Browse Tag: nutriens

26 ชนิดของอาหารที่ส่งผลทำให้อารมณ์ดีขึ้น

 

Photo by freestocks.org on Unsplash

เนื่องด้วยหัวข้อที่แล้วได้เขียนเรื่องราวของอาหารที่ส่งผลทำให้อารมณ์ของเราบูด อารมณ์เสียง่าย หรืออารมณ์ไม่ดีทั้งวันไปแล้ว และก็ได้พบว่ามีอาหารอยู่ไม่น้อยชนิดเลยทีเดียวที่อยู่ในลิสท์จนหลายคนคงต้องคิดแน่ๆ เลยว่าแล้วจะกินอะไรได้บ้างเนี่ย มีแต่อาหารที่ชอบเลยแต่พอกินแล้วดันมาทำให้อารมณ์ไม่ดีอีก มันก็เป็นเรื่องธรมมดาของชีวิตอ่ะนะคะว่าเมื่อมีด้านไม่ดีนั้นมันก็ต้องมีด้านที่ดีเป็นของคู่กันอยู่แล้วค่ะ ดังนั้นวันนี้เราเลยอยากนำเสนออาหารที่ส่งผลทำให้อารมณ์ของเราดีขึ้น ให้สดใสไม่หมองหม่นเหมือนกำลังจะเป็นโรคซึมเศร้าเหงาซึม ใครที่เกิดอาการเหล่านี้อยู่ก็ลองลุกขึ้นมาปรับอาหารเลือกอาหารเหล่านี้รับประทานกันดูนะคะ เนื่องจากยุคสมัยมันเปลี่ยนไปมีเทคโนโลยีและสิ่งเอิ้ออำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย แค่อยู่ที่ว่าเราจะเลือกอะไรให้กับตัวเอง และก็พบว่าไม่น้อยเลยที่คนเราหันมาใส่ใจตัวเองและสุขภาพกันมากขึ้น คนเราตามพื้นฐานแล้วต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองเสมอนั่นแหละถึงจะเรียกว่ารักตัวเองเป็นค่ะ การเลือกรับประทานอาหารก็เช่นเดียวกันถ้าเรารักสุขภาพตัวเองมากพอก็จะเลือกแต่สิ่งที่ดีให้กับตัวเองเสมอ เชื่อหรือไม่ว่าการที่เราหงุดหงิดง่าย อะไรๆ ก็คิดแต่ในทางแง่ลบจิตใจไม่ผ่องใสนอกจากส่งผลทางจิตใจแล้วก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการนำมาสู่โรคภัยไข้เจ็บได้ค่ะ ดังนั้นเราไม่ควรปล่อยปะละเลยกับเรื่องเพียงเล็กน้อยแบบนี้ไปได้เลยล่ะค่ะ ตามเป็นจริงแล้วคนเราไม่มีความสุขกับที่ตัวเองจะต้องมานั่งร้อนใจ และมีอารมณ์ที่ไม่สดใสมองไปทางไหนก็มืดหม่น แต่บางทีเราอาจจะไม่รู้ตัวหรือไม่สามารถห้ามตัวเองให้เป็นอย่างนั้นได้ค่ะ จะมีคนรอบตัวเราสักกี่คนที่จะมานั่งบอกเราว่า เออเนี่ยช่วงนี้เธอดูหงุดหงิดง่ายนะ เธอช่วยลดความอารมณ์เสียง่ายของเธอได้ไหม กว่าเราจะรู้ตัวอีกทีคนรอบข้างก็ไม่กล้าเข้าใกล้แล้วล่ะค่ะ ผู้เขียนก็ไม่อยากให้ผู้อ่านต้องเป็นนั้นหรอกนะคะ แค่ช่วงไหนรู้สึกอารมณ์หงุดหงิดง่าย พยายามควบคุมตัวเองแล้วยังไม่ได้ผลก็ขอให้ย้อนกลับมาดูอาหารการกินช่วงนี้ของเราเป็นยังไง และเลือกอาหารที่ช่วยให้เราอารมณ์ดีขึ้นรับประทานกันดีกว่าค่ะ 🙂

Photo by Priscilla Fong on Unsplash

26 ชนิดของอาหารที่ส่งผลทำให้อารมณ์ดี

 

1.ปลาแซลมอล

ปลาแซลมอนเป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ดีเลยล่ะค่ะ ซึ่งมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบสูง มีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและระบบประสาท ป้องกันภาวะซึมเศร้า ช่วยลดความวิตกกังวลและความซึมเศร้าหมองหม่นได้อีกด้วยค่ะ นอกจากนี้ปลาแซลมอนยังมีโปรตีนสูง วิตามินบี 12 และวิตามินดี โดยวิตามินบี 12 ทำงานร่วมกับโฟเลตเพื่อช่วยเปลี่ยนกรดอะมิโนให้เป็นสารสื่อประสาท (ผู้ป่วยซึมเศร้ามักจะมีระดับต่ำทั้งคู่) ในขณะที่การขาดวิตามินดีก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้าค่ะ

 

2.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จำพวก บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และสตรอเบอร์รี่ ล้วนมีวิตามินซีสูง ซึ่งจะไปช่วยรับมือกับคอร์ติซอลที่เป็นฮอร์โมนที่ถูกปล่อยออกมาในช่วงที่มีความเครียดนั่นเองค่ะ

 

3.ดาร์ค ช็อคโกแลต

นอกจากรสชาติของช็อคโกแลตที่อร่อยจนหลายคนหลงรักแล้วโกโก้ยังเป็นทรีทเม้นต์ที่ดีเยี่ยมอีกด้วย สามารถช่วยปรับอารมณ์และสร้างความสมดุลของอารมณ์และช่วยการไหลเวียนของเลือดที่ไปยังสมองช่วยให้รู้สึกมีชีวิตชีวาและมีพลังมากขึ้น พบว่าโกโก้ฟลาโวนอลสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการรับรู้อยู่ค่ะ โกโก้เป็นส่วนผสมของช็อคโกแลตที่จะไปช่วยให้ร่างกายของเราดีขึ้น ดังนั้นการเลือกช็อคโกแลตที่เป็นดาร์คช็อคโกแลตมีค่าเปอร์เซ็นต์โกโก้ที่สูงและสียิ่งเข้มยิ่งดีที่จะไปช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้ดีขึ้นค่ะ

 

4.ข้าวกล้อง

พบว่าที่อาหารปราศจากกลูเตนนั้นทำให้สุขภาพทางอารมณ์ของเราดีขึ้น มีความสุขขึ้นจากความหดหู่ใจ ข้าวกล้องสามารถช่วยต่อสู้กับภาวะอารมณ์แปรปรวน เช่น โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กเนื่องจากในข้าวกล้องมีธาตุเหล็ก

