Browse Tag: สายตา

12 สุดยอดประโยชน์ต่อสุขภาพจากผักเคล (Kale)

Source: Flickr (click image for link)

ผักเคล (Kale)” ที่หลายๆ คนคุ้นชินและพบเห็นกันส่วนใหญ่คือเป็นผักที่นิยมนำมาทำสมูทตี้สีเขียวสดใสให้ความรู้สึกว่าเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ หรือจะนำมารับประทานเป็นสลัดแม้แต่ใส่ในขนมปังโฮลวีททำเป็นแซนวิสในวันที่เร่งรีบก็ให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบค่ะ ผักเคลขึ้นชื่อว่าเป็นอีกชนิดของผักใบเขียวที่คนทั่วโลกยกให้เป็น สุดยอดอาหาร (Super Food) ที่ดีและด้วยความที่มีคุณค่าทางโภชนาการอยู่สูงมาก! ผักเคลที่เราๆ เรียกกันว่าผักคะน้าใบหยิกนั่นเองและก็ไม่แปลกใจเลยเนื่องจากผักเคลเป็นพืชผักใบเขียวที่อยู่ในตระกูลเดียวกันกับ คะน้า บล็อคโคลี่ นั่นเอง เห็นว่าเป็นผักที่มีประโยชน์อย่างมหัศจรรย์อย่างนี้แล้วการเพาะปลูกก็ไม่ยากด้วยเช่นกันค่ะ ด้วยคุณค่าสารอาหารที่มากมายมหาศาลแล้วยังอุดมไปด้วยวิตามิน เค เอ และวิตามินซีอีกด้วย จนได้รับฉายาและถูกขนานนามอย่างมากมายเช่น ราชินีแห่งผักใบเขียว โรงอาหารเพื่อสุขภาพ หรือแม้กระทั่งเป็นพืชใบสีเขียวที่ถูกยกให็เป็น เนื้อวัวชนิดใหม่ จนชวนให้สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไรกันนี่? ผักเคลมีคุณค่าทางโภชนาการมากมายขนาดนี้เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเราอย่างไรบ้าง ด้วยยุคที่หลายคนหันมาให้ความสนใจต่อสุขภาพกันมากขึ้นเพราะฉะนั้นสมัยนี้ก่อนที่เราจะเลือกบริโภคสินค้า หรือแม้แต่การเลือกอาหารมาบริโภคการที่เราได้รู้ถึงคุณค่าทางโภชนาการเท่านั้นยังไม่เพียงพอค่ะ เราต้องรู้ด้วยว่ามันดีต่อร่างกายยังไง เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วสารอาหารแต่ละอย่างที่เราได้รับมันไปทำงานต่อระบบต่างๆ ในร่างกายของเรายังไงค่ะ ดังนั้นเรามาดูกันว่าผักเคลที่เราได้เห็นและได้ยินมานี่มันดีต่อสุขภาพร่างกายของเราอย่างไรบ้างค่ะ   

 

12 สุดยอดประโยชน์ต่อสุขภาพจากผักเคล (Kale)

Source: Flickr (click image for link)

1.ป้องกันโรคมะเร็ง

พบว่าผักตระกูลกะหล่ำเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วย glucosinolates ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีกำมะถันเป็นจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในผักตระกูลกะหล่ำนี้ก็มีผักเคลรวมอยู่ด้วยนั่นเอง โดยผักเคลสามารถไปช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งได้และการเป็นโรคมะเร็งมีสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดนั่นก็คือการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งลามไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งสารเคมีเหล่านี้ได้ถูกทำการย่อยสลายระหว่างการเคี้ยวและถูกย่อยสลายกลายเป็นสารประกอบที่ใช้งานทางชีวภาพ เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งที่เรียกว่า indoles, thiocyanates และ isothiocyanates ซึ่งสามารถหยุดยั้งมะเร็งจากการแพร่กระจายได้นั่นเองค่ะ

 

