Browse Tag: อร่อย

15 อาหารว่างที่กินแล้วอิ่มและไม่ทำให้อ้วน

eating-foods-1
Source: Flickr (click image for link)

Snack หรือ อาหารว่าง ที่เราชอบรับประทานเล่นระหว่างมื้อหนัก หรือบางทีอาหารว่างบางชนิดก็อาจจะกลายเป็นมื้อหนักได้เช่นกัน ก็เนื่องจากพลังงานแคลอรี่ที่สูงพุ่งปรี๊ดกว่าอาหารมื้อหลักที่เราทานกันซะอีก โดยเฉพาะในสาวๆ อย่างเรา ชอบรับประทานอาหารหลายมื้อยิบย่อย นู่นก็อยากกิน นี่ก็น่าทานไปซะหมด กินจุกจิกเป็นว่าเล่นได้ทุกวัน บอกแค่ชิมกินไปกินมามันก็เพลินหันมาอีกทีเอ้าหมดและ ถึงแม้ว่าที่เรากินๆกันไปมันก็อร่อยถูกปาก อิ่มท้อง สบายตัว แต่ว่าหลังจากนั้นล่ะคะ น้ำหนักที่บอกว่ากำลังควบคุมอยู่กลับกลายเป็นว่าต้องมาปลอบใจตัวเองและบอกว่า พรุ่งนี้ค่อยลด? น้ำหนักที่ขึ้นมาราวกับจรวดนั้นก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่เราไม่ชอบ แต่ทว่าอาหารว่างบางชนิดมันยังไปกระทบกับสุขภาพด้านอื่นๆ ของเราด้วยเช่นกันค่ะ การหักห้ามใจไม่ให้ทานของว่างในดวงใจรสเลิศมันอาจจะยาก แต่ผลที่ตามมามันอาจจะยุ่งยากในการแก้ไขกว่าหรือบางทีอาจจะสายเกินแก้ก็เป็นได้ค่ะ วันนี้ทาง HealthGossip ก็ไม่ใจร้ายแล้วบอกว่า ห้าม กินซะทีเดียวนะคะ สุขภาพของเรา ต่อให้มีเงินเป็นหลายล้านแต่ถ้าไม่เลือกซื้ออาหารที่มีคุณค่าต่อสุขภาพเราทานแล้ว บางทีเราก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพที่มันแย่ลงให้กลับมาดีดังเดิมได้ค่ะ วันนี้ขอนำเอาข้อมูลเกี่ยวกับอาหารว่างที่รับประทานแล้วไม่ทำให้อ้วนที่ทั้งทานแล้วอิ่มแถมยังดีต่อสุขภาพมาเสนอกันค่ะ

 

15 อาหารว่างที่กินแล้วอิ่มและไม่ทำให้อ้วน

mix-peanuts-1
Source: Flickr (click image for link)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1. ช็อคโกแลต

คงเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่สาวต้องมีติดตู้เย็นเพื่อรับประทานอย่างแน่นอน แต่ขอให้เลือกดูสักนิดนึงก่อนซื้อ ช็อกโกแลตที่ควรเลือกรับประทานควรมีปริมาณส่วนผสมของโกโก้เยอะที่สุดยิ่งเยอะยิ่งดี ควรมีที่ 70% ขึ้นไป หรือที่เราเรียกกันว่า ดาร์กช็อกโกแลต นั่นแหละค่ะ ช็อคโกแลตบาร์ขนาด 28 กรัม ให้พลังงานเพียงแค่ 150 กิโลแคลอรีเท่านั้น นอกจากจะช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นแล้วสารต่อต้านอนุมูลอิสระยังมีมากมายเชียวล่ะค่ะ

 

2. โยเกิร์ตรสธรรมชาติ

โยเกิร์ตขอให้เลือกเป็นรสธรรมชาติ ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำเชื่อม ไซรัป หรือน้ำตาลนะคะ นอกจากโปรตีนจากโยเกิร์ตจะช่วยทำให้เราอิ่มท้องแล้ว จุลินทรีย์ชนิดโพรไบโอติกส์ยังช่วยในเรื่องของสุขภาพในส่วนของระบบขับถ่าย ช่วยแก้ปัญหาท้องอืด และยังเป็นอาหารว่างที่ให้พลังงานแคลลอรี่ที่ต่ำอีกด้วยค่ะ ยังไงโยเกิร์ตก็เป็นอีกตัวเลือกที่ควรหยิบมาใส่ตะกร้าและมาเก็บไว้ในตู้เย็นที่บ้านนะคะ ดูซีรี่ย์เพลินๆ ตักโยเกิร์ตเย็นๆ เข้าปากไป อะไรจะฟินปานนั้น

 

3. เมล็ดธัญพืชต่างๆ

เมล็ดธัญพืชต่างๆ จำพวกอัลมอนด์ เมล็ดมะม่วงหิมะพาน พิตาชิโอ เมล็ดแตงโม หรือเมล็ดทานตะวัน อย่างที่หลายๆคนทราบดีว่าเมล็ดธัญพืชนั้นมีสารอาหารที่ดีมากมาย ทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และกรดไขมันที่ดีต่อร่างกาย อีกทั้งไฟเบอร์ยังช่วยทำให้อิ่มท้องได้นาน ไม่หิวบ่อยอีกด้วยค่ะ แต่อย่างไรทานเยอะไปก็ไม่ดีเนื่องจากจะทำให้อ้วนได้เหมือนกัน ทานแค่วันละ 1 กำมือกำลังพอดีค่ะ