 

5.มันหวาน

มันฝรั่งหวานที่มีสีส้มรสชาติมัน หวาน ใครจะรู้ว่าสามารถปรับอารมณ์ของเราให้ดีขึ้น จากวิตามิน B6 วิตามินซี และเส้นใยอาหารค่ะ

 

6.ถั่วดำ

ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียมที่ช่วยเพิ่มฮอร์โมนความสุขเซโรโทนิน และความรู้สึก ราวกับว่ายังไม่เพียงพอผู้ชายตัวเล็ก ๆ เหล่านี้ แต่มีพลังอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและอุดมไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อคุณเช่นเหล็กเส้นใยทองแดงสังกะสีและโพแทสเซียม

 

7.ผักเคล

ผักเคลเป็นผักใบเขียวเข้มที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่หลากหลายรวมถึงไฟเบอร์ที่จะไปปรับสมดุลน้ำตาลในเลือด มีวิตามินบีเพื่อไปกระตุ้นการทำงานของสมองรวมถึงธาตุเหล็กด้วยค่ะ และการขาดธาตุเหล็กมีผลต่อพฤติกรรมทางอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นความวิตกกังวลและการหยุดชะงักของสารสื่อประสาท โดยธาตุเหล็กและวิตามินบีนี่แหละจะไปช่วยเสริมสร้างพลังงานมากขึ้นช่วยให้เรารู้สึกมีพลังบวกและสดใสขึ้น มีพลังในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ของวันให้สนุกยิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้วผักปวยเล้งและผักคะน้าก็เป็นอีกพืชผักใบเขียวเข้มที่สามารถเลือกรับประทานกันได้ค่ะ อย่างไรก็ตามการมีธาตุเหล็กในสมองมากเกินไปอาจทำให้สารสื่อประสาทบกพร่องซึ่งเป็นสถานการณ์ Goldilocks ค่ะ ดังนั้นร่างกายเราควรได้รับระดับธาตุเหล็กให้เพียงพอและเหมาะสมกันนะคะ

 

8.กรีกโยเกิร์ต

กรีกโยเกิร์ตเป็นผลิตภัณฑ์นมที่มีแคลเซียมสูงมากในขณะที่นมหรือโยเกิร์ตแบบปกติทั่วไปนั้นก็มีไม่เท่า แคลเซียมเป็นจุดเริ่มต้นของสารสื่อประสาทในสมองซึ่งสามารถไปกระตุ้นเพิ่มความรู้สึกให้คงที่ นั่นก็หมายความว่าถ้าปริมาณแคลเซียมไม่เพียงพอก็สามารถทำให้เกิดความวิตกกังวล ซึมเศร้า หงุดหงิด หน่วยความจำบกพร่องและกระบวนการคิดช้าลง โยเกิร์ตกรีกยังมีโปรตีนมากกว่าโยเกิร์ตทั่วไปทำให้เป็นอาหารว่างที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียวค่ะ

 

9.กิมจิ

พบว่าเกี่ยวกับสุขภาพของระบบทางเดินอาหารบ่งชี้ว่าอาหารเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาสุขภาพของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งปรากฏว่ามีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและสุขภาพค่ะ อาหารหมักดองอย่างกิมจิจึงเป็นแหล่งของแบคทีเรียที่ดีต่อสุขภาพที่เรียกว่าโปรไบโอติก และการที่ลำไส้เรามีปัญหาทำให้ไม่ขับถ่ายของเสียออกจากรางกายนั่นก็เป็นผลต่อสภาพทางอารมณ์ของเราได้เหมือนกันค่ะ

 

10.แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลจะอุดมไปด้วยไฟเบอร์และวิตามินซี มีรสชาติหวานและกลิ่นหอมที่มีเอกลักษณ์ของผลไม้เหล่านี้สามารถเพิ่มความสดใสและทำให้สมองปลอดโปร่ง ทำให้เรามีความคิดสร้างสรรค์และเป็นบวกจนไปสู่การส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีค่ะ

 

11.ชาเขียว

การเลือกเดินเข้าไปร้านกาแฟในวันที่อารมณ์ไม่ดีแทนที่จะสั่งกาแฟดื่มเพื่อให้อารมณ์ที่หงุดหงิดหายไปแต่มาเลือกสั่งชาเขียวมาดื่มสักแก้ว แล้วจะพบว่ามันทำให้ความเครียดในสมองของเราได้รับการผ่อนคลาย ได้รับการพัฒนาทั้งทางสุขภาพร่างกายและอารมณ์ในคราวเดียวกันค่ะ คาเฟอีนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในชาเขียวไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มพลังให้เราเท่านั้น สาร epigallocatechin-3-gallate หรือ EGCG ที่พบในชาเขียวยังเชื่อมโยงกับการปรับอารมณ์ของเราให้คงที่อีกด้วย

 

12.เมล็ดเจีย

Chia seeds เมล็ดเชีย หรือ เมล็ดเจียเป็นแหล่งที่มาของกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ได้จากพืชค่ะ และเมล็ดเชียยังมีความอุดมสมบูรณ์ของสารอาหารมากมาย และที่เด่นๆ เลยก็คือโปรตีน เส้นใย แคลเซียม และธาตุเหล็ก อีกทั้งยังเป็นแหล่งที่ดีของแมกนีเซียมที่เป็นแร่ธรรมชาติที่ช่วยผ่อนคลายและสามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ค่ะ

 

13.กล้วย

กล้วยเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูงซึ่งจะไปช่วยปรับปรุงการทำงานของสมอง วิตามิน B6 จะไปช่วยเพิ่มเซโรโทนินที่มีส่วนทำให้ร่างกายสงบขึ้น และทริปโตเฟน เป็นกรดอะมิโนที่จะไปทำให้อารมณ์ของเราสมดุล

 

14.อะโวคาโด

สุดยอดของอาหารอย่างอะโวคสโดอีกทั้งยังเต็มไปด้วยวิตามิน B และโพแทสเซียม ที่จะไปช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนินและลดความดันโลหิตซึ่งทั้งสองอย่างนี้สามารถทำให้สภาพจิตใจมีความสงบมั่นคงไม่สวิงค่ะ

 

15.ส้ม

ผลไม้อย่างส้ม ไม่ว่าจะเป็นส้มแมนดาริน, ส้มโอ หรือจะเป็นส้มเขียวหวาน นอกจากอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังเต็มไปด้วยโฟเลตที่เป็นวิตามินบีที่ช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้ดี สดชื่นข้นมาทันใดเลยล่ะค่ะ

 

