแต่ใครที่ยังคิดว่าค่อยเริ่มพรุ่งนี้ละกันก็ยังไม่สาย ถ้าคุณเริ่มต้นทำมันจริงๆ อย่าเพิ่งไปคิดว่าทำเพื่อลดน้ำหนักแล้วทำให้ท้อซะก่อน คิดแค่ว่าเราทำก็เพื่อสุขภาพของเราเองแค่นี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้วค่ะ เอาล่ะตอนนี้ไปทำความรู้จักกับเจ้าเมล็ดเจียกันเลยดีกว่าค่ะ

 

เมล็ดเจียคืออะไร มาจากไหนและมีประโยชน์อย่างไร

เมล็ดเจีย หรือ เมล็ดเชีย (Chia Seed) ที่หลายๆ คนรู้จักนั้นมีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Salvia Hispanica L. ซึ่งทราบหรือเปล่าคะว่าเมล็ดเจียเป็นพืชที่มีมายาวนานมากแล้วค่ะ เป็นพืชที่มีอายุมากกว่า 3,500 ปี ก่อนคริสตกาลตั้งแต่สมัยอาณาจักรแอซแท็กและอาณาจักรมายันในทวีปอเมริกา และก็แน่นอนว่าเจ้าพืชตัวนี้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในบริเวณแถบที่มีอากาศหนาว ซึ่งอเมริกาก็เป็นทวีปที่ปลูกเมล็ดเจียกันเยอะอีกด้วย แต่เมล็ดเจียนี้กลับมีถิ่นต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศเม็กซิโกและโบลิเวีย โดยชาวพื้นเมืองเขาพากันรับประทานมานานแล้วกว่าพันๆ ปีเลยค่ะ พวกเขานิยมนำเมล็ดเชียมาเป็นอาหารหลักโดยนำเมล็ดเจียมาผสมกับข้าวโพดหรือถั่วต่างๆ

Source: Flickr (click image for link)

“เมล็ดเจีย (Chia Seed)” จะมีลักษณะของเมล็ดเป็นเม็ดเล็กๆ โดยมีเปลือกนอกที่สามารถพองตัวได้เหมือนกับเม็ดแมงลัก ซึ่งบางคนก็อาจสับสนเวลาที่มองผ่านๆ จะชอบคิดว่าเมล็ดเจียคือเม็ดแมงลัก แต่แท้จริงแล้วเป็นคนละอย่างกันแค่มีลักษณะคล้ายกัน ซึ่งในความแตกต่างกันของเมล็ดเจียและเม็ดแมงลักนั้นสามารถแยกออกได้ด้วยการสังเกตลักษณะของเมล็ด โดยเมล็ดเจียนั้นจะมีลักษณะเรียวรีมีสีน้ำตาลเทา เมื่อนำไปแช่น้ำก็จะพองตัวมีลักษณะใส ส่วนเม็ดแมงลักนั้นจะมีสีดำเข้มถ้าเรานำไปแช่น้ำก็จะเกิดการพองตัวแบบเมล็ดเจียแต่จะมีเมือกขาวขุ่นออกมาด้วยค่ะ เมล็ดเจียมีขนาดลำต้นสูงประมาณ 4 – 6 ฟุต และเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับมินต์หรือกระเพรา ซึ่งในประเทศไทยก็พบว่ามีการปลูกกันมากในแถวจังหวัดลำปางและจังหวัดกาญจนบุรีค่ะ

ด้วยความที่เมล็ดเจียเป็นที่ถูกจับตามองกันเยอะขึ้นและก็รู้จักกันมากขึ้น อีกทั้งก็ยังมีคนที่สงสัยว่าเมล็ดเจียเม็ดเล็กๆ แบบนี้มีคุณค่าและประโยชน์อย่างไรกันนะ ทำไมคนถึงหันมานิยมกันมากมายขนาดนี้ เดี่ยวเรามาดูกันค่ะว่าสารอาหารทั้งหมดที่อยู่ในเมล็ดจิ๋วๆ นี้มีอะไรอยู่บ้าง