 

4. สาหร่ายอบกรอบ

เป็นอีกหนึ่งของอาหารว่างที่หลายๆ คนคงชอบกัน รสชาติอร่อยและรับประทานได้เพลินๆ กันเลยทีเดียวสำหรับสาหร่ายอบกรอบ ย้ำว่าเป็นสาหร่ายที่ผ่านการอบไม่ใช่แบบทอดน้ำมันนะคะ ความจริงแล้วถ้าจะให้ดีควรเป็นสาหร่ายแบบสดจะให้คุณประโยชน์มากกว่า แต่สำหรับคนไทยอย่างเราคงจะนำเอามารับประทานเป็นของว่างลำบาก ในส่วนของสาหร่ายสดนั้นมีส่วนประกอบที่สำคัญอย่างเช่นวุ้นและเส้นใย ที่จะสามารถช่วยลดปริมาณการสะสมไขมันส่วนเกินของร่างกายเราได้เป็นอย่างดี เช่น ซุปสาหร่าย ซูชิห่อสาหร่าย และข้าวห่อสาหร่าย

 

5. กาแฟดำ

เครื่องดื่มคงเป็นอีกของว่างชนิดหนึ่งที่คนไทยต้องมีไว้ดื่มกันเพลินๆ ตัวเลือกที่ควรสั่งซื้อก็เช่น อเมริกาโน่ จะร้อนจะเย็นได้หมด เนื่องจากอเมริกาโน่เป็นกาแฟที่ไม่ใส่ส่วนผสมอื่น ๆ นอกจากกาแฟเพียวๆ ซึ่งตอนแรกอาจจะยากในการดื่มสักหน่อยในคนที่ชอบดื่มน้ำหวาน ขั้นแรกเราอาจจะผสมนมพร่องมันเนยลงไปแล้วอาจจะทำให้ดื่มได้ง่ายขึ้นค่ะ กาแฟดำให้ประโยชน์มากมายและเหมาะกับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักเป็นอย่างมากเลยค่ะ

 

6. ขนมปังโฮลวีท

ขนมปังโฮลวีทเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าขนมปังขาว เนื่องจากขนมปังโฮลวีทเป็นคาร์โบไฮเดรตประเภทเชิงซ้อนที่มีกากใยอาหาร ช่วยให้เราอิ่มท้องนานและค่อยๆ ย่อยช้าๆ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่อีกด้วย ช่วยในเรื่องควบคุมน้ำหนักแล้วยังช่วยเรื่องของสุขภาพอีกด้วย แบบนี้แล้วจะไม่เลือกใส่ตะกร้าได้ไง เอาไว้เป็นอีกตัวเลือกของอาหารว่างกันเลยจ้า แต่ยังไงก็อย่าลืมว่าทานแต่พอดีวันละแผ่นสองแผ่นก็พอนะจ๊ะ

 

7. แอปเปิ้ลเขียว

ของว่างที่ไว้ทานเล่น ใช่ว่าจะเป็นแค่พวกขนมขบเคี้ยวซะเมื่อไหร่ ผลไม้ถือเป็นตัวเลือกที่ดีค่ะ ให้ทั้งใยอาหารและวิตามินที่ดี อย่างแอปเปิ้ลเขียวหรือจะเป็นแอปเปิ้ลสีอื่น ๆก็ได้เหมือนกัน แต่ที่ให้เลือกแอปเปิ้ลเขียวเนื่องจากแอปเปิ้ลเขียวให้พลังงานน้อยและในแอปเปิ้ลเขียวนั้นมีเอ็นไซม์ที่สามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้ค่ะ อีกทั้งยังมีเอ็นไซม์ที่จะเผาผลาญสารอาหารช่วยทำให้ระบบย่อยและระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น นอกจากเหมาะในคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักยังช่วยบำรุงผิวให้ดีขึ้นจากวิตามินต่างๆ

 

8. น้ำชา

น้ำชา เป็นเครื่องดื่มที่อยากแนะนำให้ดื่มเป็นเครื่องดื่มยามว่าง ควรดื่มน้ำชาที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือครีมเทียม ควรเป็นชาแท้ๆ ไม่ว่าจะชาเขียวหรือชาจีนถ้าดื่มแบบร้อนๆ นอกจากได้รับสารแอนตี้ออกซิแดนท์อย่างเต็มที่แล้ว ยงช่วยทำให้เราไม่อ้วนอีกด้วย การดื่มน้ำชาสามารถทำให้ร่างกายของเรากระชุ่มกระชวน ร่างกายสดชื่น เพราะน้ำชามาส่วนประกอบของน้ำ สำหรับน้ำชาร้อน ๆ หรือน้ำชาอื่น ๆ สามารถช่วยให้ร่างกายอบอุ่นได้อย่างดีด้วยค่ะ

 