16.เมล็ดอัลมอนด์

ถ้าพูดถึงอาหารประเภทโปรตีนที่ดีที่ได้จากพืชอย่รงเมล็ดอัลมอนด์ที่จะไปช่วยทำให้อารมณ์ของเราดีขึ้น ทั้งนี้ยังมีไทโรซีนสำหรับการผลิตสารสื่อประสาท, แมกนีเซียม, ไฟเบอร์และวิตามินอีค่ะ เมล็ดอัลมอนด์ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระวิตามินอีที่สามารถช่วยต่อสู้กับความเสียหายจากอนุมูลอิสระในสมองค่ะ

 

17.มันม่วง

มันฝรั่งสีม่วงรสชาติหวานจนเราเรียกมันว่ามันม่วง จากสีของมันม่วงที่เป็นเอกลักษณ์นี้เกิดจากสาร anthocyanins เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพที่ให้ประโยชน์ต่อระบบประสาท เช่น การประสบกับความจำระยะสั้นและลดการอักเสบที่มีผลกระทบต่อสภาวะอารมณ์รวมไปถึงสภาพผิวของเราอีกด้วย ทั้งนี้มันหวานยังเต็มไปด้วยไอโอดีนซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญที่ช่วยควบคุมต่อมไทรอยด์ของเราค่ะ เนื่องจากลดการอ่อนเพลียและความเศร้าแบบหดหู่ไปพร้อมๆ กันค่ะ

 

18.ไก่งวง

ไก่งวงจะอุดมไปด้วยทริปโตเฟน ที่เป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่จะไปช่วยให้ผลิตเซโรโทนินที่ช่วยในเรื่องของการกระตุ้นอารมณ์ โดยโพรไบโอที่อยู่ในระดับต่ำจะทำให้การผลิตเซโรโทนินลดลงเลยไปเพิ่มความวิตกกังวลหรืออาการซึมเศร้า ในขณะที่ถ้าโพรไบโออาหารที่สูงจะไปช่วยในการลดภาวะซึมเศร้าและความหงุดหงิด นอกจากนี้ยังมีไทโรซีนกรดอะมิโนอีกตัวที่เป็นสารตั้งต้นของสารสื่อประสาทในสมองค่ะ ทั้งนี้ไก่งวงยังมีวิตามินบีมากมายรวมถึง B6,B12 และแร่ธาตุสังกะสี การขาดสังกะสีเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางอารมณ์ เช่น ความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าค่ะ

 

19.เมล็ดทานตะวัน

เมล็ดทานตะวันเป็นแหล่งวิตามินอี วิตามินบี 6 และแมกนีเซียมที่ดี จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ถั่วแล้วอยากรับประทานธัญพืชที่สามารถทดแทนกันได้อย่างเมล็ดทานตะวันค่ะ

 

20.สาหร่าย

สาหร่ายที่ไม่ว่าจะอยู่ในซูชิหรือแซมๆ อยู่ด้านข้างของจานเป็นสลัดก็ตาม ทราบหรือไม่ว่าสาหร่ายที่ว่านี้เต็มไปด้วยแร่ธาตุไอโอดีนที่จะไปต่อสู้กับความหดหู่เศร้าหมองใจ และก็หาได้ไม่ง่ายในอาหารทั่วไปอีกด้วยเนื่องจากไม่ใช่อาหารหลักของคนไทยที่จะได้รับประทานกันบ่อยๆ  ไอโอดีนมีความสำคัญต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ของเรา ซึ่งมีผลต่อพลังงาน น้ำหนัก และแม้กระทั่งการทำงานของสมอง ทำให้คุณรู้สึกหม่นหมองเมื่อมีน้อยเกินไปและมีความสุขมากเมื่อมีอย่างเพียงพอ

 

21.หัวบีทรูท

หัวบีทรูทเป็นพืชหัวที่น่าสนใจค่ะ เราจะพบเห็นบ่อยๆ ในสลัดหรือน้ำผลไม้ปั่น บีตส์รูทจะประกอบด้วยเบทาอีนซึ่งจะไปช่วยผลิตเซโรโทนินในสมองขณะเดียวกันก็จะปรับระดับอารมณ์ไปพร้อมกัน ทั้งนี้หัวบีทรูทยังมีกรดโฟลิกที่ไปช่วยรักษาเสถียรภาพทางอารมณ์และช่วยปรับสุขภาพจิตทำให้มีความสุขขึ้นค่ะ

 

22.หน่อไม้ฝรั่ง

หน่อไม้ฝรั่งแสนอร่อยที่คนส่วนใหญ่มักนำมาประกอบอาหารที่เราคุ้นเคยกันก็คงจะเป็นเมนู หน่อไม้ฝรั่งผัดกุ้ง โดยหน่อไม้ฝรั่งเป็นแหล่งของเซโรโทนิน โฟเลต และเอนไซม์ที่จะไปทำลายแอลกอฮอล์ (นั่นก็หมายถึงเป็นยาแก้อาการเมาค้างตามธรรมชาติด้วยนั่นเอง)

 

23.น้ำผึ้ง

น้ำผึ้งหอมหวานแต่แปลกตรงที่ไม่เหมือนกับน้ำตาลทรายทั่วไปก็ตรงที่น้ำผึ้งจะให้ความหวานธรรมชาติแล้วยังอัดแน่นไปด้วยสารประกอบที่มีประโยชน์อีกด้วยเช่น quercetin และ kaempferol ซึ่งสารนี้แหละจะไปช่วยลดการอักเสบทำให้สมองแข็งแรงและป้องกันภาวะซึมเศร้า  อีกทั้งน้ำผึ้งยังมีผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่าน้ำตาลปกติค่ะ ดังนั้นน้ำผึ้งจะไม่ทำให้ร่างกายเรากักเก็บไขมันในแบบที่น้ำตาลทั่วไปทำ หรือการนำไปสู่หนึ่งในปัญหาน้ำตาลขัดข้องที่ไม่พึงประสงค์แบบที่เกิดขึ้นจากน้ำตาลทรายทั่วไปค่ะ นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียที่ช่วยป้องกันโรคและทำให้เราไม่รู้สึกหมองหม่น

 

24.เมล็ดฟักทอง

เมล็ดฟักทองเป็นเหมือนของว่างทานเล่นกรุบๆ แต่กลับเป็นหนึ่งในแหล่งอาหารที่ดีที่สุดของทริปโตเฟนที่เป็นกรดอะมิโนที่ช่วยส่งเสริมการผลิตเซโรโทนินในสมอง ทริปโตเฟนยังช่วยทำให้อารมณ์สงบลงได้ง่ายขึ้น ช่วยให้หลับสบายโดยที่ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่น สดใสค่ะ

 

