Browse Tag: fruits

19 สุดยอดอาหารที่มีไฟเบอร์สูง

oats-meal-1
Source: Flickr (click image for link)

ไฟเบอร์ (Fiber) หรือ เส้นกากใยที่เรารู้จักในอาหารจำพวกผักและผลไม้ ทำไมวันนี้เราจึงยกหัวข้อเรื่องอาหารที่มีไฟเบอร์สูงมานำเสนอกัน เนื่องจากสมัยนี้ในบางคนหรือส่วนใหญ่ไม่ชอบรับประทานอาหารจำพวกผักผลไม้กันมากนัก จึงทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาต่างๆ นาๆ จากที่สังเกตุได้ก่อนง่ายๆ เลยคือเรื่องของระบบขับถ่ายที่ส่งผลกระทบให้ขับถ่ายลำบาก ไม่ค่อยขับถ่ายเป็นเวลาบางคนเป็นเดือนก็ยังไม่ขับถ่ายเลย ใครจะคิดว่าเจ้าไฟเบอร์ที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งธรรมดาไม่ได้พิเศษอะไรแต่ถ้าเมื่อไหร่ร่างกายเราไม่มีมันแล้วล่ะก็ อาจจะสามารถส่งผลที่แย่ในหลายๆ ด้านได้ บางคนอาจจะรับประทานอาหารเสริมที่มีไฟเบอร์เป็นส่วนประกอบแทน เนื่องจากไม่มีเวลาหรือไม่ชอบทานผักและผลไม้ แต่ทราบหรือไม่คะว่าการมีผักและผลไม้เป็นส่วนหนึ่งของอาหารในแต่ละมื้อแต่ละวันนั้นนอกจากจะช่วยให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนแล้ว ในผักผลไม้เหล่านั้นยังมีวิตามินเกลือแร่ที่ร่างกายได้รับโดยตรงแล้วนั้นไม่ได้แค่ช่วยในเรื่องของการขับถ่ายอย่างเดียวแต่ยังมีส่วนช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ระบบต่างๆ ของร่างกายให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้นด้วย อย่างเช่น ไปช่วยลดน้ำตาลในเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ค่ะ โดยผู้หญิงเราควรได้รับไฟเบอร์อย่างน้อย 25 กรัมต่อวัน ส่วนผู้ชายนั้นอยู่ที่ 35-40 กรัม แต่คนทั่วไปจะกินกันแค่ 15 กรัมเท่านั้น (ไม่นับอาหารที่มีการใส่ไฟเบอร์เสริม) และทีนี้จะทราบกันได้อย่างไรว่าอาหาร ผักและผลไม้ประเภทไหนยังไงถึงจะมีไฟเบอร์ที่เยอะและพอต่อร่างกายของเราในแต่ละวัน ไม่ต้องกังวลค่ะวันนี้มีข้อมูลมาให้เรียบร้อย บางประเภทบางอย่างก็ใกล้ตัวหาทานได้ง่ายทั่วไปค่ะ

 

19 สุดยอดอาหารที่มีไฟเบอร์สูง

 

1.ข้าวกล้อง

เริ่มต้นด้วยอาหารหลักของคนไทยบ้านเรานั่นก็คือข้าวนั่นเอง แต่ส่วนใหญ่คนไทยจะคุ้นเคยการรับประทานข้าวขาวข้าวที่ผ่านการขัดสีซะมากกว่า แต่ทราบหรือไม่คะว่าข้าวกล้องสีน้ำตาลอ่อนๆ นี้แหละประโยชน์เพียบ ข้าวกล้องมีกากใยอาหารสูงถึง 3.5 กรัม/ถ้วย และการกินข้าวขาวนั้นอาจจะทำให้ความเสี่ยงเป็นเบาหวานประเภทสองสูง แต่กลับกันการกินข้าวกล้องกลับจะช่วยให้ลดความเสี่ยงได้ของการเป็นเบาหวานได้เสียอีกแน่ะ เนื่องจากเส้นใยนี้เองจะไปช่วยซับเอาน้ำมันและน้ำตาลที่กินเข้าไปล้นเกินนั้นขับทิ้งออกเป็นกากอุจจาระ ทั้งยังช่วยควบคุมน้ำหนักและช่วยควบคุมระดับไขมันกับระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไป และเมื่อมีกากอุจจาระมากขึ้น ก็ทำให้การขับถ่ายดีขึ้นช่วยลดอาการท้องผูกได้อีกด้วยค่ะ

 

2.ข้าวโอ๊ต

ข้าวโอ๊ต เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ดีมีเบต้ากลูแคนไฟเบอร์ชนิดพิเศษ จัดเป็นเมนูอาหารเช้าที่ทรงคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยมีไฟเบอร์ทั้งแบบละลายน้ำ (ที่ช่วยลดความดันโลหิต) และไฟเบอร์แบบไม่ละลายน้ำ (ที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานตามปกติ) นอกจากนั้นยังช่วยเรื่องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นอย่างดี

 

3.ข้าวโพด

ข้าวโพดแสนอร่อยสำหรับใครหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง ขาว หรือม่วงล้วนแต่มีประโยชน์จากไฟเบอร์ทั้งนั้น โดยที่ข้าวโพด 1 ฝัก (หรือประมาณครึ่งถ้วย) จะมีไฟเบอร์ประมาณ 2 กรัม หรือจะกินเป็นแบบป๊อปคอร์นแทนก็ได้ แต่ต้องระวังไม่ใส่เนย น้ำตาล หรือเกลือมากเกินไป ป๊อปคอร์นจะให้ไฟเบอร์ประมาณ 3.5 กรัม ต่อปริมาณสามถ้วย

 