9. ป๊อบคอร์น

ใครจะรู้ว่าอาหารยามว่างอย่างป๊อปคอร์นก็จัดว่าเป็นเมนูที่ทานได้ เนื่องจากป๊อบคอร์นนั้นทำมาจากธัญพืชอย่างข้าวโพดซึ่งมีไฟเบอร์ค่อนข้างสูงพอตัว อีกทั้งยังจัดอยู่ในกลุ่มสแน็กแค­ลอรีต่ำอีกตด้วย โดยป๊อปคอร์นประมาณ 3 ถ้วยตวงพูน ๆ จะให้พลังงานประมาณ 150 กิโลแคลอรีเท่านั้น ควรเลือกป๊อปคอร์นที่ไม่ปรุงแต่งด้วยน้ำตาลหรือเครื่องปรุงแต่งด้วยอื่น ๆ ที่มีรสชาติหวานค่ะ

 

10. แตงโม

แตงโมเป็นผลไม้ที่สามารถกินเล่นได้โดยไม่ทำให้อ้วน รับประทานเป็นอาหารว่างแบบเย็นๆ ก็ไม่เลว สำหรับแตงโมนั้นนอกจากให้ความชุ่มช่ำและสดชื่นแล้ว ยังมีวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจำนวนมาก อีกทั้งเส้นใยอาหารยังทำให้เรากินแล้วอิ่มไวและช่วยในเรื่องของการขับถ่ายได้เป็นอย่างดีค่ะ หรือจะนำมาปั่นใส่น้ำแข็งเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่นไม่เบาค่ะ

 

11. ถั่วลิสง

ถั่วลิสง เป็นอาหารว่างที่ดีและมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งเลยทีเดียวค่ะ ช่วยลดความอยากอาหารได้อย่างดีเลยค่ะ ซึ่งก็เหมาะกับสาวๆ ที่ชอบกินจุกจิกระหว่างวันได้ไม่น้อย ถั่วลิสงมีโปรตีนที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ถึง 90% และมีกรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการถึง 8 ชนิด คุณสามารถทานถั่วได้ ไม่เกิน 1 กำมือ เพราะถั่ว 10 เม็ด ให้แคลอรี่ประมาณ 45 กิโลแคลอรี่ ยังไงก็ตามทานน้อยก็ดีตรงที่ไม่ทำให้แน่นท้อง และเกิดแก๊ซ

 

12. ปลาเส้นอบไมโครเวฟ

ปลาเส้นถือว่าเป็นเมนูอาหารว่างทานเล่นที่หลายๆ คนชอบ แต่ถ้าจะทำให้ดูเป็นอาหารทานเล่นที่ไม่น่าเบื่อก็ลองเอาไปอบในไมโครเวฟให้พอกรอบ กรุบกรับ อย่างนี้ได้เป็นอาหารว่างที่แสนเพลินเลยทีเดียว ในปลาเส้นมีโปรตีนและให้พลังงานน้อยเหมาะกับเป็นอาหารว่างระหว่างวันได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ

 

13. นมถั่วเหลือง

นมถั่วเหลืองนับว่าเป็นเครื่องดื่มที่ควรเลือกดื่มอีกหนึ่งตัวเลือกเลยค่ะ นอกจากจะมีสารอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ประกอบไปด้วยสารอาหารที่ครบทั้ง 5 หมู่ อย่าง โปรตีน, ไขมัน, คาร์โบโฮเดรต, เกลือแร่และวิตามินแล้ว โดยเฉพาะโปรตีนที่ได้จากถั่วเหลืองยังมีกรดอะมิโนมากมายที่เหมาะมากๆ กับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักและรักสุขภาพ อีกอย่างถ้าจะให้ดีขอเป็นนมถั่วเหลืองน้ำตาลน้อยนะคะ

 

14. ผัก ผลไม้อบกรอบ

ผัก ผลไม้ที่นำมาอบกรอบรับประทานแทนมันฝรั่งทอด อย่างเช่น แครอท บีทรูท ฟักทอง หรือผักโขม ผักปวยเล้งอบกรอบ เป็นของขบเคี้ยวที่ดีต่อสุขภาพและเหมาะมากๆกับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก ๆ นำผัก ผลไม้เหล่านี้มาอบแล้วทานเป็นของว่างระหว่างวัน อย่างนี้ได้เคี้ยวเพลินกันทั้งวันเลยแหละ

 

15. เม็ดแมงลัก

เม็ดแมงลักเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อในด้านการลดน้ำหนัก คนที่กำลังควบคุมน้ำหนักจะทราบกันดี เราจึงเอาเม็ดแมงลักมาเป็นอีกหนึ่งเมนูที่เลือกทานในมื้อว่าง ในเม็ดแมงลักมีวิตามินเอที่สูงกับเส้นใยละลายน้ำ (Soluble fiber) ที่ดูเป็นวุ้นใส เมื่อแช่น้ำนั้นจะช่วยพองในท้องให้เราอิ่มได้นานแต่ไม่ทำให้อ้วนค่ะ จะผสมกับนมถั่วเหลืองแล้วดื่มก็อร่อยไม่เบานะคะ

 

 

www.flickr.com/photos/merlijnhoek/15118978670/

www.flickr.com/photos/jocelyndurston/11247008/

6 ประโยชน์สุดยอดจากแอปเปิ้ลแดง

red-apple-1
Source: Flickr (click image for link)