25.ขนมปังโฮลวีท

การที่มีต่อมฮอร์โมนอยู่ทั่วทุกที่ในร่างกายของเราและง่ายต่อการกระตุ้นไม่ว่าจะจากที่ทำงานหรืออะไรก็ตาม การเกิดความเครีมยกจึงทำให้ร่างกายกระหายแป้งและน้ำตาลเพราะมันสามารถช่วยปลอบประโลมอารมณ์ของเราในขณะนั้นได้แต่รู้ไหมว่ามันช่วยให้เรามีความสุขได้แค่ระยะนั้นๆแถมยังไปเพิ่มน้ำตาลในเลือกและพุง ดังนั้นแทนที่จะเลือกแป้งขัดสีหรือพวกคุกกี้หวานๆ มาทานทำไมเราไม่เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจากขนมปังโฮลเกรน นอกจากจะมีวิตามินต่างๆ ที่ดีต่องสุขภาพแล้วยังมีเส้นใยอาหารอีกด้วย อย่างไรก็ตามธัญพืชเหล่านี้สามารถปรับปริมาณแบคทีเรียตัวที่ดีในลำไส้ของเราได้ ซึ่งแตกต่างจากพวกคุกกี้ที่มีอิทธิพลอย่างละเอียดอ่อนต่อสภาวะของอารมณ์

 

26.น้ำมันมะกอก

ใครจะรู้ว่าอารมณ์ของเรานั้นจะดีขึ้นได้อย่างง่ายดายเหมือนการหยดน้ำมันมะกอกลงบนสลัดล่ะคะ เมื่อพบว่าไขมันที่ดีต่อสุขภาพนั้นพบอยู่ในน้ำมันมะกอกมีประสิทธิภาพต่อการปรับอารมณ์ของเราได้มากกว่าไขมันทรานส์ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของเรา ดังนั้นควรเลือกรับประทานไขมันที่ดีต่อสุขภาพเรานะคะ

 

จะเห็นได้ว่านอกจากปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อสภาวะอารมณ์ของคนเราแล้ว การรับประทานอาหารบางประเภทก็สามารถส่งผลกระทบต่อสภาวะอารมณ์ของเราให้แย่ลงหรือดีขึ้นได้ด้วยค่ะ ทั้งนี้การรักษาร่างกายจากภายในสู่ภายนอกย่อมเป็นพื้นฐานของกลไกของสุขภาพที่ต้องทำงานคู่กันเพื่อให้เราได้เห็นผลได้ชัดเจนค่ะ หวังว่าหัวข้อนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะคะ

15 ชนิดของอาหารที่มีแร่ธาตุโพแทสเซียมสูง

Source: Flickr (click image for link)

“โพแทสเซียม (Potassium)’’ แร่ธาตุหรือเกลือแร่อีกตัวที่มีบทบาทและหน้าที่สำคัญต่อสุขภาพรวมถึงร่างกายของคนเราค่ะ โพแทสเซียมนั้นเป็นแร่ธาตุที่มีมากเป็นอันดับ 3 ในร่างกายรองจากแคลเซียมและฟอสฟอรัส โพแทสเซียมนั้นเป็นอิเล็กโตรไลต์ซึ่งเป็นตัวปรับสมดุลของประจุบวกหรือลบในเลือด ดังนั้นร่างกายของคนเราจึงต้องได้รับแร่ธาตุทั้ง 3 ชนิดนี้ในปริมาณที่สมดุลจึงจะทำหน้าที่ต่างๆ ได้ดี  โดยโพแทสเซียมมีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายของเราให้เป็นปกติ อย่างเช่น แร่ธาตุโพแทสเซียมมีการช่วยควบคุมสมดุลของอิเล็กโตรไลต์และสมดุลย์ของกรดและเบสในร่างกาย ควบคุมความดันของโลหิตรวมถึงป้องกันภาวะกรดเกิน (hyperacidity)  อีกทั้งโพแทสเซียมยังช่วยระบบประสาทและกล้ามเนื้ออีกด้วยค่ะ โดยเฉพาะหน้าที่เกี่ยวกับการยืดและหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ   

หากระดับโพแทสเซียมในร่างกายมากเกินไปจะถูกไตขับออกมา และสำหรับผู้ที่ไตทำงานได้ไม่ดีก็ไม่ควรรับประทานโพแทสเซียมเสริมในปริมาณที่สูงมากจนเกินไปค่ะ

  • โพแทสเซียมในเลือดที่มีค่าปกติ คือ 3.5 – 5.0 mEq/L
  • โพแทสเซียมในเลือดที่มีค่าต่ำ คือ  < 3.5 mEq/L จะมีอาการซึม อ่อนเพลีย คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ตะคริว
  • โพแทสเซียมในเลือดที่มีค่าสูง คือ  > 5.0 mEq/L จะทำให้เกิดการคั่งของน้ำในร่างกาย หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

บางครั้งถ้าเรารู้สึกว่าร่างกายขาดโพแทสเซียมอยู่ วิธีการเติมโพแทสเซียมที่ง่ายก็คือการทราบว่าเราควรจะรับประทานอาหารชนิดไหน ดังนั้นเราอาจจะเริ่มโดยการปรับเรื่องของการรับประทานอาหารเป็นอันดับแรกค่ะ

 

 

15 ชนิดของอาหารที่มีแร่ธาตุโพแทสเซียมสูง

Source: Flickr (click image for link)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1.ผงโกโก้

ผงโกโก้ที่ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบช็อกโกแลตหรือแบบเครื่องดื่มอย่างโก้โก้ร้อนหรือเย็นก็ตามแต่ ยกให้เขาเป็นอาหารชนิดที่ให้แร่ธาตุโพแทสเซียมสูงไปเลยค่ะ โดยผงโกโก้ 100 กรัม มีปริมาณโพแทสเซียมถึง 1,600 มิลลิกรัม เลยทีเดียวเชียว ใครที่ขาดอยู่ก็อย่าได้พลาดอาหารชนิดนี้ไปเด็ดขาดค่ะ

 

2.ลูกพรุนอบแห้ง

โดยปรกติแล้วผลไม้แห้งหลายๆ ชนิดก็ให้แร่ธาตุโพแทสเซียมที่สูงปรี๊ดอยู่แล้วค่ะ โดยเฉพาะลูกพรุนอบแห้ง ซึ่งลูกพรุน(อบแห้ง) 100 กรัม มีปริมาณโพแทสเซียมถึง 1,100 มิลลิกรัม เลยล่ะค่ะ

 