2.ล้างสารพิษ

การล้างสารพิษหรือที่เราเรียกกันว่าการ ดีท๊อกซ์ พบว่าในผักเคลมีสารดีท๊อกซ์ตามธรรมชาติ ไม่เพียงช่วยขจัดสารพิษแต่ยังช่วยขจัดสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกายอีกด้วยค่ะ เนื่องจากมีส่วนประกอบของผักเคลที่เรียกว่า isothiocyanates (ITCs) ซึ่งทำจาก glucosinolates พบว่าช่วยในการดีท็อกซ์ร่างกายของคุณลึกถึงระดับเซลล์เลยทีเดียว ITCs เหล่านี้เป็นพลังต่อต้านสารพิษและอนุมูลอิสระ ซึ่งสารพิษที่เราพบเจอในสิ่งแวดล้อมและเกิดขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวันของเรา เช่นจำพวกจากการรับประทานอาหารพวกแปรรูป สารมลพิษจากอากาศ สารกำจัดศัตรูพืช และยา นั้นจะไปเพิ่มระดับความเป็นพิษของร่างกายและเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคค่ะ

 

3.ต่อต้านอนุมูลอิสระ

ผักเคลเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและเบต้าแคโรทีน (เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ) โดยสารต้านอนุมูลอิสระเป็นที่รู้จักกันดีคือเพื่อต่อต้านความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระนั่นเอง ร่างกายของเราสัมผัสอนุมูลอิสระทุกวันผ่านทางอากาศที่ปนเปื้อน ไม่ว่าเราจะหายใจหรือสารพิษในอาหาร รวมถึงสารเคมีในน้ำที่เราดื่มๆ กันอยู่ทุกวี่ทุกวันกันอยู่แล้ว สารอนุมูลอิสระที่เราพบเจอนี้จะไปก่อให้เกิดความเครียด ที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนสำคัญต่อความผิดปกติของระบบประสาทเช่น โรคพาร์คินสันและโรคอัลไซเมอร์ค่ะ

 

4.ช่วยการย่อยอาหารและขจัดไขมันส่วนเกิน

ด้วยเส้นใยอาหารที่มีในผักเคลอยู่ไม่น้อย รวมไปถึงแคลลอรี่ต่ำทั้งยังไม่มีไขมันอีกด้วย จึงเหมาะสำหรับการช่วยในการย่อยอาหารและขจัดไขมันส่วนเกินนั่นเองค่ะ

 

5.ต้านการอักเสบ

ใครจะรู้ว่าผักเคลที่เป็นพืชใบเขียวจะมีโอเมก้า 3 ที่พบในพืชซ่อนอยู่ และนี่เองที่เป็นตัวช่วยในการต่อต้านการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกายของเราค่ะ อีกทั้งผักเคลยังเป็นตัวช่วยในการสร้างความสมดุลย์ของโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 อีกด้วยค่ะ

 

6.ช่วยระบบหัวใจและหลอดเลือด

ผักที่มีสีเขียวเข้มอย่างผักเคลซึ่งนั่นก็หมายถึงมีความเข้มข้นสูงของสารอาหารต่างๆ มากมายและรวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระกับฤทธิ์ต้านการอักเสบในร่างกายของเราค่ะ ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระมีระดับสูงประกอบไปด้วยวิตามินเคและวิตามินอี ที่มีประสิทธิภาพในผักเคลทำให้เป็นอาหารที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมต่อสุขภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือด

 

7.ป้องกันโรคกระดูกพรุน

เห็นเป็นพืชที่มีใบหยักๆ สีเขียวๆ อย่างนี้แล้ว ผักเคลเป็นพืชที่มีแคลเซียมสูงนะเอ แถมมีมากกว่านมซะอีกแหนะ! ซึ่งแคลเซียมจะไปช่วยในการป้องกันการสูญเสียของกระดูก อีกทั้งยังช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนและการเผาผลาญอาหารที่ดีด้วยค่ะ

 

8.ช่วยการสร้างฮีโมโกลบิน

ผักเคลได้ถูกเรียกว่าเป็น เนื้อวัวชนิดใหม่ เนื่องจากมีธาตุเหล็กที่สูงมากกว่าในเนื้อวัวเสียอีก โดยธาตุเหล็กเป็นแหล่งของสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อการสร้างฮีโมโกลบินและเอนไซม์ในการขนส่งออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเซลล์รวมถึงการทำงานของตับ และอื่นๆ อีกมากมาย