แอปเปิ้ล (Apple) ถือเป็นผลไม้ที่เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพแล้วก็ยังมีอยู่หลากหลายสีและหลากหลายสายพันธุ์ตามท้องตลาดให้เลือกจับจ่ายกันค่ะ และภายใต้สีต่างๆของแอปเปิ้ลนั้นก็มีคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ที่มากมายแตกต่างกันไป นอกจากจะให้รสชาติที่อร่อยแล้วยังถือว่าเป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ง่ายถ้าเทียบกับคุณค่าทางโภชนาการที่มากล้นก็ถือว่าเป็นผลไม้ที่อยากจะแนะนำให้เลือกซื้อมาติดตู้เย็นไว้กันเลยทีเดียวค่ะ เราก็คงจะเคยเห็นกันตามซูปเปอร์มาเก็ตทั่วไปกันใช่ไหมล่ะคะว่าผลไม้ที่มีชื่อว่าแอปเปิ้ลนั้นมีอยู่หลากหลายสี เช่น สีแดง สีชมพู สีเขียวและสีเหลือง ดังนั้นวันนี้ HealthGossip จึงขอหยิบเอาข้อมูลของแอปเปิ้ลสีแดงมานำเสนอเป็นอันดับแรกก่อนเลยละกันค่ะ แอปเปิ้ลสีแดงสด 1 ลูก มีรสชาติที่อร่อยและราคาถูกนี้ พลังงานต่อหนึ่งผลก็ให้พลังงานที่ไม่มากถ้าเปรียบเทียบกับผลไม้อื่นๆ และก็เต็มไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มากมายแล้วก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีค่ะ อย่างไรก็ตามเราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าเจ้าแอปเปิ้ลสีแดงนี้จะมีประโยชน์อย่างไรบ้างค่ะ

 

6 ประโยชน์สุดยอดที่คุณควรเลือกกินแอปเปิ้ลแดง

bite-apple-1
Source: Flickr (click image for link)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1.ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก

ถือเป็นประโยชน์ข้อแรกเลยเมื่อนึกถึงแอปเปิ้ล ในส่วนของแอปเปิ้ลแดงนั้นคุณค่าทางโภชนาการของแอปเปิ้ลแดง ต่อแอปเปิ้ล 100 กรัม ข้อมูลของ USDA Nutrient database  ของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกาพบว่าแอปเปิลแดงมีคุณค่าทางโภ­­­ชนาการดังนี้  แอปเปิ้ลแดง 100 กรัม มีปริมาณของพลังงาน = 59 Kcal, มีน้ำ 85.33 กรัม, น้ำตาล 10.48 กรัม, ไฟเบอร์ 2.3 กรัม, โพแทสเซียม 104 กรัม นั่นเองค่ะ ด้วยปริมาณของพลังงานที่น้อยและมีไฟเบอร์ที่สูงและน้ำตาลในแอปเปิ้ลนั้นเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลงทั้งทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิดและอ่อนเพลียระหว่างรอเวลาอาหารมื้อใหญ่ค่ะ

 

2.ช่วยให้มีผิวที่สุขภาพดี นุ่ม ชุ่มชื้น

แอปเปิ้ลสีแดงเข้มที่เราเห็นกันอยู่นี้ เป็นแอปเปิ้ลสายพันธุ์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระมากที่สุดเลยล่ะ โดยสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในผิวแอปเปิ้ลสีแดง ๆ มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระมากเทียบเท่ากับวิตามินซีถึง 1,500 มิลลิกรัม ! และยังช่วยป้องกันไม่ให้ผิวพรรณเกิดริ้วรอยแห่งวัยค่ะด้วยที่ว่า แอปเปิ้ลแดง นั้นมีจุดเด่นที่ดีต่อสุขภาพคือมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วย

 

3.ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง

ด้วยความที่แอปเปิ้ลสีแดงสดนี้มีปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์อยู่นั่นเองค่ะ ซึ่งเจ้าสารต้านอนุมูลอิสระตัวนี้จะไปทำหน้าที่ขัดขวางการเติ­­­บโตของเซลล์มะเร็งในร่างกาย ทำให้ความเสี่ยงของโรคมะเร็งลดลงค่ะ

 

4.ช่วยบำรุงหัวใจ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ

อย่างที่ทราบกันดีว่าแอปเปิ้ลแดงนั้นมีคุณค่าโภชนาการมากมาย และมีสารสำคัญคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ โดยเพคตินมีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริกช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมันค่ะ เราจะได้รับสารต่างๆนี้ได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อเราเลือกรับประทานแอปเปิ้ลแดงทั้งลูกโดยไม่ปอกเปลือกค่ะ ก็เพราะถ้าหากเรารับประทานโดยการปอกเปลือกปริมาณของสารสำคัญต่างๆ ก็จะลดลงไปนั่นเองค่ะ

 

5.ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด

แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานและผู้ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด ปกติเมื่อกินอาหารเข้าไปอาหารแต่ละชนิดจะย่อยสลายและดูดซึมผ่านผนังกระเพาะลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะเพิ่มช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอาหารนั้น เช่น ถ้ากินน้ำผึ้งน้ำตาลในเลือดจะขึ้นฮวบฮาบทันที แต่สำหรับแอปเปิ้ลถึงจะมีน้ำตาลธรรมชาติในเนื้อแอปเปิ้ลมากแต่ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ เท่านั้น และยังพบว่าคนที่กินอาหารที่มีไฟเบอร์มาก ๆ มีโอกาสเกิดเบาหวานต่ำกว่าคนที่กินน้อยและสำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้วไฟเบอร์จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วย แอปเปิ้ลมีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำสูงมากนั่นเองค่ะ

 