3.อะโวคาโด

ถ้าพูดถึงอะโวคาโดจะเห็นได้ว่าเป็นอาหารที่มีสารอาหารที่สำคัญอยู่หลากหลายมากค่ะ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือแร่ธาตุโพแทสเซียมที่ถือว่าสูงเลยทีเดียวติดอันดับ 1 ใน 3 เลยที่เดียว โดยอะโวคาโด 1 ลูก มีปริมาณโพแทสเซียมอยู่ถึง 1,067 มิลลิกรัม ค่ะ

 

4.ฟักทองอะคอน สครอช (Acorn Squash)

ฟักทองอะคอน สครอช (Acorn Squash) เป็นผักตระกูลเดียวกันกับฟักทองบ้านเราค่ะแต่ลูกจะเล็กกว่าฟักทองที่บ้านเรา โดยฟักทองอะคอน สครอช 1 ถ้วย มีปริมาณโพแทสเซียมอยู่ถึง 896 มิลลิกรัม

 

5.ลูกเกด

ลูกเกดอบแห้งที่ใครหลายคนชอบทานเล่นเป็นอาหารหว่าง หรือจะพบเห็นได้ตามขนมเค้กหรือขนมอบทั่วไปที่มีส่วนผสมของลูกเกดที่ทั้งแบบโรยหน้าขนม ซึ่งลูกเกด 100 กรัม มีปริมาณโพแทสเซียม 892 มิลลิกรัม

 

6.มันหวาน

มันหวานเป็นพืชประเภทหัวที่เมื่อนำมาอบหรือนึ่งมีรสชาติหวาน มัน เหมาะกับการรับประทานแบบอาหารว่างหรือประกอบอาหาร ของหวาน ของคาวก็เหมาะค่ะ โดยมันหวาน 1 หัวใหญ่ มีปริมาณโพแทสเซียม 855 มิลลิกรัม

 

7.เมล็ดทานตะวัน

ธัญพืชอย่างเมล็กทานตะวันซึ่งปรกติก็มีสารอาหารและแร่ธาตุอยู่หลากหลาย ส่วนใหญ่คนเราจะไม่นำมาประกอบอาหารแต่จะทานเล่นซะส่วนใหญ่ โดยเมล็ดทานตะวัน 100 กรัม มีปริมาณโพแทสเซียม 850 มิลลิกรัม

 

8.ผักปวยเล้ง

ผักปวยเล้งเป็นผักใบสีเขียวที่มากคุณค่าทางโภชนาการนอกจากมีประโยชน์หลากหลาย สารอาหารที่ซ่อนอยู่ก็มีเต็มเปี่ยมอย่างแร่ธาตุโพแทสเซียมก็มีมากในผักโขมเช่นกันค่ะ โดยผักปวยเล้ง 1 ถ้วย มีปริมาณโพแทสเซียม 839 มิลลิกรัม

 

9.ผลแอปริค็อตแห้ง

ในผลแอปริค็อตโดยเฉพาะผลแอปริค็อตแห้งมีแร่ธาตุโพแทสเซียมอยู่สูงมากค่ะ ใครกำลังมองหาผลไม้แห้งที่ให้แร่ธาตุตัวนี้อยู่สูงอยู่แล้วล่ะก็ อย่ารอช้าไปเลือกหาผลแอปริค็อตแห้งมารับประทานได้เลยค่ะ ซึ่งผลแอปริค็อตแห้งปริมาณครึ่งถ้วย จะมีปริมาณโพแทสเซียม 756 มิลลิกรัม

 

10.ปลาแซลมอล

ปลาแซลมอลที่เรารู้จักกันในสารอาหารที่เด่นๆ อาจจะเป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 แต่ปลาแซลมอลก็ยังมีแร่ธาตุอื่นๆ อยู่ด้วยค่ะ และที่มีอยู่สูงก็คือโพแทสเซียม ปลาแซลมอล 100 กรัม มีปริมาณโพแทสเซียม 628 มิลลิกรัม

 

11.ทับทิม

ผลไม้ที่หารับประทานได้ไม่ค่อยง่ายทั่วไปนัก เมล็ดสีแดงๆ สดใสเปี่ยมไปด้วยแร่ธาตุโพแทสเซียมอยู่สูงค่ะ โดยทับทิม 1 ลูก มีปริมาณโพแทสเซียม 600 มิลลิกรัม

 

12.น้ำมะพร้าว

ในน้ำมะพร้าวมีแร่ธาตุอยู่เยอะพอสมควรค่ะถือเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทาวโภชนาการถ้าดื่มอย่างถูกวิธี และในน้ำมะพร้าวก็มีแร่ธาตุโพแทสเซียมอยู่สูงอย่างน้ำมะพร้าว 1 ถ้วย จะมีปริมาณโพแทสเซียมอยู่ถึง 600 มิลลิกรัม

 

13.ถั่วขาว

เมล็ดธัญพืชถั่วขาวเป็นอีกธัญพืชที่มีแร่ธาตุโพแทสเซียมอยู่สูง และถั่วขาวปริมาณครึ่งถ้วย จะมีปริมาณโพแทสเซียมอยู่ 502 มิลลิกรัม

 

14.กล้วย

กล้วยเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณที่ไม่กล้วยเลยค่ะ เมื่อเราได้รับประทานกล้วยเพียงแค่หนึ่งผลก็ได้รับสารอาหารมากมายซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีแร่ธาตุโพแทสเซียมที่อยู่สูงเช่นกัน โดยกล้วย 1 ลูกใหญ่ มีปริมาณโพแทสเซียม 487 มิลลิกรัม

 

15.เห็ด

เห็ดก็เป็นอีกหนึ่งชนิดของอาหารที่มีคุณค่าและแร่ธาตุสูง และแร่ธาตุโพแทสเซียมก็มีอยู่ในเห็ดสูงด้วยเหมือนกันค่ะ โดยเห็ดปริมาณ 100 กรัม มีปริมาณโพแทสเซียม 484 มิลลิกรัม

 

 

www.flickr.com/photos/personalcreations/15691960879/

www.flickr.com/photos/reid-bee/5239565357/

ควีนัวคืออะไร มีคุณค่าและประโยชน์อย่างไร

Source: Flickr (click image for link)