4.ข้าวบาร์เลย์

ข้าวบาร์เลย์ที่เรารู้จักกันส่วนใหญ่จากวัตถุดิบของเบียร์หรือวิสกี้ แต่ข้าวบาร์เลย์ก็เหมาะกับโยเกิร์ตหรือน้ำเต้าหู้เหมือนกัน ข้าวบาร์เลย์มีปริมาณไฟเบอร์ที่สูงที่สุดในบรรดาเมล็ดข้าวทั้งหมด ข้าวบาร์เลย์ที่สุกแล้วอุดมไปด้วยไฟเบอร์ 6 กรัมต่อถ้วย เพราะฉะนั้นตัวเลือกนี้คงควรจะต้องมีไว้ในดวงใจซะแล้ว

 

5.เมล็ดเจีย

เมล็ดเจียจัดเป็นซูปเปอร์ฟู้ดส์หรือสุดยอดอาหารและมีประโยชน์ มากคุณค่าทางโภชนาการเป็นอย่างยิ่ง เป็นธัญพืชที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำแต่อุดมด้วยไฟเบอร์สูงที่ช่วยรักษาสมดุลของน้ำตาลในเลือด จึงมีคุณสมบัติช่วยต้านโรคเบาหวานประเภท 2 ได้ เมล็ดเจียที่เห็นว่าเป็นเมล็ดเล็กๆอย่างนี้ แต่ทราบหรือเปล่าว่าอัดแน่นเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางอาหารไว้ข้างในได้แก่ โปรตีน พลังงาน น้ำ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ไฟเบอร์ แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส ซิงก์ โซเดียม วิตามินเอ วิตามินบี 1 ถึงบี 3 และบี 6 ตลอดจนโฟเลต กรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว เป็นต้น ที่สำคัญในเมล็ดเจียนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นตัวช่วยลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย เพียงแค่ทานเมล็ดเจียเพียง 1 ออนซ์ หรือประมาณสองช้อนโต๊ะ ถือว่ามีไฟเบอร์ที่สูงถึง 9.8 กรัมเลยทีเดียว

 

6.ถั่วชนิดต่างๆ

ธัญพืชตระกูลถั่วก็เป็นอาหารอีกชนิดที่ให้ไฟเบอร์สูง อย่างเช่น ถั่วขาว ถั่วดำ และถั่วแดง

ถั่วขาว นอกเหนือจากไฟเบอร์ โปรตีน และธาตุเหล็กแล้ว ถั่วขาวยังเป็นหนึ่งในแหล่งโพแทสเซียมตามธรรมชาติที่ดีที่สุด

ถั่วดำ ในหนึ่งถ้วยจะให้ไฟเบอร์กับโปรตีนมากถึง 15 กรัม สีที่เข้มของมันยังบ่งบอกว่ามีฟลาวานอยด์ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากอีกด้วย

ถั่วแดง ลองหุงถั่วแดงกับข้าวแล้วคุณจะรู้ว่าความอร่อยแบบง่าย ๆ มีจริง แม้จะหาได้ง่าย แต่ถั่วแดงก็ให้สารอาหารที่จำเป็นคือ ไฟเบอร์ โปรตีน และธาตุเหล็ก

 

7.อะโวคาโด

อะโวคาโดถือเป็นอีกหนึ่งสุดยอดอาหารที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ต่อสุขภาพ ถือเป็นตัวหลักๆ ที่สาวรักสุขภาพต้องเลือกนำมาปรุงอาหารไม่ว่าจะเป็นสลัดหรือกินสดๆ เนื้อครีมของอะโวคาโดเป็นแหล่งของใยอาหาร แค่ตวัดเนื้ออะโวคาโดมาเพียงแค่ 2 ช้อนโต๊ะเท่านั้นก็ให้ไฟเบอร์มากถึง 2 กรัม และในอะโวคาโดหนึ่งผลอาจให้ไฟเบอร์ถึง 10 กรัม แถมด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่สูง ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วยแน่ะ

 

8.ลูกแพร์

ถ้าพูดถึงผลไม้ที่ให้ไฟเบอร์สูงลูกแพร์เป็นเป็นตัวเลือกแรกที่ควรเลือก ลูกแพร์เป็นผลไม้ที่ย่อยง่ายและมีเส้นใยอาหารสูงโดยเฉพาะบริเวณเปลือก ดังนั้นจึงควรเลือกที่จะกินทั้งเปลือก โดยลูกแพร์ขนาดกลางหนึ่งลูกมีไฟเบอร์สูงถึง 5.5 กรัม การที่ผลไม้มีไฟเบอร์สูงก็ยิ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายเรา เพราะนอกจากจะช่วยเรื่องของการขับถ่ายแล้วยังช่วยในการลดน้ำหนักได้อีกด้วยค่ะ

 

9.แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลไม่ว่าจะสีไหนล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งนั้นสามารถเลือกทานได้ตามใจชอบประโยชน์ส่วนใหญ่ของแอปเปิ้ลนั้นจะแทรกอยู่ในผิวของเปลือกแอปเปิ้ล เพราะฉะนั้นควรจะรับประทานทั้งลูกไม่ควรที่จะปอกเปลือกออก โดยแอปเปิ้ลผลขนาดกลางจะให้ไฟเบอร์ถึง 4.4 กรัม เลยทีเดียวค่ะ นอกจากไฟเบอร์ที่สูงแล้วแอปเปิ้ลยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์มากมายเช่น วิตามินซี และสารในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่พบในแอปเปิ้ลค่ะ

 

9.สาลี่

เช่นเดียวกับผลไม้อื่น ๆ ที่มีเปลือกกินได้ สาลี่ และลูกแพรจะมีสารอาหารและไฟเบอร์สูงสุดเมื่อกินพร้อมเปลือกโดยผลขนาดกลางอาจให้ไฟเบอร์ถึง 5.5 กรัม

 