 

9.บำรุงสายตา

เนื่องด้วยวิตามินเอที่สูงในผักเคล ซึ่งวิตามินเอจะไปช่วยบำรุงสายตาช่วยในเรื่องของการมองเห็น ยิ่งไปกว่านั้นพบว่ามีสารอาหารสองชนิดที่สำคัญคือ lutein และ zeaxanthin ที่ไปช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของตาและต้อกระจก ซึ่งทั้ง lutein และ zeaxanthin ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในสายตาและกรองความยาวคลื่นสีน้ำเงินที่มีพลังงานสูงที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสายตานั่นเอง

 

10.ช่วยพัฒนาสมองแก่ทารกในครรภ์

ประโยชน์ต่อสุขภาพที่สำคัญของผักเคลอีกหนึ่งอย่าง คือสามารถช่วยการพัฒนาสมองของทารกที่อยู่ในครรภ์ของคุณแม่ เนื่องจากผักเคลเป็นแหล่งที่ดีของโฟเลทที่มีคุณค่า ดังนั้นการที่คุณแม่เลือกรับประทานผักเคลเป็นประจำก็จะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดข้อบกพร่องหลายอย่างต่อเด็กทารกและช่วยส่งเสริมการพัฒนาและเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์ด้วยค่ะ

 

11.บรรเทาโรคอัลซัลเมอร์

วิตามินเคที่มีอยู่สูงในผักเคลและรวมไปถึงสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในผักเคลสามารถช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานที่เกิดจากโรคอัลไซเมอร์ได้ค่ะ

 

12.ดีต่อสุขภาพผิวพรรณ

ผักเคลเป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินแร่ธาตุมากมายอีกทั้งยังเป็นแหล่งของวิตามินซี วิตามินอีและสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากมาย นอกจากจะช่วยเรื่องสุขภาพภายในร่างกายแล้วยังช่วยให้สุขภาพผิวเราแข็งแรง ชุ่มชื้น สดใสอีกด้วยค่ะ

 

www.flickr.com/photos/lizhaslam/10619278955

www.flickr.com/photos/131262612@N05/16487735236/

 

 

6 ประโยชน์สุดยอดจากแอปเปิ้ลสีเหลือง

yellow-apple-1
Source: Flickr (click image for link)

มาถึงแอปเปิ้ลสีสุดท้ายกันค่ะ นั่นก็คือ แอปเปิ้ลสีเหลือง แอปเปิ้ลสีนี้เราอาจจะไม่ค่อยได้พบเห็นกันบ่อยนักตามท้องตลาด ส่วนใหญ่เราจะเห็นแอปเปิ้ลสีแดง สีเขียว หรือสีขมพูกันซะส่วนใหญ่ใช่ไหมล่ะค่ะ แต่ทราบหรือไม่คะว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลสายพันธุ์นี้นั้นมีมากมายเลยทีเดียวค่ะ แอปเปิ้ล ผลไม้ขึ้นชื่อเรื่องของรสชาติความอร่อย เปลือกสีสดน่ากิน เนื้อในหวานหอมกรอบ แถมยังเปี่ยมล้นไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น เบตาแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ จะเห็นได้ว่าแอปเปิ้ลแต่ละสีจะมีประโยชน์เมือนๆกันเกือบทุกข้อ แต่เห็นได้ชัดว่าจะมีประโยชน์บางข้อของแต่ละสีที่มีความโดดเด่นแตกต่างตามเฉพาะของแต่ละสีค่ะ อย่างของแอปเปิ้ลสีเหลืองนี้ก็เหมือนกันค่ะ เพราะอย่างนี้วันนี้เราจึงขอนำเสนอข้อมูลของประโยชน์จากแอปเปิ้ลสีเหลืองมาให้ได้อ่านกันค่ะ

 

 