มาถึงอีกชนิดหนึ่งของอาหารที่ได้ถูกยกให้เป็นสุดยอดของอาหาร (Super Food) อีกอย่างหนึ่งเลยทีเดียว และจะไม่พูดถึงไม่ได้อย่างแน่นอนจากหัวข้อที่แล้วเกี่ยวกับ เมล็ดเจีย (Chia Seed) ซึ่งคิวต่อไปก็ต้องเป็นสุดยอดอาหารชนิดนี้เลยค่ะ และใครหลายคนต่างก็คงจะทราบกันบ้างอยู่แล้วสำหรับ “ควีนัว (Quinoa)” โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่หันมารักสุขภาพกันมากขึ้นคงไม่พลาดอาหารชนิดนี้เป็นอย่างแน่นอน และสำหรับในคนที่ยังกำลังหาข้อมูลหรือลังเลในการเลือกอาหารชนิดนี้มาลองรับประทาน ก็เร่เข้ามาทางนี้ได้เลยค่ะเดี๋ยวเราจะได้ทราบข้อมูลที่น่าสนใจนี้ไปพร้อมๆ กัน ถูกยกให้เป็นสุดยอดอาหารซะขนาดนี้แสดงว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน โดยวันนี้จะเขียนรายละเอียดความเป็นมาและคุณค่าทางโภชนาการของควีนัวนั้นมีมากมายขนาดไหน ทำไมถึงได้นิยมกันมากนักในกลุ่มของคนที่รักสุขภาพ ควีนัว ได้ถูกจัดให้เป็นสุดยอดอาหารหรือ Super Food อย่างแท้จริงนี้ในปี 2013 ทางองค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้เป็นปีแห่งควีนัวเลยทีเดียวเชียวค่ะ แค่นี้ก็ทำให้อยากรู้ซะแล้วสิว่าเจ้าควีนัวนี้มีคุณค่ามากมายยังไงและมีประโยชน์อย่างไรบ้าง จะเข้ามาดูแบบผ่านๆ หรือจะมาเก็บข้อมูลก็ไม่ว่ากันค่ะข้อแค่บล็อกเกี่ยวกับสุขภาพที่ทำขึ้นมานี้ ได้แบ่งปันข้อมูลข่าวสารและสามารถเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านก็เพียงพอใจแล้วค่ะ อย่างนี้เรารีบมาอ่านข้อมูลของควีนัวกันเลยดีว่าเนอะ

 

ควีนัว (Quinoa) คืออะไร มีคุณค่าและประโยชน์อย่างไรบ้าง

Source: Flickr (click image for link)

ถึงแม้ว่าควีนัวจะเพิ่งมาเป็นที่รู้จักและเป็นที่สนอกสนใจนิยมกันเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้เองค่ะ โดยเฉพาะในกลุ่มของคนที่รักสุขภาพแต่รู้หรือเปล่าคะว่าควีนัวมีอายุยาวนานมากถึง 7,000 ปีมาแล้ว (นี่เราไปอยู่ไหนมา) ก็อาจจะเป็นเพราะว่าควีนัวเป็นพืชพันธุ์พื้นเมืองที่มีถิ่นกำเนิดอยู่บนเทือกเขาแอนดิสทางแถบทวิปอเมริกาใต้ของประเทศเปรู โบลิเวีย โคลอมเบีย ชิลี และเอกวาดอร์ นู่นแน่ะ เราจึงยังไม่ได้รู้จักกันให้เร็วกว่านี้สิน่ะ แล้วควีนัวเนี่ยก็ยังเป็นอาหารชั้นยอดของชาวอินคาโบราณอีกด้วยค่ะ โดยชาวอินคาได้ขนานนามให้กับพืชชนิดนี้ว่า “”the gold of the Incas” หรือ “ขุมทองของอินคา” นั่นเอง เพราะชาวอินคามีความเชื่อและถือว่าเจ้าเมล็ดควีนัวนั้นเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังทำการเพาะปลูกกันมานานแสนนานแล้วมากกว่าสามถึงสี่พันปีซะอีกค่ะ ด้วยลักษณะรูปร่างหน้าตาของเมล็ดควีนัวนั้นเหมือนกับธัญพืชเป็นเม็ดเล็กและกลม อีกทั้งยังมีหลักการในการรับประทานเหมือนกับข้าวสาลี ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เลย์ หรือข้าวโอ๊ต หลายคนเลยเรียกกันว่าข้าวควีนัว ซึ่งในต่างประเทศเขาก็นิยมนำควีนัวมารับประทานกันแทนข้าวหรือพาสต้า แต่จริงๆ แล้วควีนัวนั้นยังจัดเป็นพืชตระกูลที่มีชนิดใกล้เคียงกับหัวบีท ผักขม และผักปวยเล้ง ซึ่งควีนัวจะมีทั้งหมด 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่ สีขาว สีแดงและสีดำ

Source: Flickr (click image for link)

ถึงแม้ว่าควีนัวจะมีประวัติที่ยาวนานและได้ล่วงเลยผ่านมาหลายพันปีแล้ว แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ควีนัว ก็กลับได้รับความนิยมและความสนใจกันเป็นอย่างมากอีกครั้งด้วยความที่ควีนัวมีประโยชน์ต่อสุขภาพและให้คุณค่าทางโภชนาการที่สูง จนในปี 1982 ประเทศสหรัฐอเมริกาถึงขั้นได้ออกประกาศแนะนำให้รัฐโคโลราโดปลูกพืชชนิดนี้ เนื่องจากกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในกลุ่มประเทศที่พื้นที่ไม่สามารถปลูกได้ทั่วไปค่ะ ซึ่งคนไทยก็เริ่มรู้จักกันในวงกว้างและนิยมไปซื้อมารับประทานแต่ควีนัวก็ยังคงเป็นพืชที่ประเทศไทยยังคงนำเข้ามา และเราอาจจะพบเห็นได้กันตามซูปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปค่ะ

 

ทำไม ควีนัว (Quinoa) ถึงได้ถูกยกให้เป็นสุดยอดอาหารหรือ Super Food

หลายคนที่ยังสงสัยว่าความแตกต่างของพืชที่เรียกว่า ควีนัว ซึ่งละม้ายคล้ายคลึงกับชนิดของอาหารประเภทธัญพืชอย่าง ข้าวต่างๆ อีกทั้งกรรมวิธีในการทำก็ถือว่าทำแบบเดียวกับการหุงข้าวเลยก็ว่าได้ และก็คงมีความคิดขึ้นมาว่าอย่างนี้ก็คงไม่ต่างกับข้าวที่ให้แป้งหรือคาร์โบไฮเดรตที่สูงแล้วอย่างนี้จะเพื่อสุขภาพได้อย่างไร เพราะที่แน่ๆ คนที่กำลังควบคุมข้าว แป้ง น้ำตาล คงจะไม่ชอบใจแน่ๆ งั้นจะบอกอีกทีก็ได้ค่ะว่า ควีนัว ในทางพฤกษาศาสตร์แล้วเป็นพืชตระกูลเครือเดียวกันกับพืชตระกูลผักขม หัวบีท ถึงจะมีคาร์โบไฮเดรตอยู่แต่ก็จะไม่มากเท่าพวกข้าว แถมนั่นก็หมายความว่าควีนัวนั้นปราศจากกลูเต้นหรือ Gluten Free นั่นเอง ใครที่แพ้ก็หายห่วงค่ะ และที่พิเศษของ ควีนัว คือเขามีโปรตีนและไฟเบอร์สูงอยู่เยอะมากรวมถึงสารอาหารต่างๆ ที่สำคัญมากมายเลยทีเดียวค่ะ อ่ะพูดเฉยๆ ก็คงไม่เห็นภาพ เดี๋ยวไปดูสารอาหารและคุณค่าทางโภชนาการของ ควีนัว กันเลยดีกว่าค่ะ