สารอาหารในเมล็ดเจีย 1 ออนซ์ หรือ 28.4 กรัม

โดยให้คุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้ค่ะ

ให้พลังงานทั้งหมด 138 กิโลแคลอรี่

คาร์โบไฮเดรต                                12  กรัม               —–>  4%

โปรตีน                                           4.7  กรัม               —–>  9%

ใยอาหาร                                         11  กรัม              —–>  40%

ไขมันทั้งหมด                                    9  กรัม              —–>  13%

แบ่งเป็นไขมันอิ่มตัว                       0.9  กรัม               —–>  4%

ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว                  0.7  กรัม

ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน                     7  กรัม

 

กรดไขมันโอเมก้า 3                   4915  มิลลิกรัม

กรดไขมันโอเมก้า 6                  1620   มิลลิกรัม

แคลเซียม                                      77   มิลลิกรัม                                

ฟอสฟอรัส                                   265   มิลลิกรัม

โพแทสเซียม                               115   มิลลิกรัม

โซเดียม                                           5   มิลลิกรัม

สังกะสี                                          1.0   มิลลิกรัม

ทองแดง                                        0.1  มิลลิกรัม

แมงกานีส                                    10.6  กรัม

ธาตุเหล็ก                                          7  กรัม

 

ประโยชน์และคุณค่าของสารอาหารที่มากล้นเกินขนาดของเมล็ดแบบนี้ ไม่แปลกใจที่จะถูกยกให้เป็นสุดยอดอาหารค่ะรวมทั้งหลายๆ คนก็เลือกที่จะซื้อหามาติดครัวที่บ้านไว้ ด้วยปริมาณใยอาหารที่สูงจึงเหมาะกับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักอยู่ เนื่องจากใยอาหารจะมีการพองตัวและทำให้เรารู้สึกอิ่มนานขึ้นไม่รู้สึกหิวบ่อย อีกทั้งเมล็ดเจียมีค่าพลังงานที่ต่ำมีสารอาหารจำพวกกรดไขมันที่ดีอย่างโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 อยู่สูงมาก รวมทั้งยังมีแร่ธาตุที่สำคัญมากมายอยู่ด้วย ไม่น่าเชื่อเลยใช่มั้ยล่ะคะเมล็ดเจีย (Chia Seeds) จิ๋วแต่แจ๋วนะจะบอกให้ 😉

 

อ้างอิง : ข้อมูลสารอาหารทางโภชนาการจาก www.draxe.com/chia-seeds-benefits-side-effects

www.flickr.com/photos/sweetbeetandgreenbean/2987956173/

www.flickr.com/photos/117561658@N03/27898746913/

15 นิสัยและพฤติกรรมแย่ๆ ที่ทำให้อ้วน

eating-cake-1
Source: Flickr (click image for link)

สำหรับคนที่กำลังจะอ้วนหรืออ้วนไปแล้วและกำลังควบคุมน้ำหนักอยู่ บางคนอาจจะยังไม่ทราบหรือไม่รู้ตัวเองว่านิสัยการกินหรือพฤติกรรมที่คุณนั้นชอบทำอยู่เป็นประจำนั้น อาจจะเป็นส่วนที่ทำให้คุณไม่สามารถควบคุมน้ำหนักได้เท่าที่ควรจะเป็น ถึงแม้ว่าคุณจะบอกว่าได้พยายามควบคุมอาหารอย่างที่สุดแล้วนะ แต่ทำไมน้ำหนักไม่ลดลงเลยล่ะ เอาล่ะก่อนอื่นเลยเราลองกลับมาย้อนมองดูตัวเองกันก่อนไหมว่านิสัยและพฤติกรรมเหล่านี้ตรงกับที่คุณทำและเป็นอยู่หรือไม่ และถ้าใช่ก็ควรหยุดเสียนั่นอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมการควบคุมน้ำหนักของคุณที่ทำมาอย่างมุ่งมั่นจึงไม่ประสบผลสำเร็จสักที การควบคุมน้ำหนักหรือการลดน้ำหนักมันไม่ง่ายและรวดเร็วเหมือนตอนที่เรากินแล้วน้ำหนักขึ้นพรวดๆ โดยไม่บอกไม่กล่าวหรือคำนึงถึงลิมิตที่คุณวางไว้หรอกนะ ถ้าคุณอยากจะให้มันสำเร็จไปได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วล่ะก็ ถึงเวลาที่เราต้องหันมาปรับนิสัยและเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้กันค่ะ

 

15 นิสัยและพฤติกรรมแย่ๆ ที่ทำให้อ้วน

eating-foods-1
Source: Flickr (click image for link)