ประโยชน์ที่คุณควรเลือกกินแอปเปิ้ลสีเหลือง

yellow-apple-2
Source: Flickr (click image for link)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1.ช่วยบำรุงสายตาและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจก

ยกให้เป็นประโยชน์เด่นข้อแรกของแอปเปิ้ลสีเหลืองเลยค่ะ เนื่องด้วยแอปเปิ้ลสีเหลืองนี้มีสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงสายตาที่อยู่สูงกว่าชนิดอื่น และแอปเปิ้ลสีเหลืองยังอุดมไปด้วยสารเควอร์ซิติน โดยสารนี้จะไปช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจกด้วยค่ะ

 

2.ช่วยกำจัดสารพิษในร่างกาย  

แอปเปิ้ลสีเหลืองนั้นเป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ส่วนของเปลือกแอปเปิ้ลนั้นก็มีความสำคัญเช่นกัน เนื่องจากมีสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ กำจัดสารพิษในร่างกาย การกัดกินแอปเปิ้ลทั้งผลพร้อมเปลือกร่างกายจะได้ประโยชน์มากกว่าปอกเอาเปลือกออก แต่ก่อนกินควรล้างน้ำให้สะอาดเพื่อลดสารพิษที่ติดอยู่ที่ผิวเปลือกด้วยค่ะ

 

3.ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก

แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ และมีใยอาหารอยู่ไม่น้อย มีส่วนประกอบของแป้งและน้ำตาลกว่า 75% ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที จึงทำให้เกิดความอยากอาหารลดลง จะเห็นได้จากข้อมูลของ USDA Nutrient database  ของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกาพบว่าแอปเปิลแต่ล่ะสีมีคุณค่าทางโภ­­­ชนาการดังนี้  คุณค่าทางอาหารต่อแอปเปิ้ล 100 กรัม แอปเปิ้ลสีเหลืองให้พลังงาน 57 กิโลแคลอรี่  น้ำ 85.81 กรัม, น้ำตาล 10.4 กรัม, ไฟเบอร์ 2.4 กรัม และโพแทสเซียม 100 กรัม ดังนั้นการเลือกทานผลไม้แอปเปิ้ลนั้นก็ไม่ตัวเลือกที่ดีค่ะ

 

4.ช่วยให้อิ่มนานและไม่หิวบ่อย

น้ำตาลฟรักโทสที่อยู่ในแอปเปิ้ลเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานอย่างช้าๆ โดยที่ร่างกายก็สามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ภายในสิบนาที ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น ไม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนเวลาที่เรากินขนมหวานอื่นๆ ทำให้รู้สึกอิ่มนานและไม่หิวบ่อยค่ะ

 

5.ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งและป้องกันโรคมะเร็งลำไส้

เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่าเพคติน และเส้นใยตัวนี้มีคุณสมบัติพองตัว จึงช่วยเพิ่มกากใยในทางเดินอาหารช่วยให้ขับถ่ายได้ดี และช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ค่ะ

 

6.ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและลดคอเลสเตอรอล

สารเบต้าแคโรทีนและเส้นใยไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล แอปเปิ้ลมีสารเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันแยกคอเลสเตอรอลออกมาแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ลจะไปคอยดักจับคอเลสเตอรอลเหล่านั้นและนำไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้งค่ะ ง่ายๆก็คือช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันถูกดึงมาเก็บสะสมไว้ในร่างกายเพิ่มเติมอีกนั่นเองค่ะและยังพบว่าแอปเปิ้ลลดคอเลสเตอรอลในผู้หญิงได้ดีกว่าผู้ชายด้วยค่ะ

 

 

www.flickr.com/photos/bernardoramonfaur/25870828710/

www.flickr.com/photos/calliope/24625088606/

สังกะสี คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร

beauty-face-1
Source: Flickr (click image for link)