10.ราสเบอร์รี่

ราสเบอร์รี่ส่วนใหญ่เราจะเห็นและนึกถึงผลสีแดงๆ แต่จริงๆแล้วราสเบอร์รี่นั้นมีสีดำด้วย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสีแดงหรือดำก็มีสารอาหารอยู่มากมายไม่ต่างกัน ราสเบอร์รี่นอกเหนือจากจะให้ไฟเบอร์ปริมาณที่สูงมากถึงประมาณ 1 ถ้วยจะให้ไฟเบอร์ 1 ใน 3 ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวันแล้ว ยังอุดมไปด้วยวิตามินซีในปริมาณสูงและสารต้านอนุมูลอิสระมากมายอีกด้วย

 

11.ผักคะน้า

ผักคะน้าใบสีเขียวที่ทุกบ้านต้องทราบและรู้จักกันดี ไม่ว่าใครก็ชอบที่จะซื้อคะน้ามาติดตู้เย็นเพื่อประกอบอาหารถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีค่ะ โดยในใบคะน้าดิบ 2 ถ้วย มีปริมาณไฟเบอร์ถึง 4-8 กรัม อีกทั้งยังมีวิตามินซี เกลือแร่ และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย

 

12.กะหล่ำดาว

กะหล่ำดาวเป็นพืชเมืองหนาวที่อยู่ในตระกูลกะหล่ำ ส่วนที่เรานำมาใช้บริโภคนั้นก็คือ หัวขนาดเล็กคล้ายกะหล่ำปลี  ซึ่งกะหล่ำที่ปรุงสุกต่อถ้วยนั้นมีไฟเบอร์อยู่ถึง 4.1 กรัม โดยนอกจากจะสามารถช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารแล้วยังช่วยลดคอเลสเตอรอลอีกด้วย

 

13.ขนมปังโฮลวีท

ขนมปังโฮลวีทถือว่าได้เป็นสุดยอดอาหารที่น่าจะได้เห็นเป็นอันดับต้นๆ ของหลายๆอันดับของอาหารที่มีประโยชน์ แน่นอนว่าการเลือกขนมปังโฮลวีทแทนขนมปังขาวย่อมเป็นทางเลือกที่ดีเนื่องจากขนมปังสีขาวได้ถูกขัดเอาจมูกและธัญพืชออกไปหมดแล้วหรือเรียกอีกอย่างว่า ขนมปังขัดขาว จึงทำให้ไม่เหลือสารอาหารกับไฟเบอร์ การเปลี่ยนจากขนมปังขาวเป็นขนมปังโฮลวีทนั้นก็เพื่อที่จะช่วยเรื่องของปริมาณไฟเบอร์ในระยะยาวได้มากทีเดียวค่ะ

 

14.มะเดื่อ

ทราบหรือไม่ว่ามะเดื่อแห้งเพียงครึ่งถ้วยนั้นมีเส้นใยที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำอยู่ถึง 7.3 กรัม ด้วยเส้นใยที่มีในมะเดื่ออยากมากล้นเมื่อรับประทานเข้าไปจะช่วยให้เราอิ่มนานขึ้น ซึ่งยังเหมาะสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักอยู่อีกด้วย

 

15.อัลมอนด์

อัลมอนด์เมล็ดธัญพืชมากคุณค่าและมีสารอาหารที่มีประโยชน์เต็มเปี่ยม นอกจากรสชาติที่อร่อยเคี้ยวเพลินแล้วยังเต็มไปด้วยไฟเบอร์และกรดไขมัที่ดีและโปรตีน โดยอัลมอนด์ปริมาณ ¼ ถ้วย จะให้ไฟเบอร์ประมาณ 4.5 กรัม แต่ด้วยแคลอรี่ที่สูงจึงต้องระมัดระวังในการรับประทานสักนิดค่ะ

 

16.ถั่วลันเตา

ถั่วลันเตาถือเป็นอาหารช่วยแก้ท้องผูกด้วยเส้นใยอาหารที่สูงถึง 5 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม และยังเป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และมีวิตามิน B2 โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และไขมันต่ำ นอกจากไฟเบอร์ที่จะช่วยในเรื่องของท้องผูกแล้วยังช่วยทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้นอีกด้วย

 

17.บล็อคโคลี่

บล็อคโคลี่เป็นหนึ่งในตระกูลผักกะหล่ำปลี ซึ่งผักตระกูลนี้อุดมไปด้วยสารอาหารและมีสารต้านอนุมูลอิสระมากมายที่คุณสมบัติต้านโรคมะเร็ง อีกทั้งวิตามินซีที่สูงมากที่มีในบล็อคโคลี่บล็อคโคลี่หนึ่งถ้วยตวงให้วิตามินซีสูงกว่าส้มหนึ่งผลถึง 2 เท่า และบล็อคโคลี่ต้ม 1 ถ้วยจะมีไฟเบอร์ประมาณ 5.1 กรัม

 

18.ถั่วแระ

ถั่วแระฝักเล็กๆ มีสีเขียวๆหรือเหลืองอ่อนๆ ที่เรามักนิยมนำมาต้มทั้งฝักเพื่อรับประทานเล่นหรือจะประกอบอาหารก็แล้วแต่ โดยถั่วแระครึ่งถ้วยจะให้โปรตีนถึง 11 กรัม และไฟเบอร์อีก 9 กรัมค่ะ

 

19.อาร์ติโชก

อาร์ติโชกเป็นพืชที่นิยมปลูกในต่างประเทศ โดยเฉพาะภูเขาสูงมากกว่า 1,500 เมตร  แต่ปัจจุบันหาทานได้ง่ายเพราะเป็นผักเมืองหนาวในโครงการหลวง ซึ่งเริ่มทดลองปลูกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 ที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย อาร์ติโชกเป็นผักที่มีแคลอรีต่ำและมีไฟเบอร์สูง โดยอาร์ติโชกที่สุกขนาดกลางจะมีไฟเบอร์ที่สูงถึง 10.3 กรัม อีกทั้งยังมีสารอาหารมากมายหลายอย่าง เช่น วิตามินซี วิตามินเค โฟเลต แมกนีเซียมและโพแทสเซียมค่ะ

 