1.ขี้เสียดาย

หลายคนมีนิสัยขี้เสียดายของโดยเฉพาะกับอาหารการกิน นั่นอาจเป็นเรื่องดีค่ะถ้าในสำหรับคนที่ไม่ได้ต้องการควบคุมน้ำหนักนะคะ แต่ถ้าเราต้องการควบคุมน้ำหนักแล้วก็ควรอย่าไปเสียดายอาหารที่เราทานไม่หมด เมื่ออิ่มแล้วก็ควรพอไม่ควรทานต่อเพื่อให้มันไปขยายกระเพาะของเราเปล่าๆ นอกจากนั้นยังไปเป็นของเหลือที่ร่างกายเราไม่ได้เอาไปใช้ประโยชน์อะไรต่อ แถมยังมาใจดีเก็บสะสมของเหลือเหล่านั้นให้ไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายอีกแน่ะ แล้วก็มาทำให้เราหงุดหงิดรำคาญใจว่าทำไมมีพุง ทำไมขาใหญ่ แขนใหญ่ เห้อออ เลิกเหอะ

 

2.ตามใจปาก

การตามใจปากคือการที่กินเพราะความอยากจากความต้องการและอารมณ์ของเราล้วนๆ ไม่ใช่เพราะความหิวหรืออย่างใด แค่อยากจะกินอ่ะ นู่นก็จะเอานี่ก็จะกิน กินไม่หยุดกินได้เรื่อยๆ กินแบบไม่มีท่าทีว่าจะพอ โหยยแม่คุณกินแบบนี้นี่ไง กินไม่ปรึกษาตัวเลขที่ขึ้นเอาพรวดๆบนตาชั่งเลย แล้วยังมาร้องว่าทำไมน้ำหนักไม่ลดซักที อ้วนได้ไงเนี่ย เออคิดได้เนอะ

 

3.การกินเร็ว

การกินเร็วรวมถึงการที่ยังไม่ทันได้เคี้ยวก็รีบกลืน การกินเร็วแบบนี้จะทำให้เราเพลินและกินได้มากขึ้น แต่ทราบหรือไม่ว่าการที่เรากินเร็วแบบที่ยังไม่ได้ทันได้ใช้เวลาในการเคี้ยวให้ละเอียดแล้วกลืนนั้น จะทำให้เราไม่รู้สึกอิ่มและนั่นอาจจะทำให้เราทานมากกว่าปกติเพราะการกินเร็วนั้นทำให้กระเพาะยังไม่ทันรู้สึกว่าได้รับอาหารจึงทำให้เรารู้สึกว่ายังกินได้อีก เพราะอย่างนี้การกินแบบค่อยๆ เคี้ยวให้ละเอียดจะทำให้อาหารย่อยง่าย และยังทำให้ได้รับปริมาณอาหารที่เพียงพอต่อความหิวอีกทั้งยังช่วยให้ได้รับรสชาติของอาหารมากขึ้นด้วยค่ะ

 

4.กลัวน้ำหนักตัวเอง

หลายคนกลัวการชั่งน้ำหนักของตัวเองโดยเฉพาะอยู่ในช่วงที่คิดว่าตัวเองรู้สึกว่าอ้วนขึ้นกลัวที่จะเห็นตัวเลขบนตาชั่งแล้วรับไม่ได้ อยากจะบอกว่าการทราบน้ำหนักตัวเองอยู่ทุกวันเป็นเรื่องดีนะคะอย่าได้กลัวไปเลย เพราะจะทำให้เราทราบน้ำหนักของตัวเราเองว่าเพิ่มขึ้น ลดลง หรือคงที่แล้ว เพื่อเตือนให้เรารู้ตัวและสามารถควบคุมน้ำหนักได้ค่ะ

 

5.ดูโทรทัศน์หรือเล่นโทรศัพท์ระหว่างการกิน

เชื่อว่าหลายๆคนคงเป็นกันค่ะ การที่เราทำกิจกรรมจำพวกดูโทรทัศน์ เล่นโทรศัพท์มือถือ รวมถึงการอ่านหนังสือ ทราบหรือไหมว่าการทำพฤติกรรมเหล่านี้ระหว่างการรับประทานอาหารจะทำให้เราทานมากขึ้นถึง 50% และยังทำให้เรารับประทานอาหารมื้อถัดไปเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย นั่นก็เป็นเพราะว่าเรามัวแต่ต้องโทรทัศน์หรือเล่นโทรศัพท์อยู่ จึงทำให้จิตใจของเราไม่ได้จดจ่ออยู่กับอาหารที่เรากำลังรับประทานเราเลยไม่รู้สึกว่าอิ่มสักที รู้อย่างนี้ก็ควรต้องถึงเวลาปรับเปลี่ยนนิสัยนี้เสียทีนะ