สังกะสี (Zinc) ถือเป็นแร่ธาตุหรือเกลือแร่ที่ร่างกายของเราต้องการ หรือบางคนจะนึกถึงในรูปแบบอาหารเสริมช่วยของเรื่องผิวพรรณ ในคนที่ใช้รักษาเรื่องของการเป็นสิวกันใช่ไหมล่ะคะ แต่ในส่วนของความสำคัญในเรื่องอื่นๆโดยเฉพาะการทำงานของร่างกายให้เป็นปกตินั้นก็ต่อเมื่อถ้าเราได้รับในสัดส่วนที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ถึงแม้ว่าสังกะสีจะเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถขาดได้เลยค่ะ สังกะสี จัดเป็นแร่ธาตุในกลุ่ม (Trace Minerals) มีชื่ออีกอย่างหนึ่งที่เราทราบกันดีว่า ซิงค์ (Zinc) ร้อยละ 90 ของสังกะสีในร่างกายอยู่ที่กระดูกและกล้ามเนื้อ อีกร้อยละ 10 อยู่ที่ ตับอ่อน ตับ เลือด โดยร้อยละ 80 นั้นอยู่ในเม็ดเลือดแดงและร้อยละ 20 อยู่ในน้ำเหลือง สังกะสี มีลักษณะเหมือนกับแร่ธาตุและวิตามินอื่นๆ คือ เป็นสารอาหารทีไม่ให้พลังงาน แต่ทำหน้าที่เป็นเพียงตัวกำกับการทำงานของร่างกาย มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์กรดนิวคลิอิกและโปรตีนเอนไซม์ในร่างกายมากกว่า 100 ชนิด อาจจะพูดได้ว่าเอนไซม์ที่เป็นสารสำคัญในการเกิดปฏิกิริยาภายในร่างกายเกือบทุกชนิดต้องการ สังกะสี เป็นส่วนประกอบจึงจะทำหน้าที่ได้ดี ดังนั้น สังกะสี จึงมีความสำคัญต่อการทำงานของทุกอวัยวะในร่างกายเรา

ปัจจัยที่ทำให้ร่างกายได้รับปริมาณ สังกะสี ไม่เพียงพอได้แก่

การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง เช่น อาหารที่มีปริมาณสังกะสีต่ำ, อาหารที่มีแร่ธาตุทองแดง (Copper) มากเกินไป, พวกไฟเบอร์, ไฟเตต (Phytates), แอลกอฮอล์ (Alcohol), ฟอสเฟต (Phosphate) เพราะสารเหล่านี้จะไปลดการดูดซึม สังกะสี ผ่านผนังลำไส้ของคนเราได้

อายุที่มากขึ้น ประสิทธิภาพการดูดซึมสังกะสีลดลง

หญิงในระยะตั้งครรภ์  ต้องการสังกะสีมากเป็นพิเศษ

การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ทำให้ขาดธาตุสังกะสีได้

ภาวะโรคต่างๆ ที่ต้องการแร่ธาตุสังกะสีเป็นพิเศษ เช่น การติดเชื้อเรื้อรัง (Chronic infections) พิษสุราเรื้อรัง (Alcoholism) ผิวหนังอักเสบ (Psoriasis) ตับแข็ง (Cirrhosis)

โรคพันธุกรรม ที่ทำให้การดูดซึมสังกะสีไม่ดี พบในเด็กเล็กเรียกว่า Acrodermatitis Enteropathica (โรคผิวหนังอักเสบและผิดปกติทางจิตใจ)

 

เกี่ยวกับสังกะสี หรือ ซิงค์ (Zinc)