6.ช่วยให้คลอเลสเตอรอลในเลือดลดลง

กินแอปเปิ้ลวันละ 2-3 ผลช่วยลดปริมาณคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด เนื้องจากแอปเปิ้ลมีสารสำคัญคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ โดยที่เพคตินมีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริกช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันแยกคลอเลสเตอรอลออกมาแล้ว เพคตินจะคอยดักจับคลอเลสเตอรอลเหล่านั้นนำไปทิ้งก่อนจะถูกดูดกลับเข้าสู่ร่างกายเป็นการขจัดคลอเรสเตอรอลออกไป แต่จะได้ผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยจะลดคลอเลสเตอรอลในผู้หญิงได้ดีกว่าผู้ชาย

 

 

www.flickr.com/photos/xcbiker/441025698/

www.flickr.com/photos/neogabox/3969921829/

ชนิดของชาเขียวญี่ปุ่นที่เราอาจจะยังไม่รู้

pouring-tea-1
Source: Flickr (click image for link)

บางคนถ้าพูดถึง ”ชาเขียว” แล้วล่ะก็…ต้องได้รู้จักกันทุกคนเลยแหละเนอะ บางคนนี่ถึงกับเป็นเมนูโปรดปรานกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะอะไรอะไรก็ต้องเป็นชาเขียวไปซะหมด ก็มันทั้งหอมทั้งอร่อยนี่เนอะเป็นใครก็ต้องหลงรัก ไหนจะปัจจุบันนี้มีร้านเครื่องดื่่มชงสดประเภทกาแฟ ชา ผุดขึ้นมากมาย …. ในนามของร้าน “กาแฟสด” ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมสูงสุด แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบกันในระดับโลกเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมสูงรองลงมาจาก “น้ำเปล่า” นั่นก็คือ “น้ำชา” ซึ่ง “ชา” นั้นเป็นเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอมที่นุ่มนวลอบอวล เมื่อได้ลิ้มลองดื่มแล้วล่ะก็ทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นมาเลยทีเดียว ด้วยเหตุผลนี้นี่เองจึงทำให้ผู้คนมากมายนิยมชมชอบที่จะดื่มชากันอย่างแพร่หลาย สำหรับใบชาที่ได้รับความนิยมดื่มกันอยู่ในปัจจุบันแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ ชาจีน ชาเขียว และชาฝรั่ง ซึ่งชาแต่ละชนิดนั้นมีกรรมวิธีในการผลิตที่แตกต่างกัน แต่หากจะถามว่าแล้วชาชนิดไหนมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุดคำตอบคือ “ชาเขียว” นั่นเอง  สมัยนี้มองไปทางไหนอะไรก็เป็นชาเขียวไปซะหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเครื่องดื่ม ขนม ไอศกรีม หรือจะเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆก็จะต้องมีชาเขียวไปผสมอยู่เสมอ แต่จะมีสักกี่คนนะที่รู้จักชนิดของชาเขียว และที่เราชอบดื่มหรือรับประทานอยู่ทุกวันนี้เป็นชาเขียวชนิดไหน? แล้วชาเขียวมีกี่ชนิดกันเนี่ย วันนี้เราเลยจะมาเม้าท์เล่าสู่กันฟังสำหรับคอชาเขียวหรือคนที่กำลังสนใจกันค่ะ

 