 

6.งดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง

การรับประทานอาหารที่ถูกต้องคือการรับประทานอาหารให้ครบสามมื้อไม่ควรข้ามหรืองดมื้อใดมื้อหนึ่ง โดยเฉพาะมื้อเช้าที่หลายคนตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจงดแต่ไม่ควรจะทำค่ะ การที่เราไม่ทานมื้อเช้าที่เป็นมื้อเริ่มต้นของวันและเป็นมื้อที่สำคัญต่อสุขภาพของเราที่ร่างกายควรจะได้รับแล้วแต่เมื่อเรางดไป จะไปทำให้เราหิวและไปหนักในมื้ออื่นโดยเฉพาะมื้อเย็นที่เราจะไปจัดหนักจัดเต็มกันเลยทีเดียว แต่กลับกันมื้อเย็นหลายคนคงเข้าใจว่าควรงดซึ่งนั่นก็ไม่ถูกต้อง แค่มื้อเย็นควรทานให้เบากว่ามื้ออื่นๆ และไม่ควรดึกจนเกินไปต่างหากล่ะ

 

7.กินแก้เครียด

เวลาที่มีเรื่องเครียดหรืออาการกลุ้มอกกลุ้มใจ การกินถือเป็นสิ่งตอบโจทย์ของใครหลายๆ คน บางทีก็กินแก้เครียดโดยไม่รู้ตัว ในช่วงที่เราควบคุมน้ำหนักอยู่นี้อยากให้หาวิธีหรือกิจกรรมอย่างอื่นในการแก้เครียดที่ไม่ใช่การกินค่ะ ความจริงแล้วถ้าเปลี่ยนมาเลือกรับประทานจำพวกผักสลัดสดหรือผลไม้สดน่าจะดีกว่านะ

 

8.กินให้คุ้มแบบจัดเต็ม

การกินประเภทนี้จะมีอยู่ในคนที่ชอบอาหารประเภทบุฟเฟ่ กินแบบไม่อั้นจัดเต็มให้คุ้มกับเงินที่เสียไป ถึงแม้ว่าเราจะกินอิ่มแล้วก็ตามแต่ก็ไม่สามารถรู้ตัวได้ว่าเราควรที่จะพอและควรจะหยุดกิน ด้วยความที่คิดว่ายังไม่คุ้มก็เอาอีก ตักอีก กินอีก นอกจากน้ำหนักที่ขึ้นแบบไม่รู้ตัวแล้วโรคภัยไข้เจ็บอาจถามหาตามมา และก็คงจะไม่คุ้มกับความเสียดายเงินของราคาบุฟเฟ่ที่เราพยายามกินให้คุ้มแล้วก็เป็นได้

 

9.ชอบกินมื้อดึก

ใครที่ชอบนอนดึกไม่ว่าจะวัยเรียนหรือทำงาน เมื่อถึงเวลานอนก็จะไม่นอนกันไม่ว่าจะมีงานค้างหรืองานด่วนที่ต้องรีบทำให้เสร็จ ดึกๆไปก็คงจะรู้สึกหิวและก็หาอะไรกินแก้หิว อย่าลืมนะคะว่าร่างกายมีช่วงเวลาของมันเวลากลางคืนก็คือเวลาที่ควรพักผ่อนร่างกายของเราให้เต็มที่ แต่เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานสูงมากที่สุด เวลากลางคืนกลางดึกนี้เราไม่ได้มีการเคลื่อนไหวร่างกายอะไร ถ้าเรากินอาหารที่ให้พลังงานสูงเข้าไปก็จะกลายเป็นไขมันสะสมที่ก่อให้เกิดความอ้วนและเสียสุขภาพไปโดยเปล่าประโยชน์นั่นเองค่ะ

 