  • สังกะสี จัดเป็นแร่ธาตุในกลุ่มแร่ธาตุปริมาณน้อย (Trace Minerals) มีชื่ออีกอย่างว่า ซิงค์ (Zinc)
  • สังกะสี เป็นแร่ธาตุหรือเกลือแร่ที่ร่างกายของเราต้องการในสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ
  • สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อยแต่ก็ไม่สามารถขาดได้
  • สังกะสี ร่างกายไม่สามารถสร้างหรือสังเคราะห์ขึ้นเองได้
  • สังกะสี เป็นสารอาหารที่ไม่ให้พลังงานแต่ทำหน้าที่เป็นตัวกำกับการทำงานของร่างกาย
  • สังกะสี มีความสำคัญต่อการทำงานของทุกอวัยวะในร่างกาย
  • สังกะสี มีส่วนในการสร้างโครงสร้างของร่างกายและการสร้างเครือข่ายของเซลล์ เช่นเดียวกับการสร้างเอนไซม์ต่างๆมากกว่า 200 ชนิด
  • สังกะสี มีส่วนสำคัญในการสมานแผล
  • สังกะสี แหล่งของอาหารตามธรรมชาติได้มาจาก หอยนางรม เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อปู ตับวัว ตับหมูและปลายรำข้าว (Wheat germ)
  • สังกะสี หอยนางรม เป็นแหล่งสังกะสีที่ดี เพราะดูดซึมง่ายกว่าพวกพืชผัก
  • สังกะสี ถ้าขาดสารอาหารพวกนี้ไป ร่างกายก็จะผิดปกติไป
  • สังกะสี ส่วนใหญ่ที่รับประทานเข้าไปจะถูกขับถ่ายออกทางอุจจาระ
  • สังกะสี ที่บริโภคเข้าไปแล้วไม่ถูกดูดซึมจากน้ำย่อยของลำไส้เล็ก นอกจากนี้ร่างกายยังขับถ่ายสังกะสี ออกทางปัสสาวะโดยจับกับกรดอะมิโน
  • สังกะสี ในคนปกติจะขับถ่ายสังกะสีออกประมาณวันละ 300 – 600 ไมโครกรัม
  • สังกะสี อาหารจำพวกเนื้อเมื่อถูกย่อยเป็นกรดอะมิโนจะมีส่วนช่วยให้ร่างกายดูดซึมสังกะสีได้ดีขึ้น
  • สังกะสี ในธัญพืชประเภท ข้าว ข้าวโพด มีสังกะสีอยู่ปริมาณน้อย ส่วนผักและผลไม้แทบไม่มีปริมาณสังกะสีอยู่เลย
  • สังกะสี การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ทำให้ขาดธาตุสังกะสี
  • สังกะสี  ช่วยเสริมสร่างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ช่วยต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่จะมาแผ้วพานร่างกายคนเรา

 

 

ประโยช์ของสังกะสี หรือ ซิงค์ (Zinc)

 

ช่วยกระตุ้นการทำงานของ T – Lymphocyte ซึ่ง T-Lymphocyte เป็นส่วนประกองที่อยู่ในเม็ดเลือดขาวสำหรับการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย มีบทบาทต่อภูมิคุ้มกันในร่างกาย

 

ช่วยป้องกันไม่ให้ตาบอดในผู้สูงอายุ การสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุที่เรียกว่า macular degeneration นั้นพบว่าเกิดจากการขาดธาตุสังกะสี โดยสังกะสีจะไปช่วยให้เซลล์จับกับวิตามิน A ได้ดีขึ้นและเซลล์สามารถนำวิตามิน A ไปใช้ได้ดีขึ้น รวมถึงเซลล์บริเวณประสาท ซึ่งวิตามิน A เป็นวิตามินที่ช่วยบำรุงสายตา

 

ช่วยป้องกันและรักษาโรคหวัด พบว่าเมื่อเริ่มเป็นหวัดถ้ารีบรับประทานธาตุสังกะสี ทันที จะช่วยให้อาการหวัดรุนแรงน้อยลงและจำนวนวันที่ป่วยก็ลดลงด้วย

 

ช่วยในผู้ป่วยเบาหวาน โดยผู้ป่วยเบาหวานมักเป็นแผลและติดเชื้อง่าย สังกะสีจะช่วยให้แผลที่เป็นนั้นหายเร็วขึ้นและช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานต่อโรคด้วย และยังไปช่วยควบคุมในการเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายอีกทั้งยังควบคุมการทำงานของอินซูลินในร่างกายให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ทำให้การเปลี่ยนแปลงน้ำตาลในกระแสเลือดมาเป็นพลังงานได้มากยิ่งขึ้น

 