ชาเขียว คืออะไร

ชาเขียว (Green tea) คือ ชาที่ได้มาจากต้นชา ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis ซึ่งชาชนิดนี้จะไม่ผ่านขั้นตอนการหมักเลย เตรียมได้โดยการนำใบชาสดมาผ่านความร้อนเพื่อทำให้ใบชาแห้งอย่างรวดเร็ว ซึ่งวิธีการก็คือเมื่อเก็บใบชามาแล้วก็นำมาทำให้แห้งอย่างรวดเร็วในหม้อทองแดงโดยใช้ความร้อนไม่สูงเกินไปและใช้มือคลึงเบา ๆก่อนแห้งหรืออบไอน้ำในระยะเวลาสั้น ๆแล้วนำไปอบแห้งเพื่อยับยั้งการทำงานเอนไซม์ (ความร้อนจะช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ทำให้ไม่เกิดการสลายตัว) จึงได้ใบชาที่แห้งแต่ยังสดอยู่และมีสีที่ค่อนข้างเขียว จึงเรียกกันว่า “ชาเขียว” และการที่ใบชาที่ได้นั้นไม่ผ่านขั้นตอนการหมักจึงทำให้ใบชามีสารประกอบฟีนอล (Phenolic compound) หลงเหลืออยู่มากกว่าในอู่หลงและชาดำ (สองชนิดนี้คือชาที่ผ่านการหมัก) จึงทำให้ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาทั้งสอง โดยชาเขียวจะมี สารพฤกษเคมี ชื่อ EGCG ตัวนี้เป็นแชมป์เปี้ยนของสารต้านอนุมูลอิสระเลยทีเดียว จึงสามารถช่วยป้องกันมะเร็งและต้านมะเร็งได้ด้วย และมีบางงานวิจัยยังบอกว่าช่วยลดการดูดซึมไขมันและคอเลสเตอร์รอลที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นโรคหลอดเลือดตีบตันและโรคหัวใจได้อีกด้วยค่ะ และในชาเขียวนั้นจะมีเจ้าสาร EGCG อยู่ถึงประมาณ 35-50% กันเลยทีเดียว โดยขณะที่ชาอู่หลงมีประมาณ 8-20% และชาดำจะมี EGCG อยู่เพียง 10% เท่านั้นเองค่ะ ชาเขียวที่มีคุณภาพจะได้จากใบชาคู่ที่หนึ่งและใบชาคู่ที่สองที่เก็บจากยอด (ชาวจีนเรียกว่า “บู๋อี๋”) ส่วนใบชาคู่ที่สามและสี่จากยอดจะให้ชาชั้นสอง (ชาวจีนเรียกว่า “อันเคย”) ส่วนใบชาคู่ที่ห้าและหกจากปลายยอดจะเป็นชาชั้นเลว (ชาวจีนเรียกว่า “ล่ำก๋อง”)สำหรับสี กลิ่น และรสชาติของชานั้นจะขึ้นอยู่กับปริมาณของสารคาเทชินที่มีอยู่ในชา โดยฤดูการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว จะมีผลต่อระดับของสารคาเทชิน ซึ่งในใบชาฤดูใบไม้ผลิจะมีสารคาเทชินประมาณ 12-13% ในขณะที่ชาในฤดูร้อนจะมีสารคาเทชินประมาณ 13-14% (ใบชาอ่อนจะมีสารคาเทชินมากกว่าใบชาแก่) สารสำคัญที่พบได้ในชาเขียวจะประกอบไปด้วย กรดอะมิโน วิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี สารในกลุ่ม xanthine alkaloids คือ คาเฟอีน (caffeine) และธิโอฟิลลีน (theophylline) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ที่เรียกว่า คาเทชิน (catechins) โดยเราสามารถแยกสารคาเทชินออกได้เป็น 5 ชนิด คือ gallocatechin (GC), epicatechin (EC), epigallocatechin (EGC), epicatechin gallate (ECG), และ epigallocatechin gallate (EGCG) โดยคาเทชินที่พบได้มากและมีฤทธิ์ทรงพลังที่สุดในชาเขียว คือ สารอีพิกัลโลคาเทชินกัลเลต (epigallocatechin gallate – EGCG) ซึ่งมีความสำคัญในการออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ

ชาเขียวนั้นมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ชาเขียวแบบญี่ปุ่นและชาเขียวแบบจีน ซึ่งแตกต่างกันตรงที่ชาเขียวแบบจีนจะมีการคั่วด้วยกระทะร้อน แต่ชาเขียวแบบญี่ปุ่นไม่ต้องคั่ว ใบชาเขียวมีสารอาหารพวกโปรตีน น้ำตาลเล็กน้อย และมีวิตามินอีสูง แต่อย่างไรก็ดีมีรายงานว่าวิตามินเอและวิตามินอีที่มีอยู่ในใบชาจะสูญเสียไปเกือบหมดถ้าใช้ระยะเวลาในการชงนานจนเกินไป ส่วนปริมาณของแคลเซียม เหล็ก และวิตามินซีจะสูญเสียไปประมาณ ครึ่งหนึ่ง แต่มีรายงานจากประเทศญี่ปุ่นว่า ถ้าเราสามารถรับประทานใบชาเขียวแห้ง 6 กรัมต่อวัน จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินอี และวิตามินเอถึงร้อยละ 50 และ 20 ของปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ตามลำดับ ในประเทศญี่ปุ่นจึงมีการผลิตชาเขียว ในรูปผงสำหรับบริโภคขึ้น ซึ่งสามารถเติมลงในอาหารหลายชนิด ตั้งแต่อาหารญี่ปุ่นจนถึงสเต็ก แฮมเบอร์เกอร์ สปาเกตตี้ และสลัด

tea-leafs-1
Source: Flickr (click image for link)