 

www.flickr.com/photos/tinytall/7023093877/

20 สุดยอดผลไม้ที่ช่วยระบบขับถ่ายให้ดีขึ้น

painful-1
Source: Flickr (click image for link)

สมัยนี้ปัญหาสุขภาพมากมายรุมล้อมรอบกาย ตั้งแต่เบาไปจนถึงหนักและที่แปลกส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการรับประทานอาหารที่ผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะด้วยเนื่องจากปัจจัยต่างๆที่เป็นผลกระทบต่อการรับประทานอาหารให้ถูกต้องเช่น สภาพสิ่งแวดล้อม เวลา การที่ไม่รู้ว่าต้องทานแบบไหนหรือแม้แต่การใช้ชีวิตประจำวันที่ทำให้เลือกรับประทานสิ่งที่ง่ายและสะดวกที่สุดจากร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน จะอย่างไรก็แล้วแต่ยังไงเมื่อเกิดปัญหาก็ควรที่จะแก้ที่ต้นเหตุ ถึงแม้จะเป็นปัญหาเล็กๆ แต่ป้องกันไว้ก่อนก็ดีกว่าปล่อยให้ลุกลามใหญ่โตหรือแย่ไปกว่านี้ค่ะ วันนี้จะพูดถึงการขับถ่ายที่แสนยากลำบากและคงไม่มีใครอยากจะพบเจอ ไม่ว่าจะลองทำมาทุกวิถีทางก็แล้วแต่ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นให้ขับถ่ายออกมาได้อย่างสะดวกได้เลย ไหนจะเกิดปัญหาอุจจระแข็ง เบ่งลำบาก สุดท้ายการไม่อุจจระนานๆ ก็อาจจะนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ในที่สุด การเลือกรับประทานอาหารที่ถูกต้องและถูกเวลาก็สามารถช่วยคุณได้ค่ะ และ HealthGossip จึงอยากจะนำเอาข้อมูลของสุดยอดผลไม้ที่ช่วยให้คุณขับถ่ายง่าย สบายโล่งมาเสนอให้เลือกสรรค์กันนอกจากจะเป็นผลไม้ใกล้ตัว หาง่ายแล้วยังดีต่อสุขภาพขนาดนี้ ไปดูกันค่ะว่ามีผลไม้อะไรบ้าง ….

 

20 สุดยอดผลไม้ที่ช่วยระบบขับถ่ายให้ดีขึ้น

fruits-for-sale-1
Source: Flickr (click image for link)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1.ลูกพรุน

หลายคนคงรู้จักลูกพรุนกันดีว่าเป็นผลไม้ที่มีคุณสมบัติช่วยระบายโดยธรรมชาติ ด้วยคุณสมบัติเด่นของลูกพรุนที่ไปช่วยในเรื่องการขับถ่ายนั่นเอง โดยลูกพรุนจะช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่มและขับถ่ายออกได้ง่ายขึ้น และยังอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยชะลอความแก่ บำรุงหัวใจ บำรุงสายตา ทั้งยังช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงอีกด้วย

 

2.กล้วยสุก

ผลไม้กล้วยๆ ที่คุณสมบัติไม่กล้วยซึ่งถือว่าเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะสายพันธุ์ไหนก็ถือว่ามีประโยชน์ทั้งนั้น ดังนั้นการเลือกรับประทานกล้วยในเวลาที่ยากจะขับถ่ายจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีค่ะ นอกจากจะช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้นจากเส้นใยอาหารในกล้วยสุกแล้ว สารอาหารในกล้วยยังไปช่วยลดอาการท้องผูกได้อย่างเห็นผลดีเลยทีเดียว อีกทั้งยังช่วยปรับสมดุลของระบบขับถ่ายให้เป็นปกติได้อีกด้วย โดยเฉพาะในผลกล้วยน้ำว้าสุกที่ประกอบไปด้วยเพกตินค่อนข้างสูงและไฟเบอร์ที่ช่วยเพิ่มกากอาหารให้ลำไส้แล้ว ในกล้วยน้ำว้ายังมีเมือกลื่นที่ช่วยให้การขับถ่ายสะดวกยิ่งขึ้น

 

4.แอปเปิ้ล

ความจริงแล้วแอปเปิ้ลเป็นผลไม้อีกชนิดที่หารับประทานได้ง่ายและประโยชน์ล้นปริ่มไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแอปเปิ้ลสีไหนก็มีคุณค่าไม่ต่างกัน โดยเฉพาะในแอปเปิ้ลเขียวนั้นอุดมไปด้วยไฟเบอร์ถึง 4.4 กรัม ต่อ 1 ผล ยิ่งกินแอปเปิลเขียวทั้งเปลือกก็จะช่วยเรื่องระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดีค่ะ แอปเปิ้ลนั้นมีสารแพคตินที่ช่วยเพิ่มกากใยให้กับทางเดินอาหาร จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้วิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคหวัด ป้องกันโรคลักปิดลักเปิดและยังช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

 

5.มะละกอสุก

มะละกอมีน้ำย่อยธรรมชาติในตัวเอง ที่เรียกว่าเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ที่สามารถช่วยกำจัดคราบโปรตีนเก่าๆ ที่ย่อยไม่หมดจนขัดขวางการขับถ่ายของลำไส้ออกไปได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นยาระบายอ่อนๆ กันเลยทีเดียว คราวนี้ของเสียก็จะถูกลำเลียงอย่างสะดวกไม่ต้องนั่งแช่ในห้องน้ำให้ทรมานต่อไป

 