10.กินจุบกินจิบ

การกินแบบไม่หยุดอยู่ตลอดเวลาชนิดที่ว่างเป็นไม่ได้ ต้องหาอะไรมาเข้าปากสักหน่อยไม่เว้นช่องว่างให้หยุดพัก ในปากต้องมีของกินอยู่เสมอเวลาเรียนหรือทำงานก็แอบซื้อขนมขบเคี้ยวมาแอบไว้ในกระเป๋า หยิบมากินเพลินๆ ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกว่างเหงาปาก ถ้าไม่ได้กินจะเหมือนว่าขาดอะไรไป นิสัยนี้ทำไปนานๆก็จะเกิดเป็นความเคยชินที่ไม่ดี ถ้ายังไม่หยุดก็อ้วนแน่นอนค่ะ

 

11.ให้รางวัลตัวเองด้วยการกิน

ในสังคมส่วนใหญ่ไม่ว่าจะดีใจ ฉลอง ปาร์ตี้ อะไรก็คงไม่พ้นการเลือกการกินเป็นการปลอบใจให้รางวัลแก่ตนเอง และการที่เราให้รางวัลกับตัวเองด้วยการกินถือเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่ออกกำลังกายแล้วให้รางวัลของการออกกำลังกายมาอย่างหนักทั้งอาทิตย์ต้องมาพังลงจากการกินที่คิดว่ากินนิดหน่อยเอง สุดท้ายก็จะได้น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเป็นสิ่งตอบแทนค่ะ

 

12.ชอบเข้าร้านสะดวกซื้อ

การเดินเข้าร้านสะดวกซื้อเป็นประจำทุกวันถือว่าติดเป็นนิสัยของการใช้ชีวิตประจำวันไปแล้ว ด้วยความที่สะดวกและเคยชินจะออกจากบ้านหรือเวลาจะเข้าบ้านเป็นต้องแวะ พอแวะแล้วก็ต้องซื้ออย่างน้อยก็ต้องเป็นลูกอม ช็อคโกแลต ไอศครีมบ้างแหละ ถ้ายังทำตามใจไม่แก้นิสัยนี้ก็คงยากที่จะควบคุมน้ำหนัก

 

13.ชอบตบท้ายด้วยของหวาน

ส่วนใหญ่แล้วในคนที่คิดว่าเมื่อรับประทานของคาวแล้วต้องล้างปากด้วยของหวานอยู่เสมอซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดพลาดค่ะ ถ้าในคนที่ดูแลสุขภาพร่างกายตัวเองเป็นอย่างดีก็ไม่ว่ากันค่ะ แต่ถ้าอยู่ในช่วงที่ควบคุมน้ำหนักอยู่แล้วมีนิสัยชอบกินของหวานตบท้ายนี้แล้วรีบเปลี่ยนเลยค่ะเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

 

14.ไม่ชอบดื่มน้ำ

มีหลายคนเลยค่ะที่ไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อร่างกายนั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อระบบต่างๆของร่างกาย นอกจากจะช่วยในเรื่องการขับของเสียออกจากร่างกายแล้วยังทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล มิหนำซ้ำยังช่วยระบบย่อยให้ทำงานเป็นปกติดีอีกด้วยค่ะ

 

15.ไม่ชอบเคลื่อนไหวร่างกาย

ไม่ว่าจะด้วยหน้าที่การงานที่ทำให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยเช่น นั่งแต่เก้าอี้ หรือคนที่ชอบแต่นั่งๆ นอนๆ ไม่ชอบออกกำลังกายแบบนี้ยิ่งจะทำให้เราอ้วนด้วยไม่รู้ตัว อย่างน้อยก็ควรมีการเคลื่อนไหวของร่างกายระหว่างวันบ้าง แทนที่จะขึ้นลิฟเปลี่ยนมาเดินขึ้นบันไดหรือมีการออกกำลังกายแบบเบาๆบ้าง เช่น โยคะ เต้นแอโรบิค เพื่อเผาผลาญพลังงานที่เราได้รับเข้ามาหรือส่วนที่สะสมให้เบิร์นออกไปบ้าง ถ้ามัวแต่รับเข้ามาแล้วไม่เอาออกบ้างก็คงลำบากที่จะควบคุมน้ำหนักให้ได้อย่างใจหวัง

 

www.flickr.com/photos/cc_photoshare/10728238955/

www.flickr.com/photos/daniellehelm/4454701044/

 

  • 1
  • 2