 ชนิดของชาเขียวญี่ปุ่น

  • เซนฉะ (Zencha) – ตัวแทนของชาญี่ปุ่น ถ้าพูดถึงชาญี่ปุ่นหรือชาเขียวแล้ว ส่วนใหญ่มักจะหมายถึง Zencha (เซนฉะ) นี้ คิดเป็นปริมาณถึง 80% ของการผลิตชาเขียวทั้งหมด และเป็นชาเขียวประเภทที่นิยมดื่มกันมากที่สุดลักษณะของชาจะมีสีเขียวสวย และรสชาติความหอมสดชื่นเป็นเอกลัษณ์ มีรสหวานน้อยๆ พร้อมกับความฝาดนิดๆ ตามสไตล์ชาแท้ๆ ที่แตกต่างกันตามแหล่งผลิตและวิธีการชง
  • เกียวกุโระ (Gyokuro) – ใบชาชั้นสูงสุดจากใบชาอ่อนในร่ม Gyokuro เป็นใบชาเขียวที่ได้จากการปลูกแบบประคบประหงม ภายในอุณหภูมิและสถานที่ในร่มเพื่อให้ได้กลิ่นและรสที่ดีที่สุด เป็นชาชั้นสูงที่สุดของชาเขียวที่ได้จากยอดอ่อนของใบชา ให้สีเขียวอ่อนที่สวยงาม และมีเอกลักษณ์ที่รสชาติหวานกลมกล่อม ซึ่งที่มาของรสชาติหวานกลมกล่อมนี้ มาจากการที่ให้ใบชาอยู่ในร่มก่อนการเก็บเกี่ยว ซึ่งการป้องกันแสงแดดนี้จะทำให้สารเธียอะนินที่มีประโยชน์ (ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย) ในใบชาเพิ่มขึ้น แต่ทำให้ catechin ซึ่งเป็นที่มาของรสขมในใบชาลดลง ทำให้ได้ชาที่มีรสชาติหวานกลมกล่อมนั่นเอง
  • มัทฉะ (Matcha– ใบชาชั้นสูงสุมัทฉะ Matcha ชาเขียวอย่างดี สำหรับประกอบพิธีชงชาชาเขียวมัทฉะ ก็เป็นชาที่ได้จากการปลูกชาแบบประคบประหงมเช่นกัน โดยปกติแล้วการดื่มชาเขียวมัทฉะคือการดื่มผงมัทฉะนี้เข้าไปด้วย การผลิตมัทฉะจะนำใบชาอ่อนไปอบ และเมื่อแห้งแล้วจึงนำไปหมุนกลิ้งหรือบดเป็นผงด้วยครก ให้ผู้ดื่มได้รับสารอาหารในใบชาอย่างเต็มที่ ชาเขียวมัทฉะแท้โดยทั่วไปจะมีสีเขียวอ่อนๆ แบบนกไนติงเกล โดยที่ชนิดที่อ่อนกว่าจะให้ความหวานมากกว่าชนิดสีเข้ม ซึ่งจะให้รสฝาดของใบชา
  • โคนะฉะ (Konacha) – ใบชาแบบที่บริการในร้านซูชิทั่วไป Konacha ผลิตจากใบชาส่วนที่เหลือจากกระบวนการทำชาเขียวมัทฉะหรือ Gyokuro มักจะใช้ในร้านขายซูชิหรือซูชิหมุนทั่วๆ ไปในญี่ปุ่น และเนื่องจากว่ามีลักษณะเป็นผง จีงมีรสชาติที่เข้มข้น เทคนิคในการดื่มชาประเภทนี้ ก็คือ จะต้องรีบดื่ม อย่าแช่ทิ้งไว้นาน เพราะจะทำให้รสชาติเข้มข้นจนเกินไป หรืออาจทำให้ขม ชาประเภทนี้เป็นชาที่ไม่แพงมากจนเกินไป ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงนิยมใช้ชาประเภทนี้ในการทำอาหารบางชนิด
  • เก็นมัยฉะ (Genmaicha) – ชารสข้าวตามแบบฉบับญี่ปุ่นGenmaicha เรียกว่า ชาข้าวกล้อง หรือชาข้าวโพดก็ได้ เพราะเวลาคั่วข้าว เมล็ดข้าวจะพองโตเหมือนเมล็ดข้าวโพด เป็นชาที่นำข้าวกล้องคั่วมาผสมกับชาบันฉะ ในสมัยก่อนเป็นเครื่องดื่มของคนยากคนจน และพระ เพราะชามีราคาแพง แค่มีชาเขียวเสริมคุณค่าด้วยข้าวกล้องคั่วก็หอมอร่อยได้เหมือนกัน ชาประเภทนี้เป็นที่รู้จักกันว่า เป็นชาของผู้คนอย่างแท้จริง
  • ฟูกะมัทชิฉะ (Fukamushicha) – เป็นชาชนิดเดียวกับชาเซนฉะ แต่จะผ่านวิธีการผลิตแตกต่างกันนิดหน่อยตรงที่นำไปอบนานเป็นสองเท่าของชาเซนฉะ แต่เวลาต้มชาออกมาน้ำชาจะมีสีเข้มหม่นๆ กว่าชาเซนฉะ รสชาติเข้มข้นและหวานกว่า
  • คาบุเซะชะ (Kabusecha) – เป็นชาประเภทเดียวกับชาเซนฉะ แต่ก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 20 วันจะถูกปกคลุมไปด้วยตาข่าย รสชาติจะอ่อนกว่าชาเซนฉะ
  • คาวายานากิ (Kawayanagi) – เป็นชาที่ทำมาจากใบอ่อนขนาดใหญ่ของ ชาคาบุเซะชะ และ ชาเซนชะ รสชาติเบาๆ
  • บังฉะ (Bancha) – ดื่มแล้วสดชื่น เอาไว้ดื่มหลังอาหาร บังฉะทำจากชาที่จับตัวหลังจากการวางซ้อนทับกันในกระบวนการผลิตชาเซนฉะ ดื่มชาประเภทนี้แล้วทำให้รู้สึกสดชื่นในปาก วิธีการชงคือชงด้วยน้ำร้อนแบบเร็วๆ ให้รสชาติที่ค่อนข้างขมและฝาด เหมาะกับการดื่มเพื่อล้างปาก หลังทานอาหารเสร็จเพื่อเพิ่มความรู้สึกสดชื่นและยังมีฟลูโอไรด์อยู่มาก ช่วยในการลดแบคทีเรียในช่องปาก ซึ่งเป็นปัญหาของการเกิดกลิ่นปากได้ด้วย
  • อะราฉะ(Aracha) – เป็นชาเขียวดิบ ที่ผลิตมาจากทั้งใบและส่วนก้านของชาจากนั้นจะนำมาอบและรีดให้แห้ง เป็นชาที่ให้รสชาติเข้มข้นมาก ส่วนใหญ่ชาชนิดนี้จะนำไปผสมกับชาอื่นๆ เพื่อเพิ่มรสชาติเฉพาะตัวที่เข้มข้นขึ้น
  • ทามะเรียวกุฉะ (Tamaryokucha) – หรือรู้จักกันทั่วไปในชื่อ Guricha  เป็นชาที่ลักษณะใบชาแห้งหยิก เป็นคลื่นๆ เล็กน้อย มีรสฝาดน้อยมีกลิ่นหอมเบาๆ เหมือนลูกเบอร์รี่
  • คาไมริฉะ (Kamairicha ) – เป็นชาที่ผลิตมาจาก จังหวัด Nagasaki เป็นส่วนใหญ่ ชาประเภทนี้จะนำไปคั่วในกะทะกลิ้งไปกลิ้งมา มีรสหวานหอม รสชาติอ่อนโยน
  • คุคิฉะ (Kukicha) – มีอีกชื่อหนึ่งว่า Boucha  เป็นชาที่เป็นผลพลอยได้มาจากลำต้นและก้านของ ชาเซนฉะ หรือ ชามัทฉะ มีใบชาผสมน้อยมาก มีรสชาติหวาน สามารถนำไปผสมกับน้ำผลไม้สำหรับเด็กๆ ได้ด้วย
  • คาริกาเนะ (Karigane) – หรือ Shiraore เป็นชาที่เป็นผลพลอยได้มาจากก้านของชาเกียวโระคุ  มีรสชาติหวาน สามารถนำไปผสมกับน้ำผลไม้สำหรับเด็กๆ ได้ด้วยเช่นกัน
  • เมฉะ (Mecha) – เป็นชาที่เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิ โดยการนำเอาใบและก้านที่แยกมาจาก ชาเกียวโระคุ และชาเซนฉะมาอบและรีดรวมๆ กัน เป็นชาที่มักจะเสริฟที่ร้านซูชิเพื่อล้างรสคาวที่เพดานปาก รสชาติเข้มข้นขมฝาดพอประมาณ
  • โฮจิฉะ (Houjicha) –  เหมาะสำหรับเด็กๆ และ คนป่วย เป็นชาในช่วงเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายแล้ว ทำมาจากชา บันฉะ, เซนฉะ, คุคิฉะ ผสมๆ แล้วก็มีกิ่งชาผสมอยู่ด้วยจากนั้นนำไปคั่วในไฟร้อน เพื่อลดรสชาติที่ฝาดของชา เป็นชาที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยน ดื่มสบายๆ ในระหว่างหรือหลังมื้อเย็นของบ้าน สามารถทานก่อนที่จะเข้านอนก็ได้ เป็นที่โปรดปรานของผู้สูงอายุและเด็กพอตัวเลยทีเดียว
  • ฟุงมัทซึฉะ (Funmatsucha) – คือ ชาเขียวชนิดผงสำเร็จรูป พกสะดวก ชงง่าย สไตล์คนสมัยใหม่ ทำจากใบเซนฉะที่เอามาบดให้เป็นผงละเอียด จนสามารถละลายน้ำรับประทานได้ แตกต่างจากโคนะฉะ (ใบชาบดละเอียดแต่ไม่ละลายน้ำ) สามารถละลายได้ดีในน้ำเย็น หรือละลายน้ำแล้วแช่ตู้เย็นได้ทันที คนญี่ปุ่นบางคนเอามาผสมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้ประกอบอาหาร ในหลายๆ รูปแบบ ไม่ต้องใช้กาชงชา จึงสะดวกมากเป็นพิเศษสำหรับการพกไปดื่มเวลาเดินทางหรือที่ออฟฟิศ ได้ประโยชน์จากใบชาอย่างเต็มที่ แต่ข้อด้อยอย่างเดียวก็คือกลิ่นหอมของใบชาอาจจะสูญเสียไปได้ง่ายกว่าชาแบบใบ