 

คุณค่าทางโภชนาการของควีนัวสุกในปริมาณ 1 ถ้วย (185 กรัม)

ให้พลังงาน 222 กิโลแคลอรี่

น้ำ                                                                  —–> 72%

คาร์โบไฮเดรต                       39.4 กรัม           —–> 21.3%

น้ำตาล                                    1.6 กรัม

ใยอาหาร                                 5.2 กรัม

โปรตีน                                     8.1 กรัม           —–> 4.4%

ไขมัน                                       3.6 กรัม          —–> 1.92%

ไขมันอิ่มตัว                            0.43 กรัม

ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว           0.98 กรัม

ไขมันไม่อิ่มตัว                        1.99 กรัม

กรดไขมันโอเมก้า 3               0.16 กรัม

กรดไขมันโอเมก้า 6                1.8  กรัม

 

วิตามินอี                                   6%

ไทอะมีน                                  13%

แมงกานีส                                58%

แมกนีเซียม                              30%

ฟอสฟอรัส                               28%

โฟเลต                                     19%

ทองแดง                                  18%

ธาตุเหล็ก                                 15%

สังกะสี                                     13%

โพแทสเซียม                             9%

 

จากข้อมูลทางโภชนาการของสารอาหารต่างๆ ที่มีอยู่ในควีนัวเพียงแค่ 1 ถ้วยยังให้ค่าสารอาหารต่างๆ ล้นหลามขนาดนี้ คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมถึงได้ถูกยกให้เป็นสุดยอดอาหารแห่งปี 2013 อีกทั้งยังเป็นชนิดของอาหารที่เหมาะกับคนที่รักสุขภาพเป็นอย่างมากแถมรสชาติอร่อยด้วยนะเออ รอช้าอยู่ใยไปค่ะไปหามาหุงมารับประทานกัน!

 

อ้างอิง : ข้อมูลสารอาหารทางโภชนาการจาก https://authoritynutrition.com/foods/quinoa/

www.flickr.com/photos/sweetbeetandgreenbean/3251067698/

www.flickr.com/photos/mariano-mantel/17006176929/

www.flickr.com/photos/65173362@N07/10935422944/

12 ชนิดของอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสีสูง

Source: Flickr (click image for link)

แร่ธาตุสังกะสี จัดเป็นแร่ธาตุในกลุ่ม (Trace Minerals) ซึ่งมีชื่อที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งที่และคุ้นหูกันและชอบเรียกกันว่า ซิงค์ (Zinc) โดยร้อยละ 90 ของสังกะสีที่มีในร่างกายจะอยู่ที่กระดูกและกล้ามเนื้อ และอีกร้อยละ 10 นั้นจะไปอยู่ที่ ตับอ่อน ตับ เลือด ส่วนร้อยละ 80 นั้นอยู่ในเม็ดเลือดแดงและร้อยละ 20 อยู่ในน้ำเหลืองค่ะ สังกะสีมีลักษณะเหมือนกับแร่ธาตุและวิตามินอื่นๆ คือเป็นสารอาหารทีไม่ให้พลังงานแต่ทำหน้าที่เป็นเพียงตัวกำกับการทำงานของร่างกาย มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์กรดนิวคลิอิกและโปรตีนเอนไซม์ในร่างกายมากกว่า 100 ชนิด อาจจะพูดได้ว่าเอนไซม์ที่เป็นสารสำคัญในการเกิดปฏิกิริยาภายในร่างกายเกือบทุกชนิดต้องการสังกะสีเป็นส่วนประกอบจึงจะทำหน้าที่ได้ดี ดังนั้นสังกะสีจึงมีความสำคัญต่อการทำงานของทุกอวัยวะส่วนในร่างกายของเราค่ะ ดูเหมือนจะเป็นแร่ธาตุตัวเล็กๆ และอาจจะไม่สำคัญที่จะใส่ใจมากนัก เลยกลายเป็นเหตุให้ต้องละเลยไปจนกลายเป็นขาดแร่ธาตุตัวนี้ไปเองจากการรับประทานอาหารไม่ถูกต้อง ร่างกายจึงได้รับแร่ธาตุสังกะสิไม่เพียงพอหรืออีกขณะร่างกายก็อาจจะได้รับมากเกินไป จนทำให้กลไกในร่างกายแปรปรวนถึงขั้นเป็นเหตุให้เจ็บป่วย ด้วยความใส่ใจในร่างกายตัวเองอยู่เสมอๆจนเล็งเห็นว่าถึงจะเป็นแค่แร่ธาตุก็เหอะ แร่ธาตุก็ไม่ได้มีแค่ตัวเดียวที่เราควรรู้เพราะฉะนั้นจึงอยากจะเก็บข้อมูลและมาเสนอให้คนที่ใส่ใจหรือไม่ทันได้สังเกตุการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายของเรากำลังขาดหรือเกินต่อแร่ธาตุตัวนี้หรือตัวไหนๆอยู่ก็เป็นได้ หวังว่าข้อมูลทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ค้นหาและกำลังต้องการทราบอยู่นะคะ เราเคยได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับธาตุสังกะสีไปในหัวข้อ สังกะสี คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร ไปส่วนหนึ่งแล้วนะคะ และจะขอนำเอาข้อมูลบางส่วนมาใส่ในหัวข้อนี้อีกทีค่ะ

โดยถ้าร่างกายมีอาการขาดแร่ธาตุสังกะสีเป็นเวลานาน จะเป็นผลให้เกิดอาการต่างๆ มากมาย ดังนี้

  • การเจริญเติบโตในเด็กล่าช้า ตัวเล็ก แคระแกรน
  • ผิวหนังมีการอักเสบ โดยระยะแรกจะเป็นรอบปากและอวัยวะเพศ ต่อมาจะลามไปที่แขนและขา เริ่มแรกอาจเป็นแค่ผื่นแดงต่อมาจะมีลักษณะเป็นเม็ดพุพอง
  • มีอาการเบื่ออาหาร การรู้รสลดน้อยลง
  • มีอาการซึมเศร้า หงุดหงิด ขาดสมาธิ เหม่อลอย และมีอาการตาบอดแสงได้
  • ระบบต่อมไร้ท่อ คือ ทำให้อวัยวะเพศเด็กเล็ก ไม่โตขึ้นตามวัย เนื ้อแพะ 79.38 16.84 4.57
  • มีอาการผมร่วง แตกปลาย เล็บเปราะ ผิวแห้ง