6.มะม่วงสุก

ในประเทศไทยเรามีผลไม้มากมายให้เลือกรับประทานกันอยู่ตลอดๆ นับว่าเป็นโชคดี ผลไม้ขึ้นชื่อของไทยที่ใครๆ ก็รู้จักคงหนีไม่พ้นมะม่วงสุข ถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะมีมะม่วงให้กินได้ตลอดทั้งปี แต่โดยธรรมชาติมะม่วงจะออกผลในช่วงฤดูร้อน และถ้าได้กินมะม่วงสุกคาต้นล่ะก็หวานอร่อยกว่ามะม่วงนอกฤดูเป็นไหนๆ ในมะม่วงสุหนั้นมีเอนไซม์ที่ชื่อปาเปน มีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ที่จะช่วยทําให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วเช่นเดียวกับโปรเมลิน และถึงมะม่วงจะไม่ได้มีสรรพคุณที่ช่วยย่อยโดยตรงแต่ก็มีสารเพกทินที่ทำให้อุจจาระนิ่มขึ้น ทำให้ง่ายต่อการขับถ่ายค่ะ

 

7.มะขามเปียก

ถ้าเกิดอาการท้องผูกถึงขนาดที่ถ่ายยากหรือถ่ายไม่ออกมาเป็นเวลานานแล้วล่ะก็ ลองดื่มน้ำมะขามเปียกโดยการนำมะขามเปียก 1 ก้อนขนาดพอดีมือต่อน้ำอุ่นประมาณ 3 แก้ว จากนั้นใช้ช้อนบี้ ๆ จนได้น้ำมะขามข้นๆ แล้วก็นำมาดื่มให้หมดแก้วก่อนเข้านอนสัก 2-3 ชั่วโมง ตื่นเช้ามารับรองว่าจะโล่งสบายท้อง แต่หากท้องผูกแบบเบาๆ ไม่หนักมาก ก็อาจนำมะขามเปียกที่แกะเมล็ดออกแล้วมาจิ้มเกลือกินเล่นๆ สัก 5-10 ฝักก็สามารถช่วยได้ค่ะ และอย่าลืมดื่มน้ำตามมาก ๆ ด้วยล่ะ

 

8.ส้ม

ส้มเป็นผลไม้ที่หลายคนจะติดภาพเมื่อได้ยินชื่อจะนึกถึงวิตามินซี ส้มอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคหวัด อีกทั้งยังมีโพแทสเซียมและกรดโฟลิก ช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้เคลื่อนตัว ลดอาการอาหารไม่ย่อย ถ้าต้องการทานส้มเพื่อช่วยเรื่องของระบบขับถ่าย ก็ควรทานทั้งกากใยส้มเมื่อปลอกเปลือกมาจะเห็นเส้นใยขาวๆ นั่นแหละค่ะเป็นส่วนที่จะช่วยเรื่องระบบขับถ่ายก็คือเจ้ากากใยของส้มนี่ล่ะ เพราะฉะนั้นหากทานเพียงน้ำส้มคั้นก็อาจจะได้ประสิทธิภาพดีไม่เท่าทานทั้งผลนะคะ

 

9.สับปะรด

ในส่วนของสับปะรดนั้นก็มีน้ำย่อยธรรมชาติในตัวเองเช่นกัน นอกจากความฉ่ำที่ช่วยดับกระหายให้ความขุ่มช่ำแล้ว วิตามินซีในสับปะรดยังมีประโยชน์เป็นตัวที่ส่งเสรืมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงขึ้น มีมีส่วนช่วยในเรื่องของการย่อยอาหารและระบบขับถ่าย นอกจากนั้นสับปะรดยังมีกากใยอาหารอยู่มาก โดยกากใยอาหารนั้นมีส่วนสำคัญในการช่วยลดไขมันในเลือดหรือคลอเรสเตอรอลอีกด้วย และแน่นอนว่าเมื่อมีกากใยเยอะย่อมต้องทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นอีกด้วยเช่นกันค่ะ

 

10.กีวี่

กีวี่เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่หลายคนชอบทาน มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานฉ่ำอีกทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยระบายโดยธรรมชาติ โดยกีวี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยประโยชน์ต่างๆ มากมายที่ให้วิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 74% มีวิตามินอีที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระช่วยลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆในร่างกาย มีไฟเบอร์สูงมากกว่ากล้วย 15% มากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25% นอกจากช่วยในเรื่องควบคุมน้ำหนักปรับสมดุลในร่างกายหรือช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดแล้ว เหตุผลที่ควรเลือกทานตอนนี้ก็เพราะว่าช่วยป้องกันอาการท้องผูกและช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นไปอีกค่ะ

 

11.มะเดื่อฝรั่ง

มะเดื่อฝรั่งมีประโยชน์อยู่ที่ไฟเบอร์สูง ดีต่อกระบวนการกำจัดของเสียในร่างกาย โดยในผลมะเดื่อสดจะมีเส้นใยอาหารอยู่ประมาณ 1.2% ส่วนในผลมะเดื่อฝรั่งอบแห้งมีเส้นใยอาหารสูงถึง 5.6% เลยทีเดียว ฉะนั้นคนที่มีปัญหาท้องผูกก็สามารถหาเลือกซื้อเจ้ามะเดือฝรั่งมาทานได้ค่ะ

 

12.มะเฟือง

มะเฟืองผลไม้ที่ไม่ค่อยได้เห็นตามท้องตลาดทั่วไปนัก แต่ในผลมะเฟืองนี้มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ ที่สามารถบรรเทาอาการท้องผูกได้ดีไม่น้อยหน้าผลไม้แก้ท้องผูกชนิดอื่น ๆเลยค่ะ ที่สำคัญมะเฟืองยังช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย

 

13.มะขามแขก

มะขามแขกก็มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ  โดยเราอาจจะใช้ใบมะขามแขกแห้ง 1-2 หยิบมือ หรือใช้ฝักมะขามแขก 4-5 ฝักหักเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มกับน้ำ 1 ถ้วย แล้วดื่มก่อนนอน 15 นาที สูตรนี้เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีอาการท้องผูก ทว่าหากกินมะขามแขกแล้วมีอาการจุกเสียดแน่นท้อง อาจต้องดื่มน้ำขิงตามไปด้วย และพยายามอย่าแก้ท้องผูกด้วยมะขามแขกติดต่อกันนาน ๆ เนื่องจากมะขามแขกอาจทำให้ขาดธาตุโปรแตสเซียม และทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการบีบตัวของลำไส้ได้