กระตุ้นให้แผลหายเร็วขึ้น คนที่มีบาดแผลต่างๆ หรือเป็นแผลในกระเพาะอาหาร การให้ธาตุสังกะสี โดยจะไปช่วยสร้างกรดนิวคลีอิค ซึ่งเป็นกรดที่ช่วยสร้างเซลล์ใหม่จึงช่วยให้แผลผ่าตัดหายเร็วขึ้น รวมถึงแผลที่อักเสบเรื้อรังมานานให้หายเร็วขึ้น จะทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าคนที่ไม่ได้รับธาตุสังกะสี

 

ช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศในผู้ชายและช่วยรักษาและป้องกันการเป็นหมัน มีส่วนสำคัญในการสร้างสเปิร์มและฮอร์โมนเพศชาย การให้ธาตุสังกะสีวันละ 50 มก. จะทำให้ปริมาณน้ำเชื้อเพิ่มมากขึ้นได้ จะเห็นได้ว่า ต่อมลูกหมากเป็นอวัยวะที่มี สังกะสีมาก การสร้างฮอร์โมนเพศชายก็ต้องการธาตุสังกะสีเช่นกัน  

 

ช่วยในการรักษาสิว คนที่มีปัญหาเรื่องสิว ฝ้า โดยเฉพาะเวลาที่เป็นสิวอักเสบก็จะยิ่งเป็นกังวล ไม่แปลกใจเลยทำไมหลายๆคนถึงต้องเข้าไปในร้านขายยาเพื่อจะซื้อยาที่มีส่วนผสมของธาตุสังกะสีหรือซิงค์มารับประทานกัน ด้วยคุณสมบัติของการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและภูมิคุ้มกันของธาตุสังกะสีรวมถึงการควบคุมการผลิตน้ำมันบริเวณต่อมน้ำมันใต้ผิวหนังให้เป็นปกติ จึงสามารถต่อต้านแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวได้

 

ช่วยป้องกันผมร่วงรวมถึงช่วยเล็บแข็งแรงขึ้น สังกะสีจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแบ่งเซลล์ของร่างกายของเส้นผม บางรายผมหลุดร่วงไปและเมื่อได้ทานสังกะสีก็จะช่วยให้เส้นผมใหม่งอกขึ้นได้เร็วขึ้น แต่ในรายหัวล้านตามอายุนั้นใช้ไม่ได้ผลเพราะไม่มีรากผม

 

ปริมาณของสังกะสีที่ร่างกายควรได้รับ

ถ้าร่างกายมีอาการขาดแร่ธาตุสังกะสีเป็นเวลานาน จะเป็นผลให้เกิดอาการต่างๆ มากมาย ดังนี้

  • การเจริญเติบโตในเด็กล่าช้า ตัวเล็ก แคระแกรน
  • ผิวหนังมีการอักเสบ โดยระยะแรกจะเป็นรอบปากและอวัยวะเพศ ต่อมาจะลามไปที่แขนและขา เริ่มแรกอาจเป็นแค่ผื่นแดงต่อมาจะมีลักษณะเป็นเม็ดพุพอง
  • มีอาการเบื่ออาหาร การรู้รสลดน้อยลง
  • มีอาการซึมเศร้า หงุดหงิด ขาดสมาธิ เหม่อลอย และมีอาการตาบอดแสงได้
  • ระบบต่อมไร้ท่อ คือ ทำให้อวัยวะเพศเด็กเล็ก ไม่โตขึ้นตามวัย
  • มีอาการผมร่วง แตกปลาย เล็บเปราะ ผิวแห้ง

ปริมาณสังกะสีที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวัน (Daily RDAs For Zinc)

อายุน้อยกว่า 1 ปี ปริมาณที่แนะนำ               3 – 5        มิลลิกรัม/วัน

อายุ 1 –10 ปี ปริมาณที่แนะนำ                       10          มิลลิกรัม/วัน

อายุ 11 ปีขึ้นไป ปริมาณที่แนะนำ                   15          มิลลิกรัม/วัน

สตรีในระยะตั้งครรภ์ ปริมาณที่แนะนำ          20 – 25     มิลลิกรัม/วัน

สตรีในระยะให้นมบุตร ปริมาณที่แนะนำ       25 – 30     มิลลิกรัม/วัน

 

www.flickr.com/photos/58842866@N08/5388146683/