 

นอกจากชาเขียวประเภทใบชาต่างๆ เหล่านี้แล้ว ก็ยังมี ชาเขียวผงแบบสำเร็จรูป รูปแบบผงละลายน้ำเย็นได้ทันที หน้าตาจะคล้ายกับฟุงมัทซึฉะหรือชาแบบผง แต่มีกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างกัน ตรงที่ชาเขียวผงแบบสำเร็จรูปนี้ คือการนำใบชาไปชงเป็นน้ำก่อนแล้วผ่านกรรมวิธี Spray Dry หรือ Freeze Dry ให้กลายตัวมาอยู่ในรูปแบบผง วิธีเดียวกับการทำกาแฟสำเร็จรูปนั่นเอง แต่ชาแบบผงสำเร็จรูปแตกต่างจาก (ฟุงมัทซึฉะหรือใบชาแบบผง) ตรงที่จะไม่ตกตะกอนแต่จะละลายในน้ำหมดได้ดี และชนิดของชาเขียวญี่ปุ่นที่ส่วนมากนิยมดื่มกันในหมู่ชาวญี่ปุ่นนั้น ได้แก่ บันฉะ เซ็นฉะ เกียวกุโระฉะ และมัทฉะ นั่นเอง โดยคนไทยส่วนมากจะนิยมดื่มชาเขียวมัทฉะกันซะเป็นส่วนใหญ่ ที่มีสีเขียวและกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์

 

www.flickr.com/photos/satorinihon/7452684742/

www.flickr.com/photos/satorinihon/8351607205/