 

14.องุ่น

องุ่นผลไม้ที่เป็นของทานเล่นเพลินๆ แต่เปี่ยมไปด้วยประโยชน์มากมายด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่สูง ยังพบว่าในองุ่นดำนั้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) ช่วยขับล้างสารพิษในลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ปกติ นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาท้องผูกเรื้อรังได้อีกด้วย แต่อย่างไรองุ่นก็ยังคงมีพลังงานที่สูงอยู่ เลือกรับประทานแต่พอดีน่าจะดีกว่า

 

15.แก้วมังกร

คงไม่มีใครไม่รู้จักกับผลไม้เพื่อสุขภาพที่เรียกว่าแก้วมังกร นอกจากควาหวานอร่อยแบบไม่เหมือนใครแล้ว แก้วมังกรยังอุดมไปด้วยวิตามินแร่ธาตุต่างๆ มากมายแก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่ต่ำ จึงเป็นเมนูของผลไม้ชนิดต้นๆที่ควรเลือกรับประทานช่วงควบคุมน้ำหนัก เสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้และไปช่วยแก้ปัญหาการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดีค่ะ

 

16.แตงโม

แตงโม เป็นผลไม้ที่มีน้ำเยอะและด้วยรสชาติหวานฉ่ำ คนไทยจึงนิยมรับประทานเพื่อดับความกระหายคลายร้อนกัน นอกจากนี้ยังมีคุณค่าทางสารอาหารอีกมากมายเช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี กรดโฟลิก แร่ธาตุแคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส  สารอาหารเหล่าจะช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็ง ช่วยบำรุงสายตาและล้างพิษออกจากร่างกาย แตงโมเหมาะสำหรับคนที่รักสุขภาพต้องการควบคุมน้ำหนักเพื่อลดความอ้วน เพราะในแตงโมจะให้แคลอรี่ต่ำอีกทั้งยังช่วยให้ขับถ่ายคล่องอีกด้วย

 

17.ฝรั่ง

ฝรั่ง ผลไม้สีเขียวที่จัดว่าเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง อีกทั้งกากใยมากมายของผลไม้ที่ชื่อว่าฝรั่งนี้เองที่ไปช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ส่วนวิตามินซีที่สูงปรื๊ดของฝรั่งนั้นก็จะไปช่วยทำให้สุขภาพผิวพรรณของเราให้ขาวใสขึ้นไปอีก ซึ่งเมื่อมีการขับถ่ายอย่างสม่ำเสมอและตรงเวลาแล้ว ก็จะสามารถบ่งบอกได้ว่าระบบการย่อยอาหารของเรานั้นยังทำงานได้ดีและเป็นปกติค่ะ

 

18.ละมุด

ละมุด ผลไม้ที่คนไทยหลายคนชื่นชอบที่ไม่ว่าจะพบที่ไหนเป็นต้องซื้อกลับมาติดตู้เย็นที่บ้าน ซึ่งนอกจากรสหวานฉ่ำน้ำในเนื้อของละมุดแล้วละมุดยังเป็นผลไม้ที่มีกากใยอาหารมากมายทีเดียว ดังนั้นจึงไปช่วยป้องกันโรคท้องผูกได้อย่างดี อย่างไรก็ตามละมุดยังถูกจัดอยู่ในผลไม้ที่มีรสชาติหวานซึ่งไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคเบาหวานหรือกำลังลดความอ้วนอยู่นะคะ

 

19.ข้าวโพด

ข้าวโพดมีหลากหลายให้เลือกซื้อ ด้วยกรรมวิธีที่หลากหลายในการสร้างสรรค์เมนูข้าวโพดนั่นก็ทำให้เรามีตัวเลือกในการรับประทาน ด้วยเส้นใยอาหารแบบไม่ละลายน้ำในข้าวโพดนั้นจะไปช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารได้ดี สำหรับคนที่ถ่ายยากและลำบากถึงขั้นเป็นริดสีดวงทวารจากโรคทางเดินอาหาร หรืออาการท้องผูกนั้นก็จะมีอาการทุเลาลง เนื่องจากเส้นใยจะช่วยดูดซับน้ำและช่วยระบบขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้นค่ะ

 

20.ถั่วดำ

เมล็ดถั่วดำถือเป็นธัญพืชที่มีปริมาณของใยอาหารอยู่สูงมาก และการเลือกรับประทานถั่วดำนั้น โดยการนำถั่วดำมาต้มหรือนึ่ง ซึ่งถั่วดำปริมาณ 1 ถ้วยจะมีเส้นใยอาหารถึง 15 กรัมค่ะ

 

 

www.flickr.com/photos/tipstimesadmin/11438060575/

www.flickr.com/photos/akarkhanis/3391797502/

11 ชนิดของผลไม้ที่ช่วยระบบย่อยอาหาร

painful-2
Source: Flickr (click image for link)

“อาหารไม่ย่อย” เกิดจากระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีแก๊สในระบบย่อยและเกิดกรดเกินในกระเพาะ ทำให้เกิดอาการจุก เสียด แน่น บริเวณลิ้นปี่ ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อยก็มีอยู่มากมาย อย่างเช่น การที่เรารีบเร่งในการรับประทานอาหาร ทานในปริมาณที่มากเกินไป หรือรับประทานอาหารบางประเภทที่ทำให้ท้องอืดเกิดอาการจุกแน่นเสียด เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรืออัดแก๊สบางชนิดก็จะไปทำให้นเกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งยังรวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวันของเราด้วย อย่างการออกกำลังกายเร็วเกินไปหลังการรับประทานอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง และการเกิดความเครียดจะไปมีผลกระตุ้นให้กล้ามเนื้อกระเพาะอาหารบีบรัดตัว ซึ่งเป็นการสร้างกรดในกระเพาะ นอกจากนี้การดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนและแอลกอฮอล์ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กรดในกระเพาะอาหารหลั่งมากขึ้น ดังนั้นวันนี้ทาง HealthGossip จึงนำเอาชนิดของผลไม้ที่สามารถช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารมาแนะนำกันค่ะ แต่ยังไงการทานผลไม้ก็ไม่ควรที่จะเลือกทานหลังการรับประทานอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากไขมันย่อยช้า ผลไม้จะเกิดการบูดก่อนที่จะได้ทำการย่อย และจะทำให้เกิดแก๊สขึ้นในที่สุดฉะนั้นอาจจะแย่กว่าเดิมแทนที่จะไปช่วยนั่นเองค่ะ