ปริมาณสังกะสีที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวัน (Daily RDAs For Zinc)

อายุน้อยกว่า 1 ปี ปริมาณที่แนะนำ               3 – 5        มิลลิกรัม/วัน

อายุ 1 –10 ปี ปริมาณที่แนะนำ                      10          มิลลิกรัม/วัน

อายุ 11 ปีขึ้นไป ปริมาณที่แนะนำ                   15          มิลลิกรัม/วัน

สตรีในระยะตั้งครรภ์ ปริมาณที่แนะนำ          20 – 25     มิลลิกรัม/วัน

สตรีในระยะให้นมบุตร ปริมาณที่แนะนำ       25 – 30     มิลลิกรัม/วัน

 

12 ชนิดของอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสีสูง

 

1.หอยนางรม

หอยนางรม ถือเป็นอาหารชนิดแรกที่มีแร่ธาตุสังกะสีสูงเหมาะแก่การเลือกมาประกอบอาหารหรือจะรับประทานสดๆ ราดน้ำจิ้มซีฟู้ดส์รสแซ่บ ซึ่งก็มีไม่น้อยสำหรับคนที่ชอบทานกัน โดยหอยนางรมน้ำหนัก 100 กรัม มีสังกะสีอยู่ประมาณ 75 มิลลิกรัม

 

2.ตับ

ในอาหารจำพวกเครื่องในสัตว์ประเภทตับไม่ว่าจะเป็นตับไก่ ตับหมู ตับลูกวัวในปริมาณที่เท่ากันจะมีแร่ธาตุสังกะสีอยู่ประมาณ 4 – 12 มิลลิกรัม โดยเฉพาะตับลูกวัวปริมาณ 100 กรัม มีธาตุสังกะสีถึง 12 มิลลิกรัม เลยทีเดียวค่ะ

 

3.เมล็ดแตงโม

ในเมล็ดแตงโมสีดำๆ ที่บางทีก็เป็นอาหารว่างกินเล่นๆ ตามซูปเปอร์มาเก็ตก็มีประโยชน์สำหรับคนที่มองหาขนมทานเล่นที่ให้ธาตุสังกะสีสูง โดยเมล็ดแตงโมปริมาณ 100 กรัม จะมีธาตุสังกะสีอยู่ประมาณ 10 มิลลิกรัมค่ะ

 

4.จมูกข้าว

จมูกข้าวก็มีประโยชน์นะมีแร่ธาตุมากมายโดยเฉพาะธาตุสังกะสีอยู่สูงถึง 12-17 มิลลิกรัม ต่อปริมาณ 100 กรัมกันเลยจ้า

 

5.เนื้อสัตว์

อาหารที่ให้โปรตีนอย่างเนื้อสัตว์ก็มีธาตุสังกะสีอยู่สูงเลยทีเดียวค่ะ อย่างเช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อแพะและเนื้อแกะล้วนแต่ให้สังกะสีเยอะพอกันอยู่ที่ประมาณ 4-10 มิลลิกรัม ต่อปริมาณ 100 กรัมค่ะ

 

6.เมล็ดฟักทอง

เมล็ดฟักทองก็เป็นอาหารทานเล่นอีกอย่างที่ให้แร่ธาตุสังกะสีที่สูงถึง 7-10 มิลลิกรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม เป็นอีกตัวเลือกในการเลือกรับประทานเพื่อเพิ่มแร่ธาตุให้กับร่างกายค่ะ

 

7.เมล็ดงา

เมล็ดงาที่ส่วนใหญ่ทางบ้านเราไม่ค่อยนิยมมาทำอาหารมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นของหวาน เครื่องดื่ม หรือนำมาโรยหน้าอาหารบ้างประปราย โดยเมล็ดงามีธาตุสังกะสีอยู่ถึว 7.75 มิลลิกรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม

 

8.เห็ด

เห็ดก็ถือได้ว่าเป็นวัตถุดิบที่คนไทยชอบนำมาประกอบอาหารและมีสารพัดประโยชน์ที่จะกล่าว อีกทั้งยังมีมีแร่ธาตุสังกะสีอยู่สูงถึง 7.66 มิลลิกรัม ในปริมาณ 100 กรัมค่ะ

 

9.มะม่วงหิมพานต์

เมล็ดมะม่วงหิมพานต์มีแร่ธาตุต่างๆ มากมาย รวมถึงมีแร่ธาตุสังกะสีอยู่ด้วย มะม่วงหิมพานต์ถือเป็นของว่างทานเล่นที่มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย ไหนจะนำมาประกอบอาหารได้อีก สารพัดประโยชน์และอร่อยทานได้เพลินอย่างนี้ มีแร่ธาตุสังกะสีอยู่ถึง 5.35 มิลลิกรัมเลยแหละ

 

10.ช็อกโกแลตหรือโกโก้

ผงช็อกโกแลตที่มีปริมาณโกโก้สูงก่อนที่จะนำไปปรุงแต่งถือว่ามีปริมาณแร่ธาตุสังกะสีอยู่สูงลิ่วเลยล่ะค่ะ ซึ่งปริมาณช็กโกแลต 100 กรัม มีปริมาณแร่ธาตุสังกะสีอยู่ถึง 9.6 มิลลิกรัมเลยทีเดียวค่ะ

 

11.ถั่วลิสง

จะสังเกตุเห็นว่าส่วนใหญ่แล้วอาหารประเภทธัญพืชและพืชตระกูลถั่วจะมีแร่ธาตุอย่างสังกะสีอยู่เยอะ เพราะฉะนั้นถั่วลิสงก็เช่นกันค่ะ โดยถั่วลิสงปริมาณ  100 กรัม มีแร่ธาตุสังกะสีอยู่ 6.6 มิลลิกรัมค่ะ

 

12.ไข่แดง

ไข่แดงก็มีแร่ธาตุสังกะสีอยู่พอควรค่ะ โดยปริมาณอาจจะมีไม่มากเท่าเนื้อสัตว์ต่างๆ แต่ก็ยังถือว่าไข่เป็ฯอาหารหลักของคนไทยเช่นกันจึงมีการรับประทานบ่อยๆ โดยในไข่แดงจะมีธาตุสังกะสีอยู่ประมาณ 4.93 มิลลิกรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม

 

 

www.flickr.com/photos/south-african-tourism/3918506669/