 

11 ชนิดของผลไม้ที่ช่วยระบบย่อยอาหาร

fruits-1
Source: Flickr (click image for link)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1. มะละกอ

มีสารปาปาอินช่วยย่อยโปรตีนและช่วยการดูดซึมสารอาหาร และยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการท้องเสีย ช่วยลดอาการอักเสบ ช่วยในเรื่องของการย่อยอาหารให้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยละลายไขมันและช่วยบรรเทาอาการแพ้อาหารอีกด้วยค่ะ

 

2. บลูเบอรี่

เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยกากใยและวิตามินซี ยังมีสารช่วยต้านเซลล์มะเร็ง และควรรับประทานทั้งลูก เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด

 

3. บีทรูท

บีทรูทนั้นเต็มไปด้วยกากใย โพแทสเซียมและแมกนีเซียม ช่วยในเรื่องของการย่อยอาหารและดูดซึมอาหารได้เป็นอย่างดี

 

4. กีวี่

กีวี่เป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวและมีเนื้อเป็นสีเขียวที่เต็มไปด้วยกรดไลโนเลนิก วิตามินซี วิตามินอี แมกนีเซียม โพแทสเซียม กรดไขมันที่ดีหลายชนิด และเปปซินซึ่งช่วยระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

5. มะม่วงสุก

ถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะมีมะม่วงให้กินได้ตลอดทั้งปี แต่โดยธรรมชาติมะม่วงจะออกผลในช่วงฤดูร้อน และถ้าได้กินมะม่วงสุกคาต้นล่ะก็หวานอร่อยกว่ามะม่วงนอกฤดู ถึงมะม่วงจะไม่ได้สรรพคุณช่วยย่อยโดยตรงแต่ก็มีสารเพกทินที่ทำให้อุจจาระของเรานุ่มขึ้นค่ะ

 

6. สับปะรด

สับปะรดมีเอนไซม์ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะอาหาร ทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวเร็วขึ้น สับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหารและช่วยในการทำงานของต่อมไร้ท่อค่ะ

 

7. แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่ทั้งมีวิตามินซี วิตามินเอ โฟเลท โพแทสเซียม และฟอสฟอรัสสูง และยังช่วยเสริมสร้างแบคทีเรียชนิดดี ช่วยให้การย่อยอาหารและการดูดซึมให้ทำงานได้ดีอีกด้วย

 

8. อโวคาโด

อโวคาโดเป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยกากใย ยังร่างกายสามารถย่อยได้ง่าย และยังมีไขมันชนิดดีที่ช่วยให้การย่อยอาหารมีเบต้าแคโรทีนและวิตามินเอซึ่งช่วยให้ผิวสวยอีกด้วย

 

9. กล้วย

กล้วยเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับรับประทานเวลาท้องว่าง จะช่วยฟื้นฟูประจุไฟฟ้าและโพแทสเซียมในร่างกาย และยังมีกากใยอาหารที่ช่วยการย่อยอาหาร

 

10. ส้ม

อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าส้มนั้นอุดมไปด้วยวิตามินซี โพแทสเซียมและกรดโฟลิก ดังนั้นจึงช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้เคลื่อนตัว ลดอาการอาหารไม่ย่อย บำรุงกระเพาะอาหารและม้าม และถ้าเราดื่มแบบน้ำส้มคั้นเป็นประจำจะช่วยในเรื่องของปัสสาวะได้ดี

 

11. แคนตาลูป

แคนตาลูปเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอและวิตามินซี และยังมีเอนไซม์ที่ช่วยการย่อยอาหาร ช่วยต้านมะเร็งในลำไส้ และช่วยบรรเทาอาการกระวนกระวาย นอนไม่หลับได้อีกด้วย

 

นอกจากนี้ยังมีอาหารที่ให้กากใยและวิตามินดีสูงที่ช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นมาแนะนำค่ะ

ข้าวโอ๊ต เป็นอาหารที่เต็มไปด้วยกากใยอาหารที่เหมาะกับระบบย่อยอาหาร และยังเต็มไปด้วยสารอาหารมากมาย เช่นฟอสฟอรัส วิตามินอี เซเลเนียม และสังกะสี

น้ำมันตับปลา ซึ่งเต็มไปด้วยวิตามินเอและวิตามินดี ช่วยระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยป้องกันไม่ให้ระบบย่อยอาหารมีปัญหาอีกด้วย

 

www.flickr.com/photos/white_ribbons/7004688988/

www.flickr.com/photos/johndecember/16140278728/

อนุมูลอิสระ(free radical) คืออะไร

smoking-1
Source: Flickr (click image for link)

อนุมูลอิสระ คืออะไร?

“อนุมูลอิสระ” นั้นเป็นตัวทำลายภูมิคุ้มกันและเซลล์ต่างๆ ทำให้เกิดการเสื่อมถอยของร่างกาย ซึ่งจะแสดงออกมาในรูปแบบของริ้วรอยที่ทำให้แก่ก่อนวัย รวมถึงโรคความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของเรา  และที่หนักสุดก็คือ การก่อตัวเป็นเนื้อร้ายหรือเซลล์มะเร็งนั้นเองค่ะ ร่างกายเรามีสารอนุมูลอิสระมาตั้งแต่เกิด แต่ในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น ร่างกายเรายังสามารถกำจัดตัวอนุมูลอิสระได้ดีอยู่ แต่เมื่อเริ่มเข้าวัยทำงานหรือเมื่อเราอายุมากขึ้นหรือร่างกายของเราอ่อนแอ มีความเครียด ภูมิคุ้มกันก็จะไม่สามารถต่อสู้กับอนุมูลอิสระได้ อนุมูลอิสระจะโจมตีเนื้อหุ้มเซลล์ทำให้เซลล์ทำงานผิดปกติ และในช่วงนี้เองที่เราไม่ควรที่จะละเลยและควรใส่ใจในสุขภาพเรามากขึ้น

อนุมูลอิสระหรืออนุมูลเสรี (free radical) หมายถึง อะตอมหรือโมเลกุลที่มีอิเล็กตรอนไม่เป็นคู่ (unpaired electron) อย่างน้อย 1 ตัวโคจรรอบวงนอกสุด อนุมูลอิสระเกิดขึ้นได้เมื่อพันธะระหว่างอะตอมแตกออก ทำให้อนุมูลอิสระไม่เสถียรและไวต่อการเกิดปฏิกิริยาอย่างรวดเร็ว จึงทำปฏิกิริยากับโมเลกุลที่อยู่รอบๆ โดยดึงหรือให้อิเล็กตรอนโมเลกุลข้างเคียงเพื่อให้ตัวมันเสถียร โมเลกุลข้างเคียงที่สูญเสียหรือรับอิเล็กตรอนจะกลายเป็นอนุมูลอิสระตัวใหม่ที่ไม่เสถียรและเข้าทำปฏิกิริยากับโมเลกุลอื่นต่อไปเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ (chain reaction)

 

สาเหตุที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้น

ในกระบวนการเผาผลาญสารอาหาร ร่างกายของเราจำเป็นต้องอาศัยออกซิเจนช่วยในกระบวนการนี้ทำให้ได้ออกซิเจนที่มีประจุลบ ซึ่งก็คือ อนุมูลอิสระ สารตัวนี้นอกจากจะรวมตัวกับไขมันไม่ดีแล้ว ยังสามารถรวมตัวกับสารบางชนิดในร่างกายเราแล้วก่อให้เกิดเป็นสารพิษที่ทำลายเนื้อเยื่อ หรืออาจไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลทางพันธุกรรมภายในเซลล์ ทำให้เซลล์ปกติแปรสภาพเป็นเซลล์มะเร็งได้ในที่สุด การปรับตัวในการใช้ชีวิตตามยุคให้เข้ากับสมัยใหม่ วิถีชีวิตที่เร่งรีบจึงได้มีสิ่งที่อำนวยความสะดวกต่างๆ มาให้เรามากมาย ไหงสุขภาพของเราถึงกลับมีปัญหามากขึ้น ด้วยการที่ต้องใช้ชีวิตแข่งกับเวลา อยู่ท่ามกลางสังคมที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและมลภาวะที่เป็นพิษรอบตัวมากมาย อาหารสำเร็จรูปที่ผ่านการใช้สารเคมีหาซื้อรับประทานได้ง่ายตามท้องตลาดจึงกลายเป็นตัวเลือกของคนส่วนใหญ่ในยุคสมัยนี้ การเกิดอนุมูลอิสระในอาหารและสิ่งมีชีวิต เกิดขึ้นจากการกระตุ้นโมเลกุลของสารด้วยปฏิกิริยาเคมี เช่น

  • ปฏิกิริยาการเกิดลิพิดออกซิเดชัน lipid oxidation
  • เกิดจากพลังงาน เช่น การฉายรังสีอาหาร (food irradiation) แสงอัลตราไวโอเลต ultraviolet
  • มลพิษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางอากาศ  ควันรถ ควันบุหรี่ สารเคมีปนเปื้อน ยาฆ่าแมลง ควันไฟ
  • ร่างกายขาดวิตามินและเกลือแร่บางชนิด
  • รังสียูวี จะเป็นตัวทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร
  • การรับประทานอาหารที่ผ่านการทอดด้วยอุณหภูมิสูง อาหารปิ้ง ย่าง และสารปรุ่งแต่งอาหาร
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารเคมีต่างๆ
  • ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ออกกำลังกาย

 

สารต้านอนุมูลอิสระ

antioxidant-fruits-1
Source: Flickr (click image for link)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ปกติแล้วร่างกายของเราจะมีกลไกการกำจัดตัวอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกาย เราเรียกสารตัวนั้นว่า สารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งร่างกายเราสามารถสร้างขึ้นเองได้ แต่ด้วยอายุที่มากขึ้น ความเครียด และวิถีการใช้ชีวิตในปัจจุบันทำให้สารต้านอนุมูลอิสระลดน้อยลง ทำให้ไม่เพียงพอต่อการต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในแต่ละวันนั่นเองค่ะ แต่ถ้าร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่มากพอ จากอาหารและน้ำดื่มมาช่วยเสริมการทำงาน ร่างกายของเราก็จะอยู่ในสภาพปกติไม่เสื่อมเร็วก่อนเวลาอันควร จำเป็นต้องพึ่งพาจำพวกกลุ่มของสารต้านอนุมูลอิสระที่ได้มาจากอาหาร เช่น วิตามินเอ (vitamin A) วิตามินซี (vitamin C) วิตามินอี (vitamin E) บีตา-แคโรทีน ที่มีในอาหาร รวมทั้งกลุ่มพอลิฟีนอล (polyphenols) ฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ที่พบมากอยู่ในพืช ผักและผลไม้ เพื่อเข้าไปช่วยเสริมสร้างระบบต้านออกซิเดชัน (antioxidant) ในร่างกายให้มีประสิทธิภาพในการทำลายอนุมูลอิสระได้ดียิ่งขึ้น

 

 

www.flickr.com/photos/jurek_durczak/16945606802/

www.flickr.com/photos/jocelyndurston/